คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำสั่งศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 790 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 726/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขาดนัดพิจารณา: ศาลต้องมีคำสั่งแสดงการขาดนัดก่อนชี้ขาดคดีตามมาตรา 202
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสองเป็นบทบัญญัติถึงลักษณะของการที่จะถือว่าคู่ความขาดนัดพิจารณาส่วนมาตรา 202 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดวิธีการปฏิบัติเมื่อจำเลยขาดนัดพิจารณา บทบัญญัติสองมาตรานี้ผิดแผกแตกต่างกัน
ในกรณีที่จำเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยานซึ่งถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณานั้น ศาลจำต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อนแล้วจึงจะทำการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 และมาตราต่อๆ ไปได้ หากไม่มีคำสั่งดังกล่าวเสียก่อน ก็ไม่เป็นการพิจารณาฝ่ายเดียวตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 726/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณา: ศาลต้องมีคำสั่งแสดงการขาดนัดก่อนชี้ขาดคดี
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 197 วรรคสองเป็นบทบัญญัติถึงลักษณะของการที่จะถือว่าคู่ความขาดนัดพิจารณา. ส่วนมาตรา 202 เป็นบทบัญญัติที่กำหนดวิธีการปฏิบัติเมื่อจำเลยขาดนัดพิจารณา บทบัญญัติสองมาตรานี้ผิดแผกแตกต่างกัน.
ในกรณีที่จำเลยไม่มาศาลในวันสืบพยานและมิได้ร้องขอเลื่อนคดีหรือแจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่มาศาลเสียก่อนลงมือสืบพยาน. ซึ่งถือว่าจำเลยขาดนัดพิจารณานั้น ศาลจำต้องมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาเสียก่อน. แล้วจึงจะทำการพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 202 และมาตราต่อๆ ไปได้. หากไม่มีคำสั่งดังกล่าวเสียก่อน. ก็ไม่เป็นการพิจารณาฝ่ายเดียวตามกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1489-1490/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตที่พิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้องมีผลบังคับใช้ การแก้ไขคำสั่งศาลชั้นต้นขัดต่อคำพิพากษาเดิม
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้ายึดถือที่ดินตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง อันเป็นทางสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่อยู่ในเขตสุขาภิบาลโจทก์ ขอให้ขับไล่ โจทก์ได้คัดค้านสำเนาประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องจัดตั้งสุขาภิบาลพร้อมทั้งภาพถ่ายแสดงเขตสุขาภิบาลตามประกาศให้เห็นเส้นและหลักเขตสุขาภิบาลอย่างชัดเจน มีมาตราส่วนที่สามารถวัดตรวจสอบได้อย่างละเอียด กับมีแผนที่วิวาทแสดงเขตที่จำเลยบุกรุกซึ่งวัดได้แน่นอน สามารถเข้าใจได้ว่าที่พิพาทอยู่ตรงไหน จำเลยบางคนให้การปฏิเสธว่าแผนที่แสดงที่พิพาทผิดจากความจริง บางคนไม่ปฏิเสธ แต่ในชั้นพิจารณา ไม่มีจำเลยคนใดนำสืบถึงความไม่ถูกต้องของแผนที่วิวาทท้ายฟ้อง ดังนี้ เมื่อศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยออกจากทางพิพาท ย่อมหมายถึงที่พิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้อง
ในชั้นบังคับคดี จำเลยอ้างว่าไม่สามารถปฏิบัติตามคำบังคับได้ เพราะการดำเนินคดีมิได้ทำแผนที่กลาง ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์จำเลยชี้เขต แล้วมีคำสั่งกำหนดเขตที่พิพาทขึ้นใหม่ต่างไปจากที่พิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้อง คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวย่อมเป็นการแก้ไขคำวินิจฉัยในคำพิพากษาเดิม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาแพ่ง มาตรา 143 ไม่มีผลบังคับใช้ แม้โจทก์จะมิได้อุทธรณ์คัดค้านก็ยังมีสิทธิขอห้ศาลบังคับจำเลยตามแผ่นที่ท้ายฟ้องเพื่อให้ถูกต้องตรงตามคำพิพากษาได้ กรณีมิใช่เป็นเรื่องแก้ไขคำสั่งเดิมที่ไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 77/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม: การที่โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นในประเด็นฟ้องเคลือบคลุม ทำให้ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 249
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์นั้นเคลือบคลุมขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แต่คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมเพราะเหตุใด เพิ่งจะมายกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกาดังนี้ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 77/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุม การอุทธรณ์และฎีกาที่ไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น ทำให้ต้องห้ามตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์นั้นเคลือบคลุมขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง แต่คำฟ้องอุทธรณ์ของโจทก์มิได้อุทธรณ์โต้แย้งว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมเพราะเหตุใด. เพิ่งจะมายกขึ้นกล่าวในชั้นฎีกา. ดังนี้ จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 689/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์ฐานะคนอนาถา และสิทธิร้องขอพิจารณาคำขอใหม่
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา ผู้ขออาจอุทธรณ์คำสั่งนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ได้ภายในกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันมีคำสั่ง โดยยื่นคำขอเป็นคำร้องต่อศาลชั้นต้น
แม้ผู้ขอจะไม่อุทธรณ์คำสั่งนั้น ก็ยังอาจยื่นคำร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคำขอนั้นใหม่ เพื่ออนุญาตให้ตนนำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติมว่าตนเป็นคนยากจนได้ (อ้างฎีกาที่ 1416/2506)
หากศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องดังกล่าวโดยไม่อนุญาตให้นำพยานหลักฐานมาแสดงเพิ่มเติม ย่อมอุทธรณ์ฎีกาต่อไปได้เพราะไม่มีกฎหมายบัญญัติว่า คำสั่งศาลชั้นต้นเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด
การอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในกรณีนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการที่ผู้ขอร้องว่าเป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียม จึงไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกเฉยต่อคำสั่งศาลให้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมถือเป็นการทิ้งฟ้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นได้กำหนดให้โจทก์นำเงินค่าขึ้นศาลเพิ่มมาชำระก่อนวันที่ 26 มกราคม 2509 และให้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 16 มีนาคม 2509 วันที่ 1 มีนาคม 2509 โจทก์ขอเลื่อนสืบพยานและศาลอนุญาตการที่ศาลอนุญาตให้เลื่อนสืบพยานไปก็ดี เลื่อนนัดพร้อมไปก็ดี มิได้หมายถึงให้เลื่อนการชำระเงินค่าขึ้นศาลเพิ่มด้วยเมื่อโจทก์เพิกเฉยไม่นำเงินค่าขึ้นศาลเพิ่มมาชำระต่อศาลภายในเวลาที่ศาลได้กำหนดไว้โดยโจทก์ทราบคำสั่งแล้ว จึงถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกเฉยต่อคำสั่งศาลให้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติม ทำให้ถือว่าทิ้งฟ้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นได้กำหนดให้โจทก์นำเงินค่าขึ้นศาลเพิ่มมาชำระก่อนวันที่ 26 มกราคม 2509 และให้นัดสืบพยานโจทก์ในวันที่ 16 มีนาคม 2509. วันที่ 1 มีนาคม 2509 โจทก์ขอเลื่อนสืบพยานและศาลอนุญาต. การที่ศาลอนุญาตให้เลื่อนสืบพยานไปก็ดี. เลื่อนนัดพร้อมไปก็ดี มิได้หมายถึงให้เลื่อนการชำระเงินค่าขึ้นศาลเพิ่มด้วย. เมื่อโจทก์เพิกเฉยไม่นำเงินค่าขึ้นศาลเพิ่มมาชำระต่อศาลภายในเวลาที่ศาลได้กำหนดไว้. โดยโจทก์ทราบคำสั่งแล้ว จึงถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2).

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลกรณีเยาวชนกระทำผิด – อำนาจแก้ไขเมื่อพฤติการณ์เปลี่ยนแปลง
ศาลพิพากษาให้ส่งตัวจำเลยซึ่งมีอายุ 15 ปีไปสถานฝึกและอบรมจนกว่าจะมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์. ต่อมาบิดาจำเลยร้องขอรับจำเลยไปดูแลเอง โดยยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆที่ศาลจะกำหนด. ถือได้ว่าเป็นกรณีที่พฤติการณ์เกี่ยวกับคำสั่งเดิมเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ศาลมีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคำสั่งเดิมได้. ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 วรรคท้าย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2007/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลระหว่างพิจารณาไม่ทำให้คดีเสร็จสิ้น การอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบ
คำสั่งศาลชั้นต้นที่ว่า 'คดีก่อนศาลสั่งจำหน่ายคดีโจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ได้อีกไม่เป็นฟ้องซ้ำ. ให้ดำเนินคดีสืบพยานโจทก์ไป' นั้น หาทำให้คดีเสร็จสำนวนไม่. เพราะศาลยังต้องทำการสืบพยานและพิพากษาชี้ขาดต่อไป. เมื่อมีการอุทธรณ์คำสั่งนี้. จึงเป็นอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา. ซึ่งต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196.
of 79