พบผลลัพธ์ทั้งหมด 752 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 541/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดูหมิ่นผู้อื่นโดยใช้ถ้อยคำข่มขู่ต่อผู้ที่ควรเคารพ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393
ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวต่อสามเณรสองรูปซึ่งหน้า เพราะเหตุที่ใช้ไปขอเทียนจากพระภิกษุรูปหนึ่งไม่ได้ ว่า'ถ้าไม่ไปเดี๋ยวกูจะเตะลงกุฏิให้หมด' นั้นเป็นถ้อยคำที่จำเลยกล่าวแก่บุคคลที่ประชาชนทั่วไปถือว่าควรเคารพกว่าบุคคลธรรมดา ฉะนั้น จึงไม่แต่เพียงจะเป็นถ้อยคำที่ไม่สุภาพและข่มขู่เท่านั้น หากเป็นการดูหมิ่นตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 393 ด้วย(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 12/2504)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 926/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บทบัญญัติมาตรา 281 ประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่บทลงโทษ แต่เป็นข้อยกเว้นความผิดและข้อจำกัดการฟ้องร้อง
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 281 มิได้บัญญัติการกระทำอันเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้เป็นแต่บัญญัติว่า การกระทำความผิดตามมาตรา 276 และ 278 นั้น ถ้ามิได้ทำต่อหน้าธารกำนัลไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัสและเป็นการโทรมหญิง เป็นความผิดอันยอมความกันได้ จึงมิใช่บทกำหนดการกระทำอันเป็นผิดและกำหนดโทษไว้อันจะนำมาเป็นบทลงโทษจำเลยได้
ศาลชั้นต้นว่า จำเลยผิดตามมาตรา 276,281,310 แต่ให้รวมกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,281 จำคุก 10 ปี จำเลยรับลดกึ่ง คงจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยผิดตามมาตรา276,310 ให้ลงโทษตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 5 ปี รับลดกึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจและเป็นปัญหาในข้อเท็จจริง เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2503)
ศาลชั้นต้นว่า จำเลยผิดตามมาตรา 276,281,310 แต่ให้รวมกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276,281 จำคุก 10 ปี จำเลยรับลดกึ่ง คงจำคุก 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ เป็นว่า จำเลยผิดตามมาตรา276,310 ให้ลงโทษตามมาตรา 276 ซึ่งเป็นบทหนักจำคุก 5 ปี รับลดกึ่ง คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน เช่นนี้ เป็นการใช้ดุลพินิจและเป็นปัญหาในข้อเท็จจริง เป็นการแก้น้อย ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2503)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 711/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยเจตนา แต่ได้รับการพิจารณาจากเหตุข่มเหงอย่างร้ายแรงและบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
ก่อนเกิดเหตุราว 1 ชั่วโมง ผู้ตายกับจำเลยเล่นการพนันกัน ผู้ตายหาว่าจำเลยไม่ยอมให้เสียการพนันเป็นเงิน 1 บาท เกิดโต้เถียงกันแล้วก็เลิกกันไป ต่อมาขณะจำเลยอยู่ที่เพิงซึ่งเป็นที่อยู่ของจำเลย ผู้ตายเมาสุรามาที่เพิงและด่าแม่จำเลย จำเลยโกรธจึงได้ใช้มีดดาบฟันแขนผู้ตาย 1 ที และแทงถูกเหนือนมขวาผู้ตายอีก 1 ที ผู้ตายถึงแก่ความตาย พอถือได้ว่าจำเลยได้ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 72 (อ้างฎีกาที่ 409/2498)
ในคดีอาญา ฟ้องในข้อหาว่าฆ่าคนโดยเจตนา จำเลยต่อสู้ว่าป้องกันตัว ไม่ได้ต่อสู้ในข้อบันดาลโทสะ เมื่อข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ปรากฏในสำนวน แม้จะไม่มีประเด็นในข้อบันดาลโทสะมาสู่ศาล ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยได้ เสมอ เพราะถือว่า เกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 (อ้างฎีกาที่ 1818/2499)
ในคดีอาญา ฟ้องในข้อหาว่าฆ่าคนโดยเจตนา จำเลยต่อสู้ว่าป้องกันตัว ไม่ได้ต่อสู้ในข้อบันดาลโทสะ เมื่อข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ปรากฏในสำนวน แม้จะไม่มีประเด็นในข้อบันดาลโทสะมาสู่ศาล ศาลอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยได้ เสมอ เพราะถือว่า เกี่ยวแก่ความสงบเรียบร้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 (อ้างฎีกาที่ 1818/2499)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 709/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกักกันผู้กระทำผิดและการพิจารณาโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 14 และ 41
จำเลยต้องโทษฐานลักทรัพย์ศาลจำคุก 6 เดือน ต่อมาจำเลยต้องโทษฐานทำร้ายร่างกาย ต่อสู้เจ้าพนักงานและเมาสุรา ศาลรวมกะทงลงโทษจำคุก 1 ปี แต่ฐานทำร้ายร่างกายนั้นศาลวางโทษจำคุก 4 เดือน ความผิดฐานทำร้ายร่างกาย จึงนำมากักกันจำเลยไม่ได้คงเหลือโทษฐานลักทรัพย์ครั้งเดียว ที่เป็นโทษฐานที่ระบุไว้ในมาตรา 41 ประมวลกฎหมายอาญา และมีกำหนดโทษจำคุกถึง 6 เดือน ศาลจึงมีอำนาจตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา 14 ที่จะสั่งตามที่เห็นสมควร ศาลจึงอาจสั่งให้ยกเลิกการกักกันให้จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 709/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกักกันผู้กระทำผิดและการพิจารณาโทษซ้ำหลังพ้นโทษ: อำนาจศาลตามมาตรา 14 และ 41 ประมวลกฎหมายอาญา
จำเลยต้องโทษฐานลักทรัพย์ ศาลจำคุก 6 เดือนต่อมาจำเลยต้องโทษฐานทำร้ายร่างกาย ต่อสู้เจ้าพนักงานและเมาสุราศาลรวมกะทงลงโทษจำคุก 1 ปีแต่ฐานทำร้ายร่างกายนั้นศาลวางโทษจำคุก 4 เดือนความผิดฐานทำร้ายร่างกายจึงนำมากักกันจำเลยไม่ได้คงเหลือโทษฐานลักทรัพย์ครั้งเดียวที่เป็นโทษฐานที่ระบุไว้ในมาตรา 41 ประมวลกฎหมายอาญาและมีกำหนดโทษจำคุกถึง 6 เดือนศาลจึงมีอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 14 ที่จะสั่งตามที่เห็นสมควรศาลจึงอาจสั่งให้ยกเลิกการกักกันให้จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 611/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่จำเลยในการแสดงเหตุแก้ตัวตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 โจทก์ไม่ต้องบรรยายในฟ้อง
คำว่า เหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 นั้น โจทก์ไม่จำต้องบรรยายมาในฟ้องเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำสืบแสดงออกมา เพื่อให้ตนพ้นผิด ไม่ใช่ให้โจทก์นำสืบว่าจำเลยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 611/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่จำเลยในการพิสูจน์เหตุแก้ตัวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368 โจทก์ไม่ต้องบรรยายในฟ้อง
คำว่า'เหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร'ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 368 นั้น โจทก์ไม่จำต้องบรรยายมาในฟ้องเพราะเป็นหน้าที่ของจำเลยจะต้องนำสืบแสดงออกมา เพื่อให้ตนพ้นผิด ไม่ใช่ให้โจทก์นำสืบว่าจำเลยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582-583/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เบิกความเท็จในคดีแพ่งสร้างความเสียหายแก่โจทก์ ถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.177
พยานซึ่งรู้เห็นขณะทำสัญญากู้รับเงินไปจากโจทก์จริงตามสัญญากู้ ครั้นเมื่อโจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้และอ้างพยานดังกล่าว พยานกลับเบิกความบิดเบือนว่า ไม่มีการส่งมอบเงินกันเป็นเหตุให้โจทก์แพ้คดีนั้น และได้รับความเสียหาย การที่พยานเลิกความเช่นนั้นถือว่าเป็นการเบิกความเท็จในข้อสำคัญ เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 177
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 35/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าเป็ด: ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และการใช้ดุลพินิจกำหนดโทษ
จำเลยเจตนาฆ่าเป็ดของผู้เสียหาย โดยโปรยข้าวเปลือกผสมยาพิษให้เป็ดกิน เป็ดตาย เพราะเหตุนี้ 33 ตัว การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม มาตรา 358 ไม่ผิดตามมาตรา 259 เพราะเป็ดไม่ใช่ปศุสัตว์ตาม มาตรา 359(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพาผู้ต้องขังหลุดพ้นจากการคุมขัง แม้จะไปด้วยกัน ก็ถือว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๐๔
จำเลยเป็นตำรวจอยู่เวรรักษาเหตุการณ์บนสถานีตำรวจ ได้นำผู้ต้องขังตามหมายขังของศาลไปเสียจากที่คุมขังบนสถานีตำรวจ พาไปเที่ยวหาความสำราญในตลาด แม้ว่าจำเลยจะไปด้วยกับผู้ต้องขังนั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นการควบคุมจำเลยต้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 204 เพราะเป็นเรื่องไปเที่ยวหาความสำราญ ถือได้ว่า จำเลยได้กระทำให้ผู้ต้องขังหลุดพ้นจากการคุมขังไปแล้ว