พบผลลัพธ์ทั้งหมด 926 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1903/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่คัดค้านองค์คณะไม่ครบถ้วนในชั้นศาลชั้นต้น ถือเป็นการสละสิทธิ โต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้
การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นนั่งพิจารณาคดีไม่ครบองค์คณะ.และจำเลยมีโอกาสบริบูรณ์ที่จะคัดค้านได้ตั้งแต่ในขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่นั้น แต่จำเลยละเลยเสีย. มิได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร. ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธินั้นแล้ว. จะยกขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 938/2472,535/2480).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1485/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์และการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น
คดีชั้นร้องขัดทรัพย์ ปรากฏว่าเรือนพิพาทซึ่งผู้ร้องได้ร้องขัดทรัพย์เข้ามาราคา 3,000 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น โดยฟังว่าเรือนพิพาทเป็นของจำเลย คู่ความจะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1178/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ฟังแล้ว
คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยได้ออกเช็คที่พิพาทให้โจทก์ไว้เป็นการชำระค่าเช่าโฉนดที่ดิน เพื่อนำไปประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ธนาคาร จำเลยฎีกาว่ามูลหนี้ตามเช็คที่พิพาทต้องห้ามมิให้ฟ้องร้องเพราะเป็นหนี้ที่เกิดจากการเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ ดังนี้ เป็นฎีกาโต้แย้งข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้ฟังมา จึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1165/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องนอกประเด็น การพิพากษาต้องเป็นไปตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนด หากข้อเท็จจริงไม่สอดคล้องกับฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างโจทก์ จำเลยที่ 1 กับ ส. สมคบกันเอาเงินสดของโจทก์ไป และนำเช็คมาเข้าบัญชีไว้แทนขอให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินให้โจทก์ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นว่า จำเลยที่ 1 กระทำทุจริตต่อโจทก์หรือไม่ ซึ่งหมายถึงว่าจำเลยได้ทุจริตเอาเงินของโจทก์ไปหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เอาเงินของโจทก์ไปเลย เพียงแต่จำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อเท่านั้น โจทก์มิได้ฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าเสียหายเพราะเหตุจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อ ดังนี้ศาลจะพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินให้โจทก์ตามฟ้องไม่ได้ เพราะเป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 357/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับมรดกความแทนคู่ความที่มรณะหลังศาลอุทธรณ์พิพากษา และอำนาจศาลชั้นต้นในการวินิจฉัยสั่ง
การร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ผู้มรณะหลังจากศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีแล้วนั้น เมื่อศาลชั้นต้นยังไม่สั่งรับฎีกาของคู่ความฝ่ายที่มรณะ คดีย่อมยังอยู่ในอำนาจของศาลชั้นต้นที่จะวินิจฉัยสั่งได้
การที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความตามมาตรา 42แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น จะต้องเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมรณะในระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลนั้นเอง เมื่อคู่ความมรณะระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ เป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งจำหน่ายคดี จนกระบวนพิจารณาได้ผ่านจากชั้นศาลอุทธรณ์มาเป็นกระบวนพิจารณาชั้นศาลฎีกา โดยศาลชั้นต้นได้สั่งให้ทายาทของผู้มรณะเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ และได้สั่งรับฎีกาแล้ว ย่อมมิใช่เป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมรณะในระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลฎีกา ศาลฎีกาจะสั่งจำหน่ายคดีมิได้
(วรรคท้าย วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 40/2515)
การที่ศาลจะมีคำสั่งจำหน่ายคดีจากสารบบความตามมาตรา 42แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งนั้น จะต้องเป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมรณะในระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลนั้นเอง เมื่อคู่ความมรณะระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์ เป็นเวลาเกินกว่าหนึ่งปีแล้ว แต่ศาลอุทธรณ์มิได้สั่งจำหน่ายคดี จนกระบวนพิจารณาได้ผ่านจากชั้นศาลอุทธรณ์มาเป็นกระบวนพิจารณาชั้นศาลฎีกา โดยศาลชั้นต้นได้สั่งให้ทายาทของผู้มรณะเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่ และได้สั่งรับฎีกาแล้ว ย่อมมิใช่เป็นกรณีที่คู่ความฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมรณะในระหว่างที่คดีค้างพิจารณาอยู่ในศาลฎีกา ศาลฎีกาจะสั่งจำหน่ายคดีมิได้
(วรรคท้าย วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 40/2515)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2623/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อต่อสู้เรื่องชำระหนี้หลังศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ถือเป็นการไม่ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นและเป็นการต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 12 กันยายน ถึงวันที่ 22 กันยายน 2512จำเลยซื้อเชื่อสินค้าเก้าอี้ไปจากโจทก์ ขอให้ศาลบังคับจำเลยใช้เงินค่าซื้อสินค้าเชื่อ จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าตามวันเดือนปีตามฟ้อง จำเลยไม่ได้ซื้อเชื่อสินค้าเก้าอี้เป็นจำนวนเงินจากโจทก์ตามฟ้อง โจทก์ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ โจทก์จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ จำเลยมิได้กล่าวแก้ไว้ว่าได้ชำระหนี้ราคาเก้าอี้ตามฟ้องให้โจทก์แล้ว จำเลยจึงจะฎีกาว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์แล้วไม่ได้เพราะจำเลยมิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวไว้ในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2415/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีขับไล่ขึ้นอยู่กับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน แม้จะมีคำพิพากษาภายหลังก็เปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วไม่ได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าให้ออกจากห้องพิพาทซึ่งมีค่าเช่าเดือนละ 80 บาท จำเลยให้การรับว่าได้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์จริงแต่ต่อสู้ว่าห้องพิพาทมิใช่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ แต่เป็นของกรมธนารักษ์โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ข้อต่อสู้ของจำเลยเช่นนี้หาใช่ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1619/2506)คดีจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 และ 247ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าห้องพิพาทยังเป็นของโจทก์อยู่ ข้อเท็จจริงจึงต้องฟังเป็นยุติตามนั้น แม้ต่อมาภายหลังจะมีคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเรื่องอื่นวินิจฉัยว่าห้องพิพาทเป็นของกรมธนารักษ์กระทรวงการคลังก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงซึ่งศาลชั้นต้นฟังเป็นยุติแล้วในคดีนี้ได้
เมื่อจำเลยรับว่าได้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์ จำเลยจะเถียงสิทธิของโจทก์ผู้ให้เช่าว่าห้องพิพาทเป็นของผู้อื่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1531 - 1532/2499) ข้อที่จำเลยอ้างว่าได้ทำสัญญาเช่าจากกรมธนารักษ์ผู้เป็นเจ้าของแล้วจำเลยมีสิทธิจะอยู่และใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าได้นั้น เป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากคดีนี้ จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
เมื่อจำเลยรับว่าได้เช่าห้องพิพาทจากโจทก์ จำเลยจะเถียงสิทธิของโจทก์ผู้ให้เช่าว่าห้องพิพาทเป็นของผู้อื่น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องหาได้ไม่ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1531 - 1532/2499) ข้อที่จำเลยอ้างว่าได้ทำสัญญาเช่าจากกรมธนารักษ์ผู้เป็นเจ้าของแล้วจำเลยมีสิทธิจะอยู่และใช้ประโยชน์ในทรัพย์สินที่เช่าได้นั้น เป็นข้อเท็จจริงนอกเหนือไปจากคดีนี้ จำเลยจะต้องไปว่ากล่าวเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2271/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหักวันต้องคุมขังที่ถูกต้อง จำเลยถูกขังต่อเนื่องตั้งแต่ถูกหมายจับจนศาลชั้นต้นพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยโดยให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อในสำนวนปรากฏว่าจำเลยถูกขังตลอดมาโดยไม่ปรากฏว่าศาลได้ออกหมายปล่อยจำเลย เมื่อศาลพิพากษาจำคุกในคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้นการคิดหักวันต้องคุมขังสำหรับคดีนี้จึงต้องคิดหักให้จนถึงวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีนี้ ไม่ใช่หักให้แค่วันที่ศาลพิพากษาจำคุกในคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้น
ศาลล่างพิพากษาให้หักวันต้องคุมขังให้จำเลยขาดไปศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาแก้ให้ถูกต้องได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาเพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ศาลล่างพิพากษาให้หักวันต้องคุมขังให้จำเลยขาดไปศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาแก้ให้ถูกต้องได้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาเพราะเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1684/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจไม่อนุญาตอุทธรณ์ข้อเท็จจริงเป็นอำนาจเฉพาะของผู้พิพากษาคดีชั้นต้น, การขอรับรองอุทธรณ์โดยอธิบดีกรมอัยการ
คดีที่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 22แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงฯ เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาพิพากษาคดีนั้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้อุทธรณ์แล้ว ผู้อุทธรณ์จะอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวนั้นต่อศาลอุทธรณ์อีกไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาผู้นั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1390/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดในการฎีกา: ทุนทรัพย์ไม่เกิน 5,000 บาท และการฎีกาในประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้ว
จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทต้องถือราคาในขณะเมื่อยื่นคำฟ้องส่วนเนื้อที่ดินของที่พิพาทต้องถือตามจำนวนที่คำนวณได้จากแผนที่วิวาทซึ่งคู่ความได้รับรองความถูกต้องแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ 24 ตารางวาคิดเป็นราคาที่ดิน 9,600 บาท ในขณะฟ้องตกตารางวาละ 400 บาทแต่ในขณะเบิกความมีราคาตารางวาละ 700 บาท เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทตามรูปแผนที่กลางอันเป็นประเด็นโต้เถียงกันในคดีนี้มีเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางวา ที่พิพาทจึงมีราคาในขณะเมื่อยื่นคำฟ้องเพียง 3,200 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรุกล้ำที่ดินของโจทก์ เนื้อที่ 24 ตารางวาคิดเป็นราคาที่ดิน 9,600 บาท ในขณะฟ้องตกตารางวาละ 400 บาทแต่ในขณะเบิกความมีราคาตารางวาละ 700 บาท เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่พิพาทตามรูปแผนที่กลางอันเป็นประเด็นโต้เถียงกันในคดีนี้มีเนื้อที่ประมาณ 8 ตารางวา ที่พิพาทจึงมีราคาในขณะเมื่อยื่นคำฟ้องเพียง 3,200 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริง