คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
กระบวนพิจารณา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 344 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8996/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสอบถามความต้องการทนายความในคดีอัตราโทษจำคุก: ประเด็นสำคัญในการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ถูกต้อง
คดีที่มีอัตราโทษจำคุก ศาลจะต้องสอบถามจำเลยก่อนเริ่มพิจารณาว่ามีและต้องการทนายความหรือไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสองเมื่อไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีการดำเนินการดังกล่าวแล้ว การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5285/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนัดพิจารณาคดีที่ผิดพลาด และสิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องนัดจำเลยมาให้การแก้คดีและนัดสืบพยานโจทก์ ต่อมาได้มีการเลื่อนนัดสอบคำให้การจำเลยและสืบพยานโจทก์ไปอีก แต่เจ้าหน้าที่ผู้พิมพ์รายงานกระบวนพิจารณาพิมพ์วันนัดผิดไปจากที่คู่ความตกลงกันไว้ โดยผู้พิพากษามิได้อ่านรายงานกระบวนพิจารณาที่พิมพ์ผิดนั้นให้คู่ความฟังก่อน เมื่อโจทก์ไม่มาศาลในวันนัดตามที่เจ้าหน้าที่พิมพ์ ถือไม่ได้ว่าโจทก์ไม่มาศาลตามกำหนดนัดตามความใน ป.วิ.อ.มาตรา 166 วรรคหนึ่ง อันจะเป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้องได้ โจทก์จึงมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3281/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหย่าขาดจากกรณีจงใจละทิ้งร้างและการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามกฎหมาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยประพฤติตนตามที่โจทก์กล่าวอ้างทั้งสิ้น โจทก์ทำตัวเองไม่เหมาะสมในการเป็นหัวหน้าครอบครัวไปติดพันหญิงอื่น หาเรื่องคอยทุบตีจำเลยอยู่เสมอ ไม่เคยกลับมาให้ความอบอุ่นแก่บุตรและครอบครัวเมื่อผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนฝูงว่ากล่าวตักเตือน โจทก์จึงโกรธและทำร้ายทุบตีจำเลยและหาเหตุที่จะไม่ยอมเข้าบ้านเห็นได้ว่าจำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์เป็นฝ่ายหาเหตุออกจากบ้านไปเองจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยยอมรับในประเด็นจงใจละทิ้งร้างโจทก์ดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้หย่าขาดโดยไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่คู่ความนำสืบ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
ปัญหาว่าคำให้การจำเลยถือว่าเป็นการยอมรับหรือไม่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดกล่าวอ้างโต้แย้งคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองศาลฎีกาก็มีอำนาจวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2984/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสอบถามจำเลยเรื่องทนายความก่อนเริ่มพิจารณาคดีอาญาเป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้น หากไม่ปฏิบัติตามต้องย้อนสำนวน
คดีที่มีอัตราโทษจำคุก ก่อนเริ่มการพิจารณาศาลชั้นต้นจะต้องถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคสอง เมื่อตามรายงานกระบวนพิจารณาศาลชั้นต้น เพียงอ่านอธิบายฟ้องให้จำเลยฟัง โดยไม่ดำเนินการตามบทกฎหมาย จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาจำเป็นต้องย้อนสำนวนเพื่อให้ศาลชั้นต้นดำเนินการใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208(2)ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2882/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการฎีกาในคดีที่มีทุนทรัพย์น้อยกว่าสองแสนบาท แม้เป็นข้อพิพาทเรื่องกระบวนการพิจารณา
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายเพราะเหตุละเมิดแก่โจทก์เป็นเงิน 150,000 บาท จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 248วรรคหนึ่ง จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์จงใจขาดนัดพิจารณา เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงแม้ฎีกาของจำเลยทั้งสองจะเป็นกรณีที่เกี่ยวกับการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้นมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับประเด็นพิพาทตามคำฟ้อง ก็ต้องถือตามทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในคดีเป็นหลักในการพิจารณาว่าเป็นคดีที่ฎีกาได้หรือไม่ เมื่อทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายเวลาวางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียม: ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจ ไม่ถือเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
การที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายเวลาวางเงินนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ไม่ได้บัญญัติว่า ก่อนที่ศาลจะสั่งคำร้องต้องไต่สวนคำร้องดังกล่าวเสียก่อน ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจใช้ดุลพินิจว่าจะทำการไต่สวนคำร้องดังกล่าวหรือไม่ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21(4) การที่ศาลชั้นต้นไม่ไต่สวนคำร้องขอขยายเวลาวางเงินของโจทก์จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ ส่วนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องฉบับลงวันที่20 ตุลาคม 2540 ของโจทก์ในรายงานกระบวนพิจารณาวันเดียวกันก็เพราะศาลชั้นต้นเห็นว่าข้ออ้างตามคำร้องของโจทก์ถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษ อันเป็นเงื่อนไขที่ศาลจะสั่งอนุญาตให้ขยายเวลาวางเงินให้แก่โจทก์นั่นเอง และเมื่อศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องก็ต้องถือว่าโจทก์ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ให้วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 253 วรรคสาม โดยไม่จำต้องวินิจฉัยอีกว่าโจทก์มีเจตนาจะหลีกเลี่ยงไม่วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายตามคำสั่งศาลหรือไม่ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องและคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 บัญญัติว่า การขยายระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายนี้ให้พึงทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษทนายโจทก์อ้างในคำร้องขอขยายเวลาวางเงินฉบับลงวันที่ 20 ตุลาคม 2540 ว่าตัวโจทก์อยู่ต่างประเทศทนายโจทก์ได้พยายามติดต่อตัวโจทก์ให้นำหลักประกันมาวางตามคำสั่งศาลหลายครั้งครั้งสุดท้ายที่ติดต่อกันตัวโจทก์แจ้งว่ายังไม่สามารถหาเงินมาวางศาลได้ ขอเวลารวบรวมและหาเงินประมาณ 2 เดือน โจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีต่อไป หากแต่เกิดปัญหาด้านเศรษฐกิจทำให้ไม่อาจจัดหาเงินได้ ข้ออ้างดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2686/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงขัดต่อกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง
จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาพร้อมคำฟ้องอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และอนุญาตให้ยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา แต่อุทธรณ์ของจำเลยเป็นการอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง ไม่ฟังข้อเท็จจริงตามที่ควรจะฟัง เป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง จำเลยจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยตรงจึงไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและคดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาโดยตรงโดยมิได้ส่งสำเนาคำร้องขออนุญาตอุทธรณ์แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์มีโอกาสคัดค้านก่อน เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ วรรคหนึ่ง การที่ศาลฎีกาจะส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยตามมาตรา 223 ทวิ วรรคท้ายจึงไม่เป็นประโยชน์ ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับอุทธรณ์ของจำเลยและที่อนุญาตให้จำเลยยื่นอุทธรณ์โดยตรงต่อศาลฎีกา และให้ศาลชั้นต้นสั่งอุทธรณ์ของจำเลยใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2629/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขาดนัดพิจารณาที่ไม่ชอบ และอำนาจศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวเนื่องกับความสงบเรียบร้อย
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ ทนายจำเลยแถลงรับว่าเป็นหนี้โจทก์จริงตามฟ้อง คู่ความประสงค์จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความแต่ขอเลื่อนไปเจรจาในรายละเอียดอีกครั้ง การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนไปทำสัญญาประนีประนอมยอมความหรือฟังคำพิพากษาก็เพราะเห็นว่าถ้าคู่ความไม่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความก็พิพากษาคดีไปได้โดยไม่ต้องมีการสืบพยาน วันที่เลื่อนมาจึงไม่ใช่วันนัดสืบพยานโจทก์ เมื่อทนายจำเลยไม่มาศาล แต่ศาลชั้นต้นกำหนดเอาเป็นวันนัดสืบพยานโจทก์ในวันนั้นเอง แล้วมีคำสั่งให้จำเลยขาดนัดพิจารณาโดยจำเลยไม่ทราบล่วงหน้า เป็นการพิจารณาโดยขาดนัดที่ไม่ชอบและเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นโดยให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ไม่ชอบนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2590/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดศาลแรงงานเรื่องการระบุพยาน ทำให้กระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตามข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงาน ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 29 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ข้อ 10 วรรคหนึ่ง ระบุว่า"ในกรณีที่ศาลแรงงานสั่งให้มีการสืบพยาน ศาลจะสอบถามโจทก์และจำเลยแต่ละฝ่ายว่าประสงค์จะอ้างและสืบพยานใดบ้าง แล้วจดชื่อและที่อยู่ของพยานบุคคล สภาพและสถานที่เก็บของพยานเอกสารหรือพยานวัตถุไว้ หรือจะให้คู่ความทำบัญชีระบุพยานยื่นต่อศาลในวันนั้นหรือภายในกำหนด 2 วัน ก็ได้" ตามข้อกำหนดดังกล่าวกำหนดให้ศาลแรงงานมีหน้าที่ต้องสอบถามคู่ความเกี่ยวกับการอ้างและสืบพยานตลอดจนสอบถามในเรื่องรายชื่อและที่อยู่ของพยานบุคคล สภาพและที่เก็บของพยานเอกสารหรือพยานวัตถุหรือให้คู่ความทำบัญชีระบุพยานยื่นต่อศาลในวันที่สั่งให้มีการสืบพยานหรือภายใน 2 วันซึ่งเป็นไปตามมาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522
ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ จำเลยเพียงแถลงส่งสัญญาว่าจ้างการแสดงเอกสารหมาย ล.1 ต่อศาลเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าศาลแรงงานได้สอบถามโจทก์และจำเลยแต่ละฝ่ายว่าจะอ้างและสืบพยานใดบ้างหรือสั่งให้คู่ความทำบัญชีระบุพยานยื่นต่อศาลในวันนั้นหรือภายในกำหนด 2 วัน ตามข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงาน ถือได้ว่าศาลแรงงานมิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดศาลแรงงานดังกล่าวกับมาตรา 29 และมาตรา 44 แห่ง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานฯ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาในวันนัดพิจารณาและนัดสืบพยานโจทก์ตั้งแต่คำสั่งที่ให้จำเลยนำพยานเข้าสืบเป็นต้นไปจนกระทั่งศาลแรงงานมีคำพิพากษาและให้ศาลแรงงานสอบถามโจทก์และจำเลยเรื่องการอ้างและสืบพยานใดบ้าง หรือให้คู่ความทำบัญชีระบุพยานยื่นต่อศาล แล้วให้พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2590/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดศาลแรงงานเรื่องการสืบพยาน ทำให้กระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ตามข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงาน ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 29 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 ข้อ 10 วรรคหนึ่ง ระบุว่า "ในกรณีที่ศาลแรงงานสั่งให้มีการสืบพยาน ศาลจะสอบถามโจทก์และจำเลยแต่ละฝ่ายว่าประสงค์จะอ้างและ สืบพยานใดบ้าง แล้วจดชื่อและที่อยู่ของพยานบุคคลสภาพและ สถานที่เก็บของพยานเอกสารหรือพยานวัตถุไว้ หรือจะให้คู่ความ ทำบัญชีระบุพยานยื่นต่อศาลในวันนั้นหรือภายในกำหนด 2 วัน ก็ได้" ตามข้อกำหนดดังกล่าวกำหนดให้ศาลแรงงานมีหน้าที่ต้อง สอบถามคู่ความเกี่ยวกับการอ้างและสืบพยานตลอดจนสอบถามในเรื่องรายชื่อและที่อยู่ของพยานบุคคล สภาพและที่เก็บของพยานเอกสารหรือพยานวัตถุหรือให้คู่ความทำบัญชีระบุพยานยื่นต่อศาลในวันที่สั่งให้มีการสืบพยานหรือภายใน 2 วันซึ่งเป็นไปตามมาตรา 44แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522
ในวันนัดพิจารณาและสืบพยานโจทก์ จำเลยเพียงแถลงส่ง สัญญาว่าจ้างการแสดงเอกสารหมาย ล.1 ต่อศาลเท่านั้น ไม่ปรากฏว่าศาลแรงงานได้สอบถามโจทก์และจำเลยแต่ละฝ่ายว่าจะอ้างและสืบพยานใดบ้างหรือสั่งให้คู่ความทำบัญชีระบุพยานยื่นต่อศาลในวันนั้นหรือภายในกำหนด 2 วัน ตามข้อกำหนดศาลแรงงานว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแรงงาน ถือได้ว่าศาลแรงงานมิได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดศาลแรงงานดังกล่าวกับมาตรา 29 และมาตรา 44แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานฯ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายต้องเพิกถอนกระบวนพิจารณาในวันนัดพิจารณาและนัดสืบพยานโจทก์ตั้งแต่คำสั่งที่ให้จำเลยนำพยานเข้าสืบเป็นต้นไปจนกระทั่งศาลแรงงานมีคำพิพากษาและให้ศาลแรงงานสอบถามโจทก์และจำเลยเรื่องการอ้างและสืบพยานใดบ้าง หรือให้คู่ความทำบัญชีระบุพยานยื่นต่อศาล แล้วให้พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
of 35