พบผลลัพธ์ทั้งหมด 246 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 453/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์รถจากการขายระหว่างการพิจารณาคดี ทำให้ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอคืนรถที่ศาลสั่งริบ
ผู้ร้องเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์อยู่ในขณะที่มีการใช้รถจักรยานยนต์กระทำความผิด แต่ระหว่างพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นผู้ร้องได้ขายรถจักรยานยนต์ให้บุคคลภายนอกไป บุคคลภายนอกนั้นจึงเป็นเจ้าของรถจักรยานยนต์นับแต่ที่ผู้ร้องได้ขายให้เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบย่อมตกเป็นของแผ่นดิน บุคคลภายนอกผู้ซื้อไว้ไม่มีกรรมสิทธิ์อีกต่อไป แม้ผู้ร้องจะซื้อรถจักรยานยนต์คืนมา ผู้ร้องก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์และไม่มีสิทธิร้องขอคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2835/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจำเลยเยาวชน: การสอบถามทนายความก่อนพิจารณาคดีเป็นกระบวนการที่ชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยมีอายุไม่เกิน17ปีก่อนเริ่มพิจารณาศาลชั้นต้นมิได้สอบถามจำเลยเรื่องทนายความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา173วรรคสองจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบทำให้จำเลยเสียเปรียบในการดำเนินคดีศาลฎีกาชอบที่จะสั่งให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา208(2)ประกอบด้วยมาตรา225 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา173วรรคสองที่ให้ศาลสอบถามจำเลยเรื่องทนายเป็นบทบัญญัติที่ให้ความคุ้มครองสิทธิของจำเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่แม้ข้อกฎหมายนี้มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสองแต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2778/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยผู้มรณะและการขาดคำสั่งอนุญาต
จำเลยถึงแก่กรรมระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 3ศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ ก.ฟัง โดยระบุว่าเป็นทนายจำเลย โดยไม่ได้ทำการไต่สวนคำร้องของ ก. ที่ขอเข้าเป็นคู่ความแทนจำเลยผู้มรณะ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะพิพากษาคดีไปโดยที่ยังไม่มีคำสั่งอนุญาตให้ทายาทของจำเลยผู้มรณะหรือผู้จัดการทรัพย์มรดกของจำเลยผู้มรณะเป็นคู่ความแทนจำเลยผู้มรณะหาได้ไม่ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงไม่ชอบ ยังถือไม่ได้ว่า ก.ทายาทได้เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยโดยชอบแต่ประการใด ก.จึงไม่มีสิทธิที่จะยื่นฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อุทธรณ์ต้องห้าม: การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเรื่องการส่งหมายเรียกไม่ใช่เหตุแห่งการทิ้งฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา326,328ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า"คดีมีมูลให้ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาหมายเรียกจำเลยแก้คดีและให้นัดสืบพยานโจทก์ในวันเดียวกันแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบโดยให้โจทก์นำส่งภายใน3วันมิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง"แต่โจทก์มิได้นำส่งหมายเรียกจำเลยแก้คดีและหมายนัดสืบพยานโจทก์ตามคำสั่งจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งฟ้องและขอให้ จำหน่ายคดีออกจากสารบบความการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า"ทนายจำเลยมาศาลในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องและลงลายมือชื่อรับทราบในรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลมีคำสั่งว่าคดีโจทก์มีมูลและนัดจำเลยแก้คดีและนัดสืบพยานโจทก์แล้วถือได้ว่าจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วจึงไม่อาจถือว่าโจทก์ ทิ้งฟ้อง ให้ยกคำร้อง"นั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวนเพราะคดีจะต้องพิจารณาต่อไปแม้ว่าศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งต่อไปว่า"จำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดให้ออกหมายจับให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความจับจำเลยได้เมื่อใดให้โจทก์แถลงต่อศาลเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่"ก็เป็นเพียงคำสั่งให้ จำหน่ายคดีชั่วคราวอันเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกันไม่ใช่เป็นกรณีศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญแล้วดังนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่นำส่งหมายเรียกตามคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นการทิ้งฟ้องจึงเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา196
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2384/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดยื่นคำให้การและการส่งหมายเรียกโดยชอบ จำเลยมีภูมิลำเนาหลายแห่ง ศาลพิจารณาจากทะเบียนบ้าน
การขาดนัดยื่นคำให้การตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา197วรรคแรกย่อมขึ้นอยู่กับว่าคู่ความฝ่ายนั้นได้รับหมายเรียกให้ยื่นคำให้การโดยชอบแล้วหรือไม่ด้วยที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการส่งหมายให้จำเลยชอบแล้วอันมีผลให้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจึงตรงประเด็นแล้ว จำเลยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามที่โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้องที่จำเลยอ้างว่าจำเลยย้ายไปอยู่ที่อื่นแต่ไม่ได้ย้ายทะเบียนบ้านออกไปถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่หรือหลักแหล่งที่ทำการงานเป็นปกติหลายแห่งจึงให้ถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยเมื่อจำเลยได้รับมอบหมายเรียกให้ยื่นคำให้การโดยชอบแล้วจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในกำหนดการขาดนัดยื่นคำให้การของจำเลยจึงเป็นไปโดยจงใจและไม่มีเหตุอันสมควรประการอื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9117/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาถึงที่สุดและการอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับคำให้การ การดำเนินการหลังจากศาลชั้นต้นพิจารณาคดีเสร็จสิ้น
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับคำให้การของจำเลยเป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 18 จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ทันทีตามมาตรา 228(3)แต่เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลชั้นต้นคงดำเนินการพิจารณาต่อไป และศาลอุทธรณ์ก็มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาไว้ก่อนตามมาตรา 228 วรรคสองจนศาลชั้นต้นพิพากษาคดีไปแล้ว โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น การที่จะให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดีไม่ว่าศาลชั้นต้นจะสั่งรับหรือไม่รับคำให้การของจำเลยย่อมไม่อาจจะทำให้ผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วเปลี่ยนแปลงไปได้อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดีไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งหมายเรียกและคำบังคับที่ถูกต้องตามภูมิลำเนา การมิถือว่าการส่งไปยังสำนักงานทนายความเป็นการทราบว่าจำเลยไม่ได้อยู่ที่ภูมิลำเนา
ขณะทำสัญญาเช่าซื้อจำเลยที่1ได้ระบุภูมิลำเนาตามฟ้องไว้ในสัญญาอันเป็นภูมิลำเนาตรงตามบัตรประชาชนและตรงตามสำเนาทะเบียนบ้านของจำเลยที่1การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องก็ได้มีการส่งตามบ้านเลขที่ดังกล่าวซึ่งจำเลยที่1ได้ให้การต่อสู้คดีแล้วที่จำเลยที่1อ้างว่าการส่งหมายครั้งอื่นของพนักงานเดินหมายก่อนส่งคำบังคับได้นำไปส่งยังบ้านเลขที่อื่นที่เป็นสำนักงานของจำเลยที่1แสดงว่าพนักงานเดินหมายทราบดีว่าจำเลยที่1ไม่ได้อยู่บ้านเลขที่ตามฟ้องนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา77ได้บัญญัติถึงการส่งคำคู่ความหรือเอกสารโดย เจ้าพนักงานศาลไปยังที่อื่นหรือสำนักงานทำการงานการที่พนักงานเดินหมายไปส่งยังสำนักทำการงานของจำเลยที่1ตามที่ปรากฏในท้ายสำนวนนั้นย่อมไม่ใช่แสดงว่าเจ้าพนักงานทราบดีว่าจำเลยที่1ไม่ได้อยู่ที่บ้านเลขที่ตามฟ้องแต่อย่างใดอาจเป็นเพียงแต่เจ้าพนักงานเห็นว่าสะดวกกว่าการส่งไปยังภูมิลำเนาตามฟ้องก็เป็นได้โดยเฉพาะจำเลยที่1ประกอบอาชีพทนายความย่อมทราบขั้นตอนการพิจารณาของศาลเป็นอย่างดีแต่อ้างว่าเพิ่งติดตามคดีทั้งๆยื่นคำให้การต่อสู้คดีไว้ตั้งแต่วันที่6กรกฎาคม2535เพิ่งติดตามตรวจสำนวนเมื่อวันที่16กุมภาพันธ์2536ซึ่งห่างจากวันยื่นคำให้การถึง7เดือนเศษเป็นการผิดวิสัยของผู้ประกอบอาชีพทนายความอย่างยิ่งจึงมิใช่พฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8269/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตยื่นคำให้การ และผลกระทบต่อการพิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์และฎีกา
จำเลยไม่ยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์ไป จำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ จึงขออนุญาตยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์คำสั่งว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การ จึงขออนุญาตยื่นคำให้การ ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยอุทธรณ์ทั้งคำสั่งและคำพิพากษาของศาลชั้นต้น สำหรับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การและยกคำร้องดังกล่าวเป็นคำสั่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 199 วรรคสอง และเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น เมื่อจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าว จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 226 (1) ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ และศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจพิจารณาอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกอุทธรณ์คำสั่งนั้นเสียและวินิจฉัยอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยต่อไป การที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลย แต่กลับไปวินิจฉัยถึงพฤติการณ์ของจำเลยว่าจำเลยมิได้จงใจขาดนัดยื่นคำให้การและมีเหตุสมควรรับคำให้การของจำเลยไว้ การวินิจฉัยดังกล่าวเป็นการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยว่า จำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่นั่นเองคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาพิพากษา ถือว่าอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยในปัญหาที่ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การหรือไม่ เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาดังกล่าวตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และเนื่องจากศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลย เพื่อให้การวินิจฉัยคดีเป็นไปตามลำดับชั้นศาล ศาลฎีกาเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์คำพิพากษาของจำเลยเสียก่อน เนื่องจากผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจเกี่ยวโยงไปถึงสิทธิในการฎีกาคดีนี้ต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6847/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดนัดชำระหนี้ตามข้อตกลงประนอมหนี้ และผลกระทบต่อการล้มละลาย รวมถึงข้อผิดพลาดในการพิจารณาคดี
คำขอประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของลูกหนี้ที่ 2 ซึ่งศาลเห็นชอบด้วยแล้วนั้น มีความว่า ข้อ 1. ลูกหนี้ที่ 2 ยอมชำระค่าใช้จ่ายและหนี้สินตามมาตรา130 (1)-(7) แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 โดยเต็มจำนวนและในทันทีเมื่อศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ข้อ 2 นอกจากหนี้ที่กล่าวในข้อ 1 ลูกหนี้ที่ 2 ยอมชำระบรรดาหนี้ที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้แล้วเป็นจำนวนร้อยละห้าสิบของจำนวนหนี้มีกำหนดดังนี้ คือ งวดแรกชำระร้อยละห้าสิบของจำนวนหนี้ภายในวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ ส่วนที่เหลือจะชำระภายใน 1 ปี โดยแบ่งออกเป็น 3 งวด งวดละเท่า ๆ กัน โดยมีกำหนด 4 เดือน ต่อ 1 งวด ข้อ 3.หนี้ตามข้อ 1. และ 2. นั้น ลูกหนี้ที่ 2 จะชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อปรากฏว่ามีเจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ 2 จำนวน 10 รายซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้และคดีถึงที่สุดแล้วจำนวน 9 ราย แม้คำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 3 คดียังไม่ถึงที่สุดก็เป็นเพียงทำให้ไม่สามารถคำนวณค่าธรรมเนียมตามมาตรา 130 (4) กับจำนวนเงินที่ต้องวางชำระร้อยละห้าสิบของจำนวนหนี้ตามข้อตกลงในการประนอมหนี้ข้อ 1. และข้อ 2. เฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 3 นี้เท่านั้น แต่สำหรับค่าใช้จ่ายและหนี้สินตามมาตรา130 (1)-(7) และจำนวนที่ต้องชำระร้อยละห้าสิบของจำนวนหนี้ของเจ้าหนี้ทั้งเก้ารายซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้และคดีถึงที่สุดแล้ว มิใช่ไม่อาจคำนวณได้ และหากต้องรอให้คำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ทุกรายถึงที่สุดก่อนย่อมไม่เป็นธรรมแก่เจ้าหนี้ในรายที่คดีถึงที่สุดซึ่งจะทำให้ได้รับชำระหนี้ล่าช้าออกไป ทั้งยังเป็นการฝ่าฝืนต่อข้อตกลงในการประนอมหนี้ซึ่งกำหนดเวลาการชำระหนี้ไว้โดยชัดแจ้งลูกหนี้ที่ 2 จะนำเหตุที่คำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายที่ 3 ยังไม่ถึงที่สุดมาเป็นข้ออ้างที่จะไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงในการประนอมหนี้เสียทั้งหมดเลยหาได้ไม่เมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้มีหนังสือแจ้งให้ลูกหนี้ที่ 3 นำเงินค่าธรรมเนียมและเงินที่ต้องชำระแก่เจ้าหนี้ตามคำขอประนอมหนี้ไปวางชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 2 ก็ได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนการวางเงินโดยอ้างว่ากำลังรวบรวมเงินอยู่ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ให้โอกาสให้เลื่อนการวางเงินออกไปตามที่ลูกหนี้ที่ 2 ขอแต่เมื่อครบกำหนดแล้วลูกหนี้ที่ 2 กลับเพิกเฉยเสีย ย่อมเป็นข้อแสดงว่าลูกหนี้ที่ 2ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงในการประนอมหนี้ ถือได้ว่าลูกหนี้ที่ 2 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามที่ตกลงไว้ในการประนอมหนี้ ศาลชอบที่จะมีคำสั่งยกเลิกการประนอมหนี้และพิพากษาให้ลูกหนี้ที่ 2 ล้มละลาย ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 60วรรคหนึ่ง
ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 2 เด็ดขาด และคำพิพากษาให้ล้มละลายลับหลังลูกหนี้ที่ 2 โดยในวันนัดลูกหนี้ที่ 2 ไม่ได้มาฟังคำสั่งและคำพิพากษาและระยะเวลานับแต่วันปิดหมายถึงวันอ่านคำสั่งและคำพิพากษาเป็นเวลาน้อยกว่า15 วัน เป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง ประกอบกับพระราชบัญญัติ-ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 ซึ่งเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ.มาตรา 27 ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 แม้จะมีผลที่ให้ถือว่าลูกหนี้ที่ 2 ทราบวันนัดอ่านคำสั่งและคำพิพากษาไม่ได้ และถือว่าลูกหนี้ที่ 2ยังไม่ทราบคำสั่งและคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นได้อ่านนั้นก็ตาม แต่ต่อมาลูกหนี้ที่ 2 ได้ยื่นอุทธรณ์ แสดงว่าลูกหนี้ที่ 2 ได้ทราบคำสั่งและคำพิพากษานั้นแล้ว ลูกหนี้ที่ 2 จึงไม่ได้รับผลเสียหายใด ๆ จากการอ่านคำสั่งและคำพิพากษาที่ผิดระเบียบนั้นเลย จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยให้ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำสั่งและคำพิพากษาใหม่
ศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ที่ 2 เด็ดขาด และคำพิพากษาให้ล้มละลายลับหลังลูกหนี้ที่ 2 โดยในวันนัดลูกหนี้ที่ 2 ไม่ได้มาฟังคำสั่งและคำพิพากษาและระยะเวลานับแต่วันปิดหมายถึงวันอ่านคำสั่งและคำพิพากษาเป็นเวลาน้อยกว่า15 วัน เป็นการฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 79 วรรคสอง ประกอบกับพระราชบัญญัติ-ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 ซึ่งเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ.มาตรา 27 ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 153 แม้จะมีผลที่ให้ถือว่าลูกหนี้ที่ 2 ทราบวันนัดอ่านคำสั่งและคำพิพากษาไม่ได้ และถือว่าลูกหนี้ที่ 2ยังไม่ทราบคำสั่งและคำพิพากษาที่ศาลชั้นต้นได้อ่านนั้นก็ตาม แต่ต่อมาลูกหนี้ที่ 2 ได้ยื่นอุทธรณ์ แสดงว่าลูกหนี้ที่ 2 ได้ทราบคำสั่งและคำพิพากษานั้นแล้ว ลูกหนี้ที่ 2 จึงไม่ได้รับผลเสียหายใด ๆ จากการอ่านคำสั่งและคำพิพากษาที่ผิดระเบียบนั้นเลย จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบโดยให้ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำสั่งและคำพิพากษาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6275/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การขัดแย้งไม่ชัดเจน ถือเป็นคำให้การไม่ชอบ ศาลไม่ต้องวินิจฉัยประเด็นที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากัน
คำให้การของจำเลยที่1ตอนแรกเป็นการปฏิเสธว่าเช็คพิพาทไม่ใช่เช็คของจำเลยที่1แต่ตอนหลังกลับให้การว่าหากศาลฟังว่าเช็คพิพาทเป็นของจำเลยที่1จำเลยที่1ก็ขอให้การต่อสู้ต่อไปว่าโจทก์ได้รับโอนเช็คมาจากจำเลยที่2โดยไม่สุจริตคำให้การดังกล่าวขัดกันเองเป็นการไม่แสดงให้เห็นแจ้งชัดว่าจำเลยที่1ยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วนเป็นคำให้การไม่ชอบไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากจำเลยที่2โดยไม่สุจริตด้วยคบคิดกับจำเลยที่2ฉ้อฉลจำเลยที่1หรือไม่ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์รับโอนเช็คพิพาทจากจำเลยที่2โดยไม่สุจริตด้วยคบคิดกันฉ้อฉลจึงไม่ชอบ