พบผลลัพธ์ทั้งหมด 215 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4805/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งทอดสุดท้ายในกรณีสินค้าเสียหายจากการขนส่งทางทะเล
จำเลยที่1เป็นผู้แจ้งการนำเรือเข้าต่อกรมศุลกากรและหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องและจ้างเรือฉลอมไปขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่มาส่งที่โกดังของบริษัทผู้ซื้อสินค้าที่กรุงเทพมหานครโดยจำเลยที่1ได้รับบำเหน็จจากการดำเนินการดังกล่าวพฤติการณ์ของจำเลยที่1เห็นได้ว่าจำเลยที่1เป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการขนส่งทอดสุดท้ายเพื่อให้สินค้าถึงมือผู้ซื้อซึ่งถือได้ว่าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยที่1เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา609และมาตรา618ซึ่งเป็นกฎหมายใกล้เคียงกับกฎหมายว่าด้วยการรับขนทางทะเลจำเลยที่1จึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายของสินค้าให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่ง เมื่อการขนส่งสินค้าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยที่1เป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายผู้รับขนส่งต้องรับผิดร่วมกันในการที่สินค้านั้นสูญหายหรือบุบสลายแม้ความเสียหายจะเกิดขึ้นก่อนที่จำเลยที่1จะรับขนเป็นทอดสุดท้ายก็ตาม ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยให้โจทก์รับช่วงสิทธิและมีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ7.5ต่อปีแล้วแต่ไม่ได้กล่าวไว้ในตอนท้ายของคำพิพากษาส่วนศาลอุทธรณ์ก็เพียงแต่วงเล็บข้อความไว้เมื่อกล่าวถึงคำพิพากษาของศาลชั้นต้นศาลฎีกาสมควรกำหนดให้จำเลยทั้งสามชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5ต่อปีไว้ในคำพิพากษาให้ครบถ้วนด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4754/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิในสัญญาประกันภัยสินค้าและการรับผิดของผู้ขนส่งทอดสุดท้าย
การที่บริษัทเอผู้ขายและผู้เอาประกันภัยสินค้าที่ขนส่งทางทะเลได้รับชำระราคาสินค้านั้นแล้วได้ส่งใบตราส่ง ใบกรมธรรม์ประกันภัย ใบกำกับสินค้าและใบรายการบรรจุหีบห่อไปให้บริษัทบี ย่อมแสดงให้เห็นเจตนาของบริษัทเอว่าประสงค์จะโอนสินค้าซึ่งเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยไปให้บริษัทบีแล้ว และเมื่อปรากฎว่าสินค้าที่ขนส่งได้รับความเสียหาย บริษัทบีก็ได้ทวงถามให้จำเลยซึ่งบริษัทเชื่อว่าเป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้าดังกล่าวชดใช้ค่าเสียหาย แต่จำเลยเพิกเฉย จึงทวงถามโจทก์ผู้รับประกันภัย โจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัทบีไป ย่อมทำให้เชื่อว่าบริษัทเอผู้เอาประกันภัยได้บอกกล่าวการโอนสินค้าซึ่งเป็นวัตถุที่เอาประกันภัยไปยังโจทก์ผู้รับประกันภัยแล้ว มิฉะนั้นย่อมไม่มีเหตุที่โจทก์จะยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่บริษัทบี ฉะนั้น สิทธิอันมีอยู่ในสัญญาประกันภัยดังกล่าวย่อมโอนไปยังบริษัทบี ตามป.พ.พ. มาตรา 875 วรรคสอง เมื่อโจทก์ได้ชำระค่าเสียหายให้บริษัทบี โจทก์จึงเป็นผู้รับช่วงสิทธิของบริษัทดังกล่าวมาฟ้องให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายดังกล่าวได้
การที่จำเลยขอนำเรือเข้า ติดต่อขอเช่าเรือลากจูง นำหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารมาวางเป็นประกันต่อกรมเจ้าท่าและการท่าเรือ-แห่งประเทศไทย และการที่จำเลยเป็นผู้ออกใบปล่อยสินค้าพิพาท เห็นได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการขนส่งทอดสุดท้ายเพื่อให้สินค้าพิพาทได้ขนส่งถึงมือผู้รับตราส่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้าย จำเลยจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 618 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งกับการรับ-ขนของทางทะเลในขณะเกิดเหตุข้อพิพาท
การที่จำเลยขอนำเรือเข้า ติดต่อขอเช่าเรือลากจูง นำหนังสือสัญญาค้ำประกันของธนาคารมาวางเป็นประกันต่อกรมเจ้าท่าและการท่าเรือ-แห่งประเทศไทย และการที่จำเลยเป็นผู้ออกใบปล่อยสินค้าพิพาท เห็นได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการขนส่งทอดสุดท้ายเพื่อให้สินค้าพิพาทได้ขนส่งถึงมือผู้รับตราส่ง ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้าย จำเลยจึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 618 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งกับการรับ-ขนของทางทะเลในขณะเกิดเหตุข้อพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 305/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งทอดสุดท้ายในกรณีสินค้าสูญหายจากการขนส่งทางทะเล
จำเลยประกอบอาชีพตัวแทนเดินเรือของบริษัทในต่างประเทศซึ่งไม่มีสาขาอยู่ในประเทศไทยและเป็นตัวแทนของบริษัทผู้ขนส่งเมื่อเรือสินค้าจากต่างประเทศมาถึงท่าเรือ เกาะสีชังจังหวัดชลบุรีจำเลยได้ดำเนินการติดต่อกรมศุลกากรเพื่อให้พนักงานศุลกากรไปตรวจสินค้าในเรือติดต่อกองตรวจคนเข้าเมืองเพื่อส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจบนเรือแจ้งเวลาเรือเข้าให้บริษัทผู้รับตราส่งทราบและให้นำใบตราส่งมาแลกใบปล่อยสินค้าจากจำเลยสั่งให้นายเรือปล่อยสินค้าและวางหนังสือค้ำประกันของธนาคารต่อการท่าเรือแห่งประเทศไทยในการใช้บริการทางท่าเรือเมื่อเรือสินค้ามาถึงท่าเรือเกาะ สีชัง จำเลยเป็นผู้ว่าจ้างบริษัท จ. ขนถ่ายสินค้าจากเรือสินค้าสู่เรือฉลอมเพื่อส่งให้แก่บริษัทผู้รับตราส่งที่ท่าเรือกรุงเทพตามที่ระบุไว้ในใบตราส่งและบริษัท จ. ได้ทำรายงานสินค้าขาดเกินมอบให้แก่จำเลยตามพฤติการณ์ดังกล่าวเห็นได้ว่าจำเลยเป็นผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินการขนส่งทอดสุดท้ายขึ้นจากเรือสินค้าเพื่อส่งมอบให้แก่ผู้รับตราส่งและเพื่อให้สินค้าพิพาทได้ขนส่งถึงมือผู้ซื้อซึ่งถือได้ว่าเป็นการขนส่งหลายทอดตามวิธีการขนส่งทางทะเลโดยจำเลยเป็นผู้ร่วมขนส่งและเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา618ซึ่งเป็นบทกฎหมายใกล้เคียงกับกฎหมายว่าด้วยการรับขนส่งทางทะเลในขณะเกิดมูลคดีนี้เมื่อสินค้าที่ขนส่งสูญหายระหว่างการขนส่งจำเลยจำต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในการสูญหายของสินค้าให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับช่วงสิทธิมาจากผู้รับตราส่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1031/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งหลายทอดและการร่วมขนส่งสินค้าทางทะเล
สายการเดินเรือ ซ.รับจ้างขนส่งสินค้าจากต่างประเทศมายังประเทศไทย แต่ไม่มีสาขาในประเทศไทย จึงให้จำเลยที่ 1 ดำเนินการแทนระหว่างเดินทาง เรือบรรทุกสินค้าของสายการเดินเรือ ซ.เกิดเพลิงไหม้ ทำให้สินค้าเสียหายบางส่วน ต้องขนสินค้าที่เสียหายขึ้นที่เมืองฮ่องกง จำเลยที่ 1 มีหนังสือถึงผู้เกี่ยวข้องกับสินค้าบนเรือขอให้ใช้กฎแห่งการเฉลี่ยทั่วไปในรูปแบบของหลักประกันเฉลี่ยของบริษัทลอยด์ จำกัด จากผู้รับตราส่งสินค้าเรียกหนังสือค้ำประกันเพื่อกฎแห่งการเฉลี่ยอย่างไม่จำกัดจำนวนจากผู้รับประกันภัยสินค้าและขอให้ลงชื่อในแบบฟอร์มหลักประกันเฉลี่ยและหนังสือค้ำประกัน เมื่อเรือสินค้ามาถึงประเทศไทยจำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งเรือเข้าต่อกรมเจ้าท่าและต่อการท่าเรือแห่งประเทศไทยแจ้งให้กรมศุลกากรทราบว่าสินค้าที่บรรทุกมาบนเรือมีอะไรบ้าง ประกาศหนังสือพิมพ์ให้ผู้รับตราส่งทราบเพื่อให้นำใบตราส่งมาแลกกับใบปล่อยสินค้าซึ่งจำเลยที่ 1เป็นผู้ออกให้เพื่อไปรับสินค้าจากคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับค่าระวางขนส่งจากผู้รับตราส่ง มีหน้าที่ขนถ่ายสินค้าบนเรือทั้งหมดไปเก็บไว้ในคลังสินค้า และเมื่อเรือบรรทุกสินค้าไม่สามารถแล่นผ่านปากแม่น้ำเจ้าพระยา จำเลยที่ 1 ต้องหาเรือลำเลียงมาขนถ่ายสินค้า การดำเนินการดังกล่าวของจำเลยที่ 1 เป็นวิธีการรับขนทางทะเล มีลักษณะร่วมกันขนส่งสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่จำเลยที่ 1 ประกาศหนังสือพิมพ์ให้ผู้รับตราส่งทราบเพื่อให้นำใบตราส่งมาแลกกับใบปล่อยสินค้าซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกให้เพื่อนำไปรับสินค้าจากคลังสินค้าของการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นขั้นตอนสำคัญของการรับขนตามป.พ.พ. มาตรา 615 และมาตรา 622 จำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้ขนส่งหลายคนหลายทอดตาม ป.พ.พ. มาตรา 618 จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
เมื่อเรือบรรทุกสินค้าบรรทุกน้ำหนักมาก ไม่สามารถเข้ามาที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาได้ จำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขนถ่ายสินค้าจากเรือบรรทุกสินค้าจากเกาะสีชังมากรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 4และที่ 5 ขนถ่ายสินค้า โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นคนขับเรือเล็ก จำเลยที่ 2 ที่ 4และที่ 5 เป็นผู้ดำเนินการขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่สู่เรือเล็กแล้วนำเข้าเก็บไว้ในคลังสินค้า จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้าพิพาทกับจำเลยที่ 1 เพื่อให้สินค้าถึงมือผู้ซื้อในการขนส่งช่วงสุดท้าย จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของจำเลยที่ 4 และที่ 5ซึ่งเป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้าพิพาท จำเลยที่ 3 จึงย่อมไม่ใช่ผู้ร่วมขนส่งหลายทอด
เมื่อเรือบรรทุกสินค้าบรรทุกน้ำหนักมาก ไม่สามารถเข้ามาที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยาได้ จำเลยที่ 1 ได้ให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขนถ่ายสินค้าจากเรือบรรทุกสินค้าจากเกาะสีชังมากรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 2 ได้ว่าจ้างจำเลยที่ 4และที่ 5 ขนถ่ายสินค้า โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นคนขับเรือเล็ก จำเลยที่ 2 ที่ 4และที่ 5 เป็นผู้ดำเนินการขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่สู่เรือเล็กแล้วนำเข้าเก็บไว้ในคลังสินค้า จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้าพิพาทกับจำเลยที่ 1 เพื่อให้สินค้าถึงมือผู้ซื้อในการขนส่งช่วงสุดท้าย จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 3 มีฐานะเป็นเพียงลูกจ้างของจำเลยที่ 4 และที่ 5ซึ่งเป็นผู้ร่วมขนส่งสินค้าพิพาท จำเลยที่ 3 จึงย่อมไม่ใช่ผู้ร่วมขนส่งหลายทอด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 746-750/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับผิดของบริษัทขนส่งต่อความเสียหายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ และการฟ้องคดีต่อศาลที่มีอำนาจ
แม้จำเลยที่1ต้องโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำเรือนจำก็มิใช่ท้องที่ที่จำเลยที่1มีถิ่นที่อยู่ไม่อาจถือว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่1(ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ1เดิม)โจทก์ทั้งห้าจะฟ้องจำเลยที่1ในมูลละเมิดต่อศาลชั้นต้นที่เรือนจำตั้งอยู่มิได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(2)เดิมแต่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค3มีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา4(1)โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่12)พ.ศ.2534ทำให้โจทก์ทั้งห้ามีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นดังกล่าวซึ่งเป็นศาลที่มูลคดีเกิดได้ด้วยศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจรับฟ้องโจทก์ทั้งห้าไว้พิจารณา จำเลยที่2ต้องเสียค่าบริการให้จำเลยที่3เป็นรายวันเพื่อตอบแทนการนำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุเข้าร่วมแล่นกับจำเลยที่3การเดินรถคันดังกล่าวจึงเป็นกิจการร่วมกันการที่จำเลยที่1ขับรถยนต์คันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุโดยรับจ้างจำเลยที่2จึงเป็นการกระทำของลูกจ้างในทางการที่จ้างของจำเลยที่3ด้วย ขณะเกิดเหตุโจทก์ที่2เช่าซื้อรถยนต์กระบะคันที่ถูกจำเลยที่1ขับชนโดยต้องรับผิดซ่อมแซมรถด้วยโจทก์ที่2ย่อมมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นได้แม้ต่อมาสัญญาเช่าซื้อจะเลิกกันก็ไม่เป็นเหตุให้สิทธิของโจทก์ที่2ซึ่งมีอยู่แล้วระงับสิ้นไป จำเลยที่3ฎีกาว่าศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าขาดไร้อุปการะให้โจทก์คนละ100,000บาทสูงเกินไปนั้นเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7042/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยไม่ได้เป็นผู้ขนส่งร่วม การมอบอำนาจและการวินิจฉัยศาลอุทธรณ์มีผลต่อการรับผิดชอบค่าเสียหาย
สำหรับเรื่องการมอบอำนาจแม้จำเลยที่1จะให้การสู้คดีไว้แต่ในชั้นอุทธรณ์จำเลยที่1ไม่ได้อุทธรณ์ในประเด็นนี้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ส่วนในเรื่องใบรับรองกรมธรรม์เปิดทางทะเลศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยไว้โดยละเอียดแล้วแต่ฎีกาของจำเลยดังกล่าวหาได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไรไม่จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้กล่าวไว้โดยชัดแจ้งฎีกาจำเลยที่1ทั้งสองประเด็นดังกล่าวไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ใบตราส่งเป็นแบบ ฟลูไลเนอร์เทอม ซึ่งหมายความว่าหน้าที่ในการขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่ลงสู่เรือ ฉลอมเป็นหน้าที่ของเจ้าของเรือใหญ่ซึ่งเป็นผู้ขนส่งสินค้าในการควบคุมการขนส่งสินค้าจากท่าเรือ เกาะสีชังมายังท่าเรือกรุงเทพพนักงานของเรือใหญ่เป็นผู้ควบคุมมาเองจำเลยที่1ไม่ได้เข้าร่วมทำการขนส่งสินค้ารายนี้กับจำเลยที่2ซึ่งได้ทำการขนส่งมาโดยเรือใหญ่และไม่ได้มีส่วนเข้าร่วมในการขนถ่ายสินค้าด้วยส่วนการแจ้งกำหนดเวลาที่เรือมาถึงให้ผู้ซื้อสินค้าส่งมาทราบการติดต่อเพื่อขอนำเรือเข้าเทียบท่าและให้ไปตรวจสินค้ารวมทั้งแจ้งต่อกองตรวจคนเข้าเมืองนั้นกิจการเหล่านี้เป็นกิจการที่จำเลยที่2ผู้ขนส่งและเจ้าของเรือใหญ่จะต้องกระทำด้วยตนเองการที่จำเลยที่1ได้กระทำกิจการเหล่านั้นแทนผู้ขนส่งและเจ้าของเรือยังไม่พอถือว่าจำเลยที่1เป็นผู้เข้าร่วมขนส่งกับจำเลยที่2และเรือใหญ่ด้วยจำเลยที่1จึงไม่ต้องรับผิดสำหรับความเสียหายของสินค้าที่ขนส่ง คดีมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเท่ากับจำนวนทุนทรัพย์ที่จำเลยที่1ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คือ283,734.40บาทซึ่งจำเลยที่1ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเพียง7,092.50บาทแต่ศาลชั้นต้นคำนวณทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาโดยรวมดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยที่1ยื่นฎีกาเข้าเป็นทุนทรัพย์จำนวน359,497.31บาทด้วยและให้จำเลยที่1เสียค่าขึ้นศาลฎีกาเป็นเงิน8,987.50บาทจำเลยที่1จึงเสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาเกินมาจำนวน1,895บาทศาลฎีกาชอบที่จะสั่งให้คืนเงินค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่ชำระเกินมาแก่จำเลยที่1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากการขนส่งและการแก้ไขคำฟ้อง
เดิมโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกัน หรือจำเลยที่ 1เชิดจำเลยที่ 2 ออกแสดงเป็นตัวแทนจ้างจำเลยที่ 3 ขับรถยนต์บรรทุกซึ่งมีป้ายชื่อ"โรงสีชัยเจริญ 4" อันเป็นชื่อกิจการค้าโรงสีซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีผลประโยชน์ร่วมกันติดอยู่ที่หลังคาหน้ารถโดยเปิดเผย การที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องโดยเพิ่มข้อความว่า โรงสีชัยเจริญ 4 เป็นโรงสีข้าวในกิจการของห้างหุ้นส่วนโรงสีไฟชัยเจริญซึ่งจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลที่สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดพิจิตร ซึ่งจำเลยที่ 1และที่ 2 เป็นหุ้นส่วน โดยจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการเข้าไปนั้น ข้อความที่ขอแก้ไขเกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ทั้งโจทก์ขอแก้ไขก่อนวันสืบพยาน เป็นกรณีที่โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 179 และมาตรา 180 โจทก์จึงมีสิทธิแก้ไขคำฟ้องได้
ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องพิการและทนทุกข์ทรมานเป็นความเสียหายที่มิใช่ตัวเงินอย่างหนึ่ง โจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้ตามมาตรา 446
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ และจำเลยที่ 1 กับห้างหุันส่วนจำกัดโรงสีไฟชัยเจริญร่วมกันประกอบการขนส่งเพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างและกระทำละเมิดในทางการที่จ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงสีไฟชัยเจริญ และจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด จึงต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1077 (2)
ค่าเสียหายที่โจทก์ต้องพิการและทนทุกข์ทรมานเป็นความเสียหายที่มิใช่ตัวเงินอย่างหนึ่ง โจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้ตามมาตรา 446
ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ และจำเลยที่ 1 กับห้างหุันส่วนจำกัดโรงสีไฟชัยเจริญร่วมกันประกอบการขนส่งเพื่อหาผลประโยชน์ร่วมกัน จำเลยที่ 3 เป็นลูกจ้างและกระทำละเมิดในทางการที่จ้างของห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงสีไฟชัยเจริญ และจำเลยที่ 2 เป็นหุ้นส่วนประเภทไม่จำกัดความรับผิด จึงต้องร่วมรับผิดในบรรดาหนี้ของห้างหุ้นส่วนโดยไม่จำกัดจำนวนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1077 (2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5203/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งและตัวแทนขนส่ง กรณีสินค้าสูญหาย รวมถึงข้อยกเว้นจำกัดความรับผิดที่มิชอบ
แม้บริษัท ม.ผู้รับตราส่งในต่างประเทศได้รับช่วงสิทธิของโจทก์ที่จะเรียกร้องเอาตามสัญญารับขนให้ผู้ส่งส่งมอบสินค้าที่ขนส่งแต่บริษัท ม.ไม่ได้รับสินค้าพิพาทจากโจทก์จึงไม่มีหนี้ที่จะต้องชำระให้โจทก์และไม่มีส่วนได้เสียสำหรับสินค้าที่สูญหายเพราะไม่ใช่เจ้าของโจทก์ซึ่งเป็นผู้ส่งย่อมได้รับความเสียหายจึงมีอำนาจฟ้องเรียกราคาสินค้าพิพาทจากผู้ขนส่งได้ ในการออกใบตราส่งแม้ไม่มีชื่อจำเลยเป็นผู้ขนส่งแต่จำเลยเป็นผู้ออกในนามของบริษัท ฟ.ผู้ขนส่งแสดงว่าจำเลยในฐานะตัวแทนของบริษัท ฟ.ตัวการได้ทำสัญญารับขนสินค้าพิพาทกับโจทก์เมื่อสินค้าพิพาทเกิดสูญหายที่ปลายทางในระหว่างอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัท ฟ.ผู้ขนส่งจำเลยซึ่งเป็นตัวแทนทำสัญญาขนส่งตัวการซึ่งอยู่ต่างประเทศและมีภูมิลำเนาอยู่ต่างประเทศจึงต้องรับผิดตามสัญญารับขนนั้นโดยลำพังตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา824และมาตรา616 ข้อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดในใบตราส่งจำเลยเป็นผู้กำหนดขึ้นเองฝ่ายเดียวโดยพิมพ์ไว้ด้านหลังใบตราส่งเป็นภาษาอังกฤษตัวอักษรมีขนาดเล็กมากจนยากที่จะอ่านได้ไม่มีช่องสำหรับให้ผู้ใดลงชื่อและไม่มีคำแปลภาษาไทยแม้ อ.หุ้นส่วนผู้จัดการของโจทก์จะมีความรู้ภาษาอังกฤษแต่ก็มิได้ลงลายมือชื่อแสดงความตกลงด้วยชัดแจ้งและยังทักท้วงไว้ด้วยข้อยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดดังกล่าวจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา625เมื่อสินค้าพิพาทเกิดสูญหายในระหว่างอยู่ในความครอบครองของผู้ขนส่งจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ชดใช้ราคาสินค้าพิพาทตามจำนวนที่ระบุไว้ในใบกำกับสินค้าหรือใบแสดงราคาสินค้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา620 จำเลยฎีกาในประเด็นที่ว่าจำเลยเป็นตัวแทนทำสัญญาประกันภัยให้แก่โจทก์หรือไม่เมื่อประเด็นข้อนี้โจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยต้องกันกับคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยไม่ได้เป็นตัวแทนของโจทก์นำสินค้าไปเอาประกันภัยโจทก์มิได้ฎีกาหรือแก้ฎีกาเป็นประเด็นขึ้นมาข้อวินิจฉัยของศาลล่างดังกล่าวจึงเป็นผลดีแก่จำเลยแล้วไม่เป็นประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับขนส่งตามกฎหมาย แม้ไม่มีใบอนุญาตและรถบรรทุกเอง ก็ต้องรับผิดชอบความเสียหายจากการขนส่งที่มอบหมายให้ผู้อื่น
โจทก์มอบให้จำเลยที่1ซึ่งมีจำเลยที่2เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการติดต่อดำเนินการเกี่ยวกับพิธีการศุลกากรและการลากจูงตู้บรรจุสินค้าไปบรรจุสินค้าที่โรงงานของโจทก์ซึ่งอยู่ต่างจังหวัดและลากจูงตู้บรรจุสินค้าดังกล่าวไปส่งมอบให้บริษัท น. ที่ท่าเรือของการท่าเรือแห่งประเทศไทยแม้จำเลยที่1จะไม่มีใบอนุญาตให้ประกอบการขนส่งและไม่มีรถบรรทุกเป็นของตนเองแต่การขนส่งและรับขนสินค้าเป็นวัตถุประสงค์ข้อหนึ่งของจำเลยที่1ที่ได้จดทะเบียนไว้ก็ถือว่าจำเลยที่1ประกอบการเป็นผู้รับขนส่งของเพื่อบำเหน็จเป็นทางค้าโดยปกติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา608การที่จำเลยที่1ว่าจ้างให้จำเลยที่3นำรถไปลากจูงตู้บรรจุสินค้าดังกล่าวย่อมเป็นการมอบหมายของนั้นไปอีกทอดหนึ่งเมื่อของที่รับขนสูญหายไปเพราะความผิดของจำเลยที่3จำเลยที่1และที่2จึงต้องร่วมกับจำเลยที่3รับผิดต่อโจทก์ด้วยตามมาตรา617
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5849/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของผู้ขนส่งทอดสุดท้ายในความเสียหายของสินค้า
นอกจากจำเลยจะปฏิบัติหน้าที่ทางเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหน่วยราชการต่าง ๆ แทนบริษัทผู้ขนส่งที่อยู่ต่างประเทศแล้ว จำเลยยังเป็นผู้จัดการในการขนถ่ายสินค้าจากเรือใหญ่ลงเรือฉลอมแล้วนำเข้ามาที่โรงพักสินค้าเพื่อส่งมอบให้ผู้ซื้อสินค้าซึ่งเป็นผู้รับตราส่งอีกด้วย เข้าลักษณะร่วมขนส่งเพื่อให้สินค้าถึงมือผู้ซื้อในการขนส่งช่วงสุดท้าย จำเลยจึงเป็นผู้ขนส่งทอดสุดท้ายซึ่งต้องร่วมรับผิดในความเสียหายของสินค้าด้วย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 618 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งกับการรับขนของทางทะเลในขณะเกิดข้อพิพาท ทั้งนี้ไม่ว่าความเสียหายจะเกิดขึ้นตอนใดในระหว่างการขนส่งและจำเลยจะได้เป็นผู้ทำให้เกิดความเสียหายนั้นหรือไม่