พบผลลัพธ์ทั้งหมด 140 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1486/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การข่มขืนใจทางอาญา: การกระทำต้องทำให้เกิดความกลัวหรือใช้กำลังประทุษร้าย จึงจะเข้าองค์ความผิดมาตรา 309
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ใช้และครอบครองเครื่องโทรศัพท์จำเลยซึ่งเป็นพนักงานองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยได้นำความเท็จไปแจ้งผู้บังคับบัญชาจำเลยว่า โจทก์ค้างชำระค่าเช่าโทรศัพท์ขอให้ระงับการใช้โทรศัพท์ของโจทก์ ผู้บังคับบัญชาของจำเลยหลงเชื่อจึงอนุมัติให้ระงับการใช้โทรศัพท์จนโจทก์ต้องนำเงินไปชำระให้แก่จำเลยเช่นนี้คำบรรยายฟ้องดังกล่าวหาเข้าลักษณะเป็นการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 309 ไม่ เพราะไม่มีข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำให้โจทก์กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของโจทก์ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายโจทก์ตามที่กฎหมายระบุไว้เลย ฟ้องโจทก์จึงไม่ครบองค์ความผิดตามบทมาตราดังกล่าว ศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1266/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนใจเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่: การรวมกลุ่มขัดขวางและข่มขู่ตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่จับกุม
ตำรวจจะเข้าจับกุมเจ้าของรถเข็นในข้อหานำรถที่ไม่ได้เสียภาษีมาใช้ในทางและกีดขวางทางจราจร จำเลยพูดว่า 'ถ้าจับมีเรื่องแน่' พร้อมกับชี้มือในลักษณะของการข่มขู่ และพวกจำเลยประมาณ 30-40 คนได้เดินเข้าไปหาตำรวจ ทำให้ตำรวจกลัวว่าจำเลยและพวกจะทำร้ายจึงพากันถอยออกไป การกระทำของจำเลยกับพวกดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะข่มขืนใจไม่ให้เจ้าพนักงานปฏิบัติตามหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติการตามหน้าที่ จำเลยจึงมีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 139 และเมื่อการกระทำต้องด้วยมาตรา 140 ก็ไม่ต้องปรับบทด้วยมาตรา 139 อีก.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 288/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนใจให้ผู้อื่นออกจากที่ดินโดยขู่เข็ญด้วยอาวุธ การกระทำผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309
จำเลยกับพวก 5 คนนั่งรถยนต์ปิคอัพมาที่ไร่ของผู้เสียหายแล้ว จำเลยลงมาพูดขู่บังคับผู้เสียหายให้ออกไปจากไร่ของผู้เสียหายภายใน 2 เดือน ถ้าไม่ยอมออก จะให้ลูกปืนกินหรือใช้ปืนยิง ซึ่งต่อมาผู้เสียหายได้หนีออกจากไร่ของตนเพราะกลัวจะถูกทำร้ายตามที่จำเลยพูดขู่ไว้ การกระทำของจำเลยเข้าลักษณะเป็นความผิดต่อเสรีภาพตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 ซึ่งลงโทษได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำโดยเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขืนใจ กรรโชกทรัพย์ และความรับผิดทางแพ่งในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันใช้อำนาจ ในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ ข่มขืนใจ กรรโชกให้ผู้เสียหายมอบเนื้อกระบือชำแหละแล้ว 140 กิโลกรัม ให้แก่จำเลยกับพวก มิฉะนั้นจำเลยกับพวกจะยึดเนื้อกระบือชำแหละแล้ว 500 กิโลกรัม ไปตรวจสอบอันจะเป็นเหตุให้เนื้อดังกล่าวเสียหาย และจะจับกุมผู้เสียหาย กับพวก ทำให้ปราศจากเสรีภาพ ผู้เสียหายกับพวกจึงยอมมอบเนื้อ140 กิโลกรัม ให้จำเลยกับพวกไป เป็นการบรรยายข้อเท็จจริงที่เป็นการกระทำของจำเลย ที่กระทำต่อผู้เสียหายโดยละเอียดครบถ้วนในลักษณะความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 148 และมาตรา 337 แล้ว ทั้งบทบัญญัติแห่งกฎหมาย 2 มาตราดังกล่าวก็ไม่ได้ระบุองค์ประกอบความผิดว่า ผู้กระทำต้องมีเจตนาทุจริตด้วยคำบรรยายฟ้องจึงชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องและได้ทรัพย์สิน จากผู้เสียหายคิดเป็นเงิน 6,000 บาทกรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 432 คือจำเลยกับพวก ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น คำว่า 'ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน' หมายความว่า แต่ละคน จะต้องชำระหนี้ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง อันมีฐานะเช่นเดียวกับลูกหนี้ร่วม
ฎีกาขอให้รอการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องและได้ทรัพย์สิน จากผู้เสียหายคิดเป็นเงิน 6,000 บาทกรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 432 คือจำเลยกับพวก ต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้น คำว่า 'ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน' หมายความว่า แต่ละคน จะต้องชำระหนี้ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง อันมีฐานะเช่นเดียวกับลูกหนี้ร่วม
ฎีกาขอให้รอการลงโทษ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดข่มขืนใจ กรรโชกทรัพย์ และความรับผิดร่วมกันของจำเลยหลายคนในการชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์บรรยายฟ้องความผิดตามป.อ.มาตรา148,339ว่าจำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบข่มขืนใจกรรโชกให้ผู้เสียหายมอบเนื้อกระบือชำแหละแล้ว140กิโลกรัมให้แก่จำเลยกับพวกมิฉะนั้นจำเลยกับพวกจะยึดเนื้อกระบือชำแหละแล้ว500กิโลกรัมไปตรวจสอบและจะจับกุมผู้เสียหายกับพวกดังนี้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้วโจทก์ไม่จำต้องระบุในฟ้องว่าจำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาทุจริต กรณีที่มีจำเลยหลายคนร่วมกันกระทำความผิดการบังคับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ต้องบังคับตามป.พ.พ.มาตรา432ซึ่งจำเลยแต่ละคนจะต้องชำระหนี้ทั้งหมดโดยสิ้นเชิงอันมีฐานะเช่นเดียวกับลูกหนี้ร่วม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2786/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชอบด้วยกฎหมายของคำฟ้องข่มขืนใจกรรโชกและการรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในคดีอาญา
ฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยกับพวกได้บังอาจร่วมกันใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบข่มขืนใจกรรโชกให้ผู้เสียหายมอบเนื้อกระบือชำแหละแล้ว140กิโลกรัมให้แก่จำเลยกับพวกมิฉะนั้นจำเลยกับพวกจะยึดเนื้อกระบือชำแหละแล้ว500กิโลกรัมไปตรวจสอบอันจะเป็นเหตุให้เนื้อดังกล่าวเสียหายและจะจับกุมผู้เสียหายกับพวกทำให้ปราศจากเสรีภาพผู้เสียหายกับพวกจึงยอมมอบเนื้อ140กิโลกรัมให้จำเลยกับพวกไปเป็นการบรรยายข้อเท็จจริงที่เป็นการกระทำของจำเลยที่กระทำต่อผู้เสียหายโดยละเอียดครบถ้วนในลักษณะความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา148และมาตรา337แล้วทั้งบทบัญญัติแห่งกฎหมาย2มาตราดังกล่าวก็ไม่ได้ระบุองค์ประกอบความผิดว่าผู้กระทำต้องมีเจตนาทุจริตด้วยคำบรรยายฟ้องจึงชอบด้วยกฎหมาย จำเลยกับพวกร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องและได้ทรัพย์สินจากผู้เสียหายคิดเป็นเงิน6,000บาทกรณีต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา432คือจำเลยกับพวกต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นคำว่า'ร่วมกันรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน'หมายความว่าแต่ละคนจะต้องชำระหนี้ทั้งหมดโดยสิ้นเชิงอันมีฐานะเช่นเดียวกับลูกหนี้ร่วม ฎีกาขอให้รอการลงโทษเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานตำรวจใช้อำนาจในตำแหน่งข่มขืนใจเรียกรับเงินจากผู้ถูกกล่าวหา เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม
จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่สืบสวนและจับกุมผู้กระทำความผิด แกล้งกล่าวหา พ.และ ก.ว่ากระทำผิดอาญา ได้มีการ แจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้แล้ว ซึ่งไม่เป็นความจริง ขอจับกุม พ. และ ก.ส่งพนักงานสอบสวน ถ้าไม่อยากให้จับกุม ต้องเอาเงินให้จำเลยทั้งสอง พ.และ ก.เกรงกลัวยอมมอบเงินให้ตามที่เรียกร้อง เป็นการใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ตนได้ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อเสรีภาพและชื่อเสียงของผู้ถูกขู่เข็ญ จึงเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดฐานกรรโชกด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3861/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานตำรวจใช้อำนาจข่มขืนใจเรียกรับเงินจากผู้ถูกกล่าวหา เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม
จำเลยทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมีอำนาจหน้าที่สืบสวนและจับกุม ผู้กระทำความผิดแกล้งกล่าวหาพ.และก.ว่ากระทำผิดอาญาได้มีการ แจ้งความและลงบันทึกประจำวันไว้แล้วซึ่งไม่เป็นความจริงขอจับกุมพ. และก.ส่งพนักงานสอบสวนถ้าไม่อยากให้จับกุมต้องเอาเงินให้ จำเลยทั้งสองพ.และก.เกรงกลัวยอมมอบเงินให้ตามที่เรียกร้องเป็นการ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้ตนได้ประโยชน์ ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยการขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อเสรีภาพ และชื่อเสียงของผู้ถูกขู่เข็ญจึงเป็นความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดฐานกรรโชกด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1717/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำของจำเลยไม่เข้าข่ายความผิดฐานข่มขืนใจ (มาตรา 309) และหน่วงเหนี่ยวกักขัง (มาตรา 310) การริบรถยนต์ไม่ชอบ
ในวันเกิดเหตุโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างขับรถมาจอดติดการจราจรอยู่ด้วยกัน โดยรถจำเลยที่ 1 จอดอยู่ข้างหน้ารถโจทก์ ปรากฏว่ามีเสียงแตรดังมาทางด้านหลัง จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าโจทก์เป็นคนบีบแตรไล่ เมื่อการจราจรบางลงจำเลยที่ 1 และโจทก์ได้ขับรถต่อไปและไปติดสัญญาณไฟแดงด้วยกัน จำเลยที่ 1 ได้ลงจากรถมาถามโจทก์ว่าบีบแตรไล่ทำไม โจทก์ตอบว่าไม่ได้บีบ เกิดโต้เถียงกัน โจทก์ได้พูดขึ้นว่า จะเป็นทหารเกเรหรืออย่างไร จำเลยโกรธจึงจับแขนโจทก์ซึ่งวางพาดประตูรถพร้อมกับพูดว่าลงมาลงมา ขอตะบันหน้าหน่อย โจทก์สะบัดแขนหลุดและไม่ยอมลงจากรถเช่นนี้ การที่จำเลยที่ 1 จับแขนโจทก์ชักชวนให้โจทก์ลงมาจากรถก็เพื่อให้โจทก์ลงมาวิวาทกับจำเลยเท่านั้น การกระทำของจำเลยมิใช่การข่มขืนใจให้กระทำหรือไม่กระทำการดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้
ต่อมาหลังจากที่โจทก์และจำเลยที่ 1 เกิดโต้เถียงกันดังกล่าวแล้วในระหว่างที่โจทก์ขับรถไปตามถนน จำเลย ที่ 1 ได้ขับรถไล่ตามกลั่นแกล้งโจทก์ โดยขับรถปาดหน้ารถโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องหยุดรถอย่างกระทันหัน ดังนี้ แม้ขณะโจทก์ขับรถอยู่โจทก์ย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการขับรถไปตามถนนสาธารณะตามสิทธิที่กฎหมายรับรองได้กรณีจำเลยที่ 1 ขับรถเข้ามาปาดหน้ารถโจทก์และปิดกั้นรถโจทก์ไม่ ให้โจทก์ขับรถไปโดยสะดวก เมื่อจำเลยปาดหน้ารถโจทก์ โจทก์กลัวว่ารถโจทก์จะชนรถของจำเลยโจทก์ก็ต้องหยุดรถ การที่จำเลยขับรถปาดหน้ารถโจทก์ให้โจทก์หยุดรถขับรถไปไม่ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยว กักขังกระทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้(ผิดมาตรา 309)
รถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับปาดหน้ารถโจทก์ มิใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง จึงริบไม่ได้
ต่อมาหลังจากที่โจทก์และจำเลยที่ 1 เกิดโต้เถียงกันดังกล่าวแล้วในระหว่างที่โจทก์ขับรถไปตามถนน จำเลย ที่ 1 ได้ขับรถไล่ตามกลั่นแกล้งโจทก์ โดยขับรถปาดหน้ารถโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องหยุดรถอย่างกระทันหัน ดังนี้ แม้ขณะโจทก์ขับรถอยู่โจทก์ย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการขับรถไปตามถนนสาธารณะตามสิทธิที่กฎหมายรับรองได้กรณีจำเลยที่ 1 ขับรถเข้ามาปาดหน้ารถโจทก์และปิดกั้นรถโจทก์ไม่ ให้โจทก์ขับรถไปโดยสะดวก เมื่อจำเลยปาดหน้ารถโจทก์ โจทก์กลัวว่ารถโจทก์จะชนรถของจำเลยโจทก์ก็ต้องหยุดรถ การที่จำเลยขับรถปาดหน้ารถโจทก์ให้โจทก์หยุดรถขับรถไปไม่ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยว กักขังกระทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 310 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้(ผิดมาตรา 309)
รถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับปาดหน้ารถโจทก์ มิใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง จึงริบไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1717/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำความผิดฐานข่มขืนใจ, ทำร้ายร่างกาย, และการไล่ติดตามด้วยรถยนต์ ไม่เข้าข่ายหน่วงเหนี่ยวหรือข่มขืนใจ
ในวันเกิดเหตุโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างขับรถมาจอดติดการจราจรอยู่ด้วยกัน โดยรถจำเลยที่ 1 จอดอยู่ข้างหน้ารถโจทก์ ปรากฏว่ามีเสียงแตรดังมาทางด้านหลัง จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าโจทก์เป็นคนบีบแตรไล่ เมื่อการจราจรบางลงจำเลยที่ 1 และโจทก์ได้ขับรถต่อไปและไปติดสัญญาณไฟแดงด้วยกัน จำเลยที่ 1 ได้ลงจากรถมาถาม โจทก์ว่าบีบแตรไล่ทำไม โจทก์ตอบว่าไม่ได้บีบ เกิดโต้เถียงกัน โจทก์ได้พูดขึ้นว่า จะเป็นทหารเกเรหรืออย่างไร จำเลยโกรธจึงจับแขนโจทก์ซึ่งวางพาดประตูรถพร้อมกับพูดว่าลงมาลงมาขอตะบันหน้าหน่อย โจทก์สะบัดแขนหลุดและไม่ยอมลงจากรถ เช่นนี้ การที่จำเลยที่ 1 จับแขนโจทก์ชักชวนให้โจทก์ลงมาจากรถก็เพื่อให้โจทก์ลงมาวิวาทกับจำเลยเท่านั้น การกระทำของจำเลยมิใช่การข่มขืนใจให้กระทำหรือไม่กระทำการดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้ ต่อมาหลังจากที่โจทก์และจำเลยที่ 1 เกิดโต้เถียงกันดังกล่าวแล้ว ในระหว่างที่โจทก์ขับรถไปตามถนน จำเลย ที่ 1 ได้ขับรถไล่ตามกลั่นแกล้งโจทก์ โดยขับรถปาดหน้า รถโจทก์ ทำให้โจทก์ต้องหยุดรถอย่างกระทันหัน ดังนี้ แม้ขณะโจทก์ขับรถอยู่โจทก์ย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการขับรถไปตามถนนสาธารณะตามสิทธิที่กฎหมายรับรองได้ กรณีจำเลยที่ 1 ขับรถเข้ามาปาดหน้ารถโจทก์และปิดกั้นรถโจทก์ไม่ ให้โจทก์ขับรถไปโดยสะดวก เมื่อจำเลยปาดหน้ารถโจทก์โจทก์กลัวว่ารถโจทก์จะชนรถของจำเลยโจทก์ก็ต้องหยุดรถการที่จำเลยขับรถปาดหน้ารถโจทก์ให้โจทก์หยุดรถขับรถไปไม่ได้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าจำเลยหน่วงเหนี่ยวกักขังกระทำให้โจทก์ปราศจากเสรีภาพในร่างกายตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310 จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรานี้(ผิดมาตรา 309) รถยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับปาดหน้ารถโจทก์ มิใช่ทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดโดยตรง จึงริบไม่ได้