พบผลลัพธ์ทั้งหมด 164 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1214/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพในคดีอาญา ศาลต้องสอบถามให้ชัดเจนถึงข้อหาที่รับสารภาพเพื่อความถูกต้องของกระบวนการยุติธรรม
ศาลชั้นต้นอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้วว่า โจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในข้อหาใด บ้าง แล้วจึงถาม คำให้การจำเลยที่ 4 และที่ 5 ซึ่ง จำเลยทั้งสองก็ให้การ รับสารภาพว่าได้ กระทำ ผิดจริงตาม ฟ้อง แสดงว่ารับสารภาพในทุกข้อหาตาม ที่โจทก์บรรยายในฟ้องและศาลอาจลงโทษจำเลยในทุกข้อหาดังกล่าวได้ ศาลชั้นต้นไม่จำต้องถาม จำเลยทั้งสองต่อไปอีกว่า จำเลยทั้งสองรับสารภาพในข้อหาใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1214/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพในคดีอาญา: ศาลไม่ต้องถามย้ำถึงข้อหาที่รับสารภาพหากจำเลยรับสารภาพตามฟ้อง
เมื่อศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้วว่าโจทก์ฟ้องกล่าวหาจำเลยในข้อหาใดบ้าง แล้วจึงถามคำให้การจำเลย ซึ่งจำเลยก็ให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดจริงตามฟ้อง แสดงว่ารับสารภาพในทุกข้อหาที่โจทก์บรรยายในฟ้องและศาลอาจลงโทษจำเลยในทุกข้อหาดังกล่าวได้ ดังนี้ ศาลชั้นต้นไม่จำต้องถามจำเลยต่อไปอีกว่าจำเลยรับสารภาพในข้อหาใด.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 905/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีผู้จัดการมรดกแตกต่างกัน ทั้งข้อหาและเหตุการณ์ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้มีคดีก่อน
คดีก่อนจำเลยทั้งสามกล่าวหาโจทก์ว่าละเลยไม่ทำบัญชีทรัพย์มรดก ไม่รายงานแสดงบัญชีการจัดการและไม่แบ่งปันมรดกให้เสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกผู้ตาย ให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายคดีถึงที่สุดแล้ว คดีนี้โจทก์กล่าวหาจำเลยทั้งสามว่า ละเลยไม่ทำการตามหน้าที่ของผู้จัดการมรดก มิได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายในเวลาและตามแบบที่กำหนดไว้ ไม่ทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกให้เสร็จภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำเลยทั้งสามไม่สามารถเป็นผู้จัดการมรดก คดีก่อนกับคดีนี้จึงมีประเด็นข้อพิพาทคนละอย่างคนละเหตุกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ.
ปัญหาที่ว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนหรือไม่จำเลยเพิ่งหยิบยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ. มาตรา 249 และศาลฎีกาย่อมไม่เห็นสมควรยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัย.
ปัญหาที่ว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้อนกับคดีก่อนหรือไม่จำเลยเพิ่งหยิบยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ต้องห้ามฎีกาตามป.วิ.พ. มาตรา 249 และศาลฎีกาย่อมไม่เห็นสมควรยกปัญหานี้ขึ้นวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 364/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเบิกความเท็จต้องระบุรายละเอียดคดีเดิม ข้อหา และความสำคัญของคำเบิกความ
คำฟ้องของโจทก์ฐานเบิกความเท็จได้บรรยายแต่เพียงรายละเอียดข้อความที่จำเลยเบิกความกับความจริงเป็นอย่างไรและว่าคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีแต่มิได้บรรยายว่าคดีที่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จนั้นมีข้อหาหรือฐานความผิดอะไร ประเด็นสำคัญของคดีมีว่าอย่างไรและคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร เป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีจึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 158(5).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเบิกความเท็จต้องระบุรายละเอียดให้ชัดเจนว่าข้อความเท็จนั้นสำคัญต่อคดีอย่างไร
โจทก์ฟ้องจำเลยในข้อหาเบิกความเท็จ แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายให้เห็นว่าคดีที่จำเลยเบิกความมีข้อหาและข้อความที่เบิกความเป็นเท็จเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร จึงเป็นฟ้องที่ไม่ได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี แม้โจทก์จะบรรยายเลขสำนวนคดีที่จำเลยเบิกความมาในฟ้องต่อมาในชั้นพิจารณาโจทก์ได้ยื่นบัญชีระบุพยานอ้างคำเบิกความของจำเลยกับสำนวนคดีนั้นเป็นพยานหลักฐาน และศาลชั้นต้นได้นำสำนวนคดีนั้นทั้งสำนวนมาผูกติดกับสำนวนคดีนี้ไว้แล้วก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่ปรากฏในสำนวนคดีนั้นก็หาใช่ส่วนหนึ่งของคำฟ้องของโจทก์ไม่ จะนำมาประกอบคำฟ้องของโจทก์คดีนี้ให้สมบูรณ์ขึ้นมิได้.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4974/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีเบิกความเท็จ: จำเป็นต้องระบุข้อหา/ฐานความผิดและประเด็นสำคัญของคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเบิกความเท็จ แม้บรรยายรายละเอียดว่าข้อความที่เบิกกับความจริงเป็นอย่างไร และว่าเป็นข้อสำคัญของคดี แต่เมื่อไม่ได้บรรยายว่าจำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในข้อหาหรือฐานความผิดอะไร ข้อความนั้นเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไร ประเด็นสำคัญของคดีมีว่าอย่างไร ฟ้องโจทก์จึงยังไม่อาจให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3778/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความมิใช่สภาพแห่งข้อหา โจทก์ไม่จำเป็นต้องกล่าวอ้างเหตุขยายอายุความในคำฟ้อง ศาลวินิจฉัยตามข้อกฎหมายได้
อายุความมิใข่สภาพแห่งข้อหา โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวในฟ้องว่า คดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความเพราะเหตุใด
จำเลยซื้อแหวนไปจาก ส. และค้างชำระราคา ส. ถึงแก่กรรมระหว่างที่ยังไม่ครบกำหนดอายุความสิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้ดังกล่าว ทำให้อายุความขยายออกไปเป็น 1 ปี นับแต่วันที่ ส. ถึงแก่กรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 186 เมื่ออายุความก็เป็นข้อต่อสู้ของจำเลย และโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ฟ้องจำเลยโดยได้บรรยายฟ้องกับนำสืบให้เห็นได้ว่า ส. ถึงแก่กรรมในระหว่างคดียังไม่ขาดอายุความ ศาลจึงวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 186 ได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องกล่าวอ้างบทบัญญัติมาตราดังกล่าวมาในคำฟ้องหรือการพิจารณาของศาลเพราะเป็นข้อกฎหมายที่ศาลรู้เอง
จำเลยซื้อแหวนไปจาก ส. และค้างชำระราคา ส. ถึงแก่กรรมระหว่างที่ยังไม่ครบกำหนดอายุความสิทธิเรียกร้องตามมูลหนี้ดังกล่าว ทำให้อายุความขยายออกไปเป็น 1 ปี นับแต่วันที่ ส. ถึงแก่กรรม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 186 เมื่ออายุความก็เป็นข้อต่อสู้ของจำเลย และโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของ ส. ฟ้องจำเลยโดยได้บรรยายฟ้องกับนำสืบให้เห็นได้ว่า ส. ถึงแก่กรรมในระหว่างคดียังไม่ขาดอายุความ ศาลจึงวินิจฉัยคดีให้เป็นไปตามบทบัญญัติมาตรา 186 ได้ โดยโจทก์ไม่จำต้องกล่าวอ้างบทบัญญัติมาตราดังกล่าวมาในคำฟ้องหรือการพิจารณาของศาลเพราะเป็นข้อกฎหมายที่ศาลรู้เอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2860/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความชัดเจนในการบรรยายฟ้องกรณีทางพิพาท: ศาลพิจารณาจากข้อหาและคำขอเป็นหลัก
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ทางพิพาทนอกจากเป็นถนนสาธารณะแล้วยังเป็นทางภาระจำยอมและทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์จำเลยทำรั้วปิดกั้นทางพิพาทโดยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย ขอให้รื้อรั้วและทำสภาพที่ดินให้เหมือนเดิม ดังนี้ ข้อหาตามฟ้องคือจำเลยปิดกั้นทางพิพาทโดยจำเลยไม่มีสิทธิตามกฎหมาย และคำขอบังคับคือให้จำเลยรื้อรั้วและทำสภาพที่ดินให้เหมือนเดิม ส่วนข้อความที่ว่าทางพิพาทเป็นถนนสาธารณะ เป็นทางภาระจำยอม และเป็นทางจำเป็นเป็นเพียงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ศาลจะต้องพิจารณาต่อไปว่าความจริงเป็นอย่างไรคำบรรยายฟ้องของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดเท่าที่โจทก์จะกระทำได้ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2776/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกาย: ข้อหาที่ถูกต้องและการลงโทษตามบทบัญญัติที่เหมาะสม
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า ถูกบริเวณท้องทำให้กระเพาะอาหารทะลุ แพทย์ลงความเห็นว่าต้องใช้เวลารักษาตัว 30 วัน โดยไม่มีข้อความว่าผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเจตนาฆ่าคงมีแต่เจตนาทำร้ายจึงลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานทำร้ายร่างกายเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ไม่ได้ คงลงโทษได้ตามมาตรา 295เท่านั้น
การที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 เกินกว่าที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.
การที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 เกินกว่าที่โจทก์บรรยายมาในฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4144/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องหมิ่นประมาทต้องชัดเจนถึงความเสียหายที่อ้างถึง เพื่อให้ลงโทษตามกฎหมายพิเศษได้
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยโฆษณาหมิ่นประมาทผู้เสียหายด้วยข้อความอย่างไรเท่านั้น หาได้บรรยายว่าการโฆษณาข้อความดังกล่าวในฟ้องเป็นการแสดงอย่างเคลือบคลุมว่าได้มีความเสื่อมโทรมเลวทรามหรือผิดร้ายเสียหายในกรมเจ้าท่าโดยไม่แสดงว่าเป็นเรื่องใดข้อใดไม่ จึงถือไม่ได้ว่าฟ้องได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดในข้อหาตามคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 42 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 2 (4) แม้โจทก์จะมีคำขอให้ลงโทษตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวและจำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะจะเป็นการพิพากษานอกไปจากข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคแรก