พบผลลัพธ์ทั้งหมด 76 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1663/2505
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาข้อเท็จจริงหลังการตรวจสภาพสถานที่ - สิทธิในการโต้แย้งถูกจำกัดเมื่อศาลได้วินิจฉัยจากหลักฐานที่นำเสนอแล้ว
คดีฟ้องขับไล่ซึ่งคู่ความท้ากันให้ศาลไปตรวจห้องพิพาทโดยขอให้พิจารณาเองว่าจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าทำการค้าหรือใช้อยู่อาศัยเป็นส่วนใหญ่เพียงข้อเดียว นอกนั้นไม่ติดใจว่ากล่าวกันต่อไป แล้วให้ศาลพิพากษาไปตามนั้น เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงอย่างเดียวกับศาลชั้นต้นว่าจำเลยใช้ห้องพิพาททำการค้าเป็นส่วนใหญ่ เช่นนี้ จำเลยจะฎีกาข้อเท็จจริงเช่นนั้นอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1627/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าต่างตอบแทนที่มีกำหนดระยะเวลา และการบังคับตามสัญญาแม้มีข้อโต้แย้ง
ที่ดินเป็นของ ผ. โจทก์ปลูกตึกรายพิพาทลงในที่ดินนี้ให้สามีจำเลยเช่า ได้ทำสัญญาเช่าตึกระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่ากับสามีจำเลยผู้เช่า มีข้อสัญญาว่าให้เช่ามีกำหนดเวลา 3 ปี ค่าเช่าเดือนละ 100 บาท เมื่อครบ 3 ปีแล้ว ถ้าผู้เช่าหรือทายาทจะเช่าต่อไป ผู้ให้เช่าจะต้องต่ออายุสัญญาคราวละ 3 ปีจนกว่าอายุสัญญาจะร่วมกันเป็น 14 ปี ผู้ให้เช่าและเจ้าของที่ดินสัญญาว่าจะไปจดทะเบียนการเช่าภายในเวลาอันสมควร ผ.ผู้เป็นเจ้าของที่ดินและตึกก็บันทึกข้อความยอมตกลงตามข้อสัญญานี้ด้วย ในการทำสัญญานี้ สามีจำเลยและจำเลยได้ชำระเงินให้โจทก์ 56,000 บาท เป็นค่าช่วยการก่อสร้างด้วย ดังนี้ เป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อเช่ากันได้ราว 1 ปีแล้ว สามีจำเลยตาย แต่ได้มีการบันทึกของโจทก์จำเลยไว้หลังสัญญาเช่าให้จำเลยเช่าต่อไป จำเลยผู้เช่าย่อมมีอำนาจฟ้องโจทก์ให้ไปจดทะเบียนการเช่าตามสัญญานั้นได้ และแม้โจทก์จะไม่ใช่เจ้าของที่ดินกับตึก และ ผ.เจ้าของที่ดินก็เป็นคู่สัญญาร่วมด้วย จำเลยก็ไม่จำเป็นต้องฟ้อง ผ.หรือเรียกเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม (ในคดีที่จำเลยฟ้องแย้ง) การฟ้องขอให้บังคับโจทก์เช่นนี้ แม้จำเลยปล่อยให้ล่วงเลยมาถึง 6 ปี (นับแต่วันทำสัญญาเช่า)
ก็ไม่ขาดอายุความ แม้จำเลยจะได้เช่าห้องพิพาทมาแล้ว 6 ปี โดยไม่ได้ต่ออายุสัญญาเช่า สัญญาเช่าก็ไม่หมดอายุ เพราะต้องถือตามสัญญาต่างตอบแทน และเมื่อจำเลยมีสิทธิเช่าตามสัญญาต่างตอบแทนแล้ว ก็ไม่ต้องวินิจฉัยข้อที่ว่าจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ
ก็ไม่ขาดอายุความ แม้จำเลยจะได้เช่าห้องพิพาทมาแล้ว 6 ปี โดยไม่ได้ต่ออายุสัญญาเช่า สัญญาเช่าก็ไม่หมดอายุ เพราะต้องถือตามสัญญาต่างตอบแทน และเมื่อจำเลยมีสิทธิเช่าตามสัญญาต่างตอบแทนแล้ว ก็ไม่ต้องวินิจฉัยข้อที่ว่าจำเลยไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่า ฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 790/2504 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสภาพหนี้ต้องกระทำต่อเจ้าหนี้และมีเจตนาจะใช้หนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง การให้การในคดีอื่นไม่ถือเป็นการรับสภาพหนี้
การรับสภาพหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 ต้องกระทำต่อเจ้าหนี้และมีเจตนาจะใช้หนี้นั้นโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เช่น รับว่าเป็นหนี้จริงแต่ต่อสู้ว่าหนี้ขาดอายุความแล้ว ไม่เป็นการรับสภาพหนี้
จำเลยเคยให้การชั้นสอบสวนในคดีอื่นโดยโจทก์ขอให้ปลัดอำเภอช่วยถามถึงเรื่องค้างค่าจ้างว่าความด้วย และจำเลยเคยเบิกความต่อศาลในคดีอื่นว่าค้างค่าจ้างว่าความโจทก์ก็ดี เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องให้การและเบิกความตามหน้าที่ มิใช่กระทำต่อเจ้าหนี้ และมิใช่มีเจตนาจะใช้หนี้ที่ขาดอายุความแล้วแก่เจ้าหนี้ จึงไม่เป็นการรับสภาพหนี้ตามกฎหมาย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2504)
จำเลยเคยให้การชั้นสอบสวนในคดีอื่นโดยโจทก์ขอให้ปลัดอำเภอช่วยถามถึงเรื่องค้างค่าจ้างว่าความด้วย และจำเลยเคยเบิกความต่อศาลในคดีอื่นว่าค้างค่าจ้างว่าความโจทก์ก็ดี เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องให้การและเบิกความตามหน้าที่ มิใช่กระทำต่อเจ้าหนี้ และมิใช่มีเจตนาจะใช้หนี้ที่ขาดอายุความแล้วแก่เจ้าหนี้ จึงไม่เป็นการรับสภาพหนี้ตามกฎหมาย
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2504)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1349/2504
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับตามคำพิพากษาขับไล่และการพิจารณาข้อโต้แย้งเกี่ยวกับการครอบครองที่ดิน จำเลยต้องปฏิบัติตามคำบังคับ
คดีฟ้องขับไล่ที่โจทก์ร้องขอให้ศาลสั่งจำเลยปฏิบัติตามคำบังคับโดยอ้างว่าจำเลยผู้แพ้คดียังคงอยู่ที่บ้าน และปลูกบ้านใหม่ในที่พิพาทนั้น เมื่อจำเลยโต้แย้งศาลชอบที่จะพิจารณาและตัดสินตามกระบวนพิจารณา
เอกสารและถ้อยคำที่มิใช่พยานหลักฐานตามกฎหมาย และจำเลยมิได้รับรอง นั้น ย่อมฟังเป็นโทษแก่จำเลยไม่ได้
เอกสารและถ้อยคำที่มิใช่พยานหลักฐานตามกฎหมาย และจำเลยมิได้รับรอง นั้น ย่อมฟังเป็นโทษแก่จำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 91/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมนอกศาลหลังคำพิพากษาถึงที่สุด ไม่อาจใช้เป็นเหตุยกเว้นการบังคับคดีได้ หากมีข้อโต้แย้งเรื่องความถูกต้อง
เมื่อจำเลยแพ้คดีโจทก์ แล้วยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา
โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำบังคับที่ศาลมีไว้ต่อจำเลยในกำหนด ต่อมาจำเลยจะมายื่นคำร้องว่าโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกันนอกศาลแล้วขอมิให้มีการบังคับคดีไม่ได้ในเมื่อการประนีประนอมยอมความนั้นโจทก์อ้างว่าเกิดขึ้นโดยถูกข่มขู่เพราะคู่ความชอบที่จะมาทำประนีประนอมกันในศาล ศาลจะได้รู้เห็นและได้พิจารณาว่าการประนีประนอมนั้นถูกต้องหรือไม่ถ้าถูกจะได้พิพากษาให้เป็นไปตามที่ตกลง และถือว่าเป็นการที่ให้ศาลได้รับรู้เกี่ยวกับการบังคับคดีเมื่อทำกันนอกศาลศาลก็ไม่รู้ และถ้ายอมรับฟัง การบังคับคดีก็จะไม่อาจเป็นไปได้โดยราบรื่นเพราะฝ่ายที่ถูกบังคับย่อมจะมีข้ออ้างมาร้องต่างๆ
โจทก์จึงขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำบังคับที่ศาลมีไว้ต่อจำเลยในกำหนด ต่อมาจำเลยจะมายื่นคำร้องว่าโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกันนอกศาลแล้วขอมิให้มีการบังคับคดีไม่ได้ในเมื่อการประนีประนอมยอมความนั้นโจทก์อ้างว่าเกิดขึ้นโดยถูกข่มขู่เพราะคู่ความชอบที่จะมาทำประนีประนอมกันในศาล ศาลจะได้รู้เห็นและได้พิจารณาว่าการประนีประนอมนั้นถูกต้องหรือไม่ถ้าถูกจะได้พิพากษาให้เป็นไปตามที่ตกลง และถือว่าเป็นการที่ให้ศาลได้รับรู้เกี่ยวกับการบังคับคดีเมื่อทำกันนอกศาลศาลก็ไม่รู้ และถ้ายอมรับฟัง การบังคับคดีก็จะไม่อาจเป็นไปได้โดยราบรื่นเพราะฝ่ายที่ถูกบังคับย่อมจะมีข้ออ้างมาร้องต่างๆ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1606/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอายัดและยึดทรัพย์สิน: ประเด็นการยกข้อโต้แย้งใหม่ในชั้นฎีกา
ที่ผู้ร้องโต้เถียงว่าเงินที่โจทก์ขออายัดและยึดนี้เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ตามประมวลกฎหมายแพ่งฯ มาตรา 1307 ศาลอายัดและยึดไม่ได้นั้น ศาลจะวินิจฉัยให้ต่อเมื่อปรากฎว่าผู้ร้องได้โต้แย้งมาแต่ศาลชั้นต้น ถ้าหากเพิ่งมายกขึ้นโต้เถียงในชั้นฎีกา ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัยให้ เพราะถือว่าไม่มีประเด็นโต้เถียงกันมาแต่ต้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1476/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลบังคับใช้ของสัญญาประนีประนอม: แม้มีข้อโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์และคู่สัญญา สัญญาประนีประนอมยังคงมีผลผูกพัน
ความตอนท้ายคำฟ้องประกอบกับคำขอท้ายฟ้องแสดงว่า เมื่อจำเลยไม่ยินยอมปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมถึงกับมีหนังสือบอกล้างมา โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาให้ที่ดินทั้งหมดเป็นของโจทก์ แต่ถ้าไม่ได้ โจทก์ก็ขอเอาตามส่วนที่ประนีประนอมกัน และที่จำเลยให้การต่อสู้ก็แสดงว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ประการใด เช่นนี้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันไว้ ต่อมาจำเลยบอกล้างฝ่ายเดียว โจทก์มิได้ยินยอมให้ระงับหรือเลิกสัญญาแต่อย่างใด สัญญาประนีประนอมดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับได้อยู่
สัญญาประนีประนอมมีโจทก์กับบุตรโจทก์ฝ่ายหนึ่ง จำเลยที่ 1 - 2 อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นคู่สัญญา บุตรโจทก์จะร่วมเป็นโจทก์ด้วยหรือไม่ ไม่สำคัญ โจทก์ผู้เป็นคู่สัญญาย่อมฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญานั้น โดยลำพังได้
โจทก์และบุตรโจทก์แม้เป็นคนต่างด้าวก็เป็นคู่สัญญาประนีประนอมเกี่ยวกับการแบ่งที่ดินรายพิพาทได้ เพราะโจทก์และบุตรจะได้รับอนุญาตให้ได้รับส่วนในที่ดินหรือไม่ เป็นเรื่องของเจ้าพนักงาน ไม่เกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างคู่สัญญานี้.
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันไว้ ต่อมาจำเลยบอกล้างฝ่ายเดียว โจทก์มิได้ยินยอมให้ระงับหรือเลิกสัญญาแต่อย่างใด สัญญาประนีประนอมดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับได้อยู่
สัญญาประนีประนอมมีโจทก์กับบุตรโจทก์ฝ่ายหนึ่ง จำเลยที่ 1 - 2 อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นคู่สัญญา บุตรโจทก์จะร่วมเป็นโจทก์ด้วยหรือไม่ ไม่สำคัญ โจทก์ผู้เป็นคู่สัญญาย่อมฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญานั้น โดยลำพังได้
โจทก์และบุตรโจทก์แม้เป็นคนต่างด้าวก็เป็นคู่สัญญาประนีประนอมเกี่ยวกับการแบ่งที่ดินรายพิพาทได้ เพราะโจทก์และบุตรจะได้รับอนุญาตให้ได้รับส่วนในที่ดินหรือไม่ เป็นเรื่องของเจ้าพนักงาน ไม่เกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างคู่สัญญานี้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1476/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมมีผลผูกพัน แม้มีข้อโต้แย้งเรื่องกรรมสิทธิ์และสถานะคู่สัญญา
ความตอนท้ายคำฟ้องประกอบกับคำขอท้ายฟ้องแสดงว่า เมื่อจำเลยไม่ยินยอมปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมถึงกับมีหนังสือบอกล้างมา โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาให้ที่ดินทั้งหมดเป็นของโจทก์ แต่ถ้าไม่ได้ โจทก์ก็ขอเอาตามส่วนที่ประนีประนอมกัน และที่จำเลยให้การต่อสู้ก็แสดงว่าจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้ประการใด เช่นนี้ ฟ้องไม่เคลือบคลุม
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันไว้ ต่อมาจำเลยบอกล้างฝ่ายเดียว โจทก์มิได้ยินยอมให้ระงับหรือเลิกสัญญาแต่อย่างใด สัญญาประนีประนอมดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับได้อยู่
สัญญาประนีประนอมมีโจทก์กับบุตรโจทก์ฝ่ายหนึ่ง จำเลยที่ 1-2 อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นคู่สัญญา บุตรโจทก์จะร่วมเป็นโจทก์ด้วยหรือไม่ ไม่สำคัญ โจทก์ผู้เป็นคู่สัญญาย่อมฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญานั้นโดยลำพังได้
โจทก์และบุตรโจทก์แม้เป็นคนต่างด้าวก็เป็นคู่สัญญาประนีประนอมเกี่ยวกับการแบ่งที่ดินรายพิพาทได้ เพราะโจทก์และบุตรจะได้รับอนุญาตให้ได้รับส่วนในที่ดินหรือไม่ เป็นเรื่องของเจ้าพนักงาน ไม่เกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างคู่สัญญานี้
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมกันไว้ ต่อมาจำเลยบอกล้างฝ่ายเดียว โจทก์มิได้ยินยอมให้ระงับหรือเลิกสัญญาแต่อย่างใด สัญญาประนีประนอมดังกล่าวย่อมมีผลใช้บังคับได้อยู่
สัญญาประนีประนอมมีโจทก์กับบุตรโจทก์ฝ่ายหนึ่ง จำเลยที่ 1-2 อีกฝ่ายหนึ่ง เป็นคู่สัญญา บุตรโจทก์จะร่วมเป็นโจทก์ด้วยหรือไม่ ไม่สำคัญ โจทก์ผู้เป็นคู่สัญญาย่อมฟ้องคดีเกี่ยวกับสัญญานั้นโดยลำพังได้
โจทก์และบุตรโจทก์แม้เป็นคนต่างด้าวก็เป็นคู่สัญญาประนีประนอมเกี่ยวกับการแบ่งที่ดินรายพิพาทได้ เพราะโจทก์และบุตรจะได้รับอนุญาตให้ได้รับส่วนในที่ดินหรือไม่ เป็นเรื่องของเจ้าพนักงาน ไม่เกี่ยวกับข้อตกลงระหว่างคู่สัญญานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 616/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยินยอมในนิติกรรม: หน้าที่การนำสืบและข้อจำกัดการอ้างหลักฐานหนังสือ
ตามฟ้องของโจทก์ตั้งประเด็นมาว่าภรรยาโจทก์ไปทำสัญญาประนีประนอมกับจำเลยโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์รู้เห็นยินยอมด้วยแล้วข้อโตเถียงกันเช่นนี้หน้าที่นำสืบต้องตกอยู่แก่จำเลยต้องนำสืบว่าโจทก์ได้รู้เห็นยินยอม
ในเรื่องการยินยอมของโจทก์ มิได้มีหนังสือใช้ไม่ได้ตาม ม.1476 เมื่อโจทก์มิได้ยกประเด็นโต้เถียงมาแต่ศาลชั้นต้น โจทก์เพิ่งมายกปัญหาข้อนี้โต้เถียงมาในชั้นอุทธรณ์และในชั้นฎีกาศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้.
ในเรื่องการยินยอมของโจทก์ มิได้มีหนังสือใช้ไม่ได้ตาม ม.1476 เมื่อโจทก์มิได้ยกประเด็นโต้เถียงมาแต่ศาลชั้นต้น โจทก์เพิ่งมายกปัญหาข้อนี้โต้เถียงมาในชั้นอุทธรณ์และในชั้นฎีกาศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 743/2498
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งต้องมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแล้ว ศาลไม่รับฟ้องแย้งเผื่อไว้
การเสนอคำฟ้องหรือคำฟ้องแย้งต่อศาลต้องมีข้อโต้แย้งต่อศาลต้องมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแล้วเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลตามกฎหมาย
การที่จำเลยให้การว่าการซื้อขายห้องพิพาทระหว่างโจทก์กับเจ้าของเดิมเป็นการสมยอมโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญา เมื่อศาลยังมิได้ชี้ขาดอย่างใดจำเลยจะมาฟ้องแย้งว่าแม้เจ้าของเดิมทำสัญญาซื้อขายห้องพิพาทกับโจทก์โดยชอบสัญญาเช่าห้องพิพาทที่เจ้าของเดิมทำให้จำเลยย่อมติดตามมาอยู่กับโจทก์จำเลยยังได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯขอให้บังคับโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าต่อไปตามสัญญาเช่าเดิมดังนี้ไม่ได้
การที่จำเลยให้การว่าการซื้อขายห้องพิพาทระหว่างโจทก์กับเจ้าของเดิมเป็นการสมยอมโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญา เมื่อศาลยังมิได้ชี้ขาดอย่างใดจำเลยจะมาฟ้องแย้งว่าแม้เจ้าของเดิมทำสัญญาซื้อขายห้องพิพาทกับโจทก์โดยชอบสัญญาเช่าห้องพิพาทที่เจ้าของเดิมทำให้จำเลยย่อมติดตามมาอยู่กับโจทก์จำเลยยังได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯขอให้บังคับโจทก์ยอมให้จำเลยเช่าต่อไปตามสัญญาเช่าเดิมดังนี้ไม่ได้