คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำขอท้ายฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 82 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1068/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคำขอคืนทรัพย์สินในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับความผิดต่อชีวิตและชิงทรัพย์
คดีความผิดต่อชีวิต แม้ในคำขอให้ลงโทษท้ายฟ้องโจทก์เพียง แต่อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289 มาเท่านั้นก็ดีแต่ในคำฟ้องได้บรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำของจำเลย มาแล้วว่าจำเลยยิงผู้ตายด้วยเจตนาฆ่า เพื่อความสะดวกในการที่จำเลยจะลักทรัพย์และเมื่อยิงแล้วจำเลยได้ลักเอาเงิน 2,400 บาทของผู้ตายไปโดยเจตนาทุจริต และยังมีคำขอท้ายฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนเงินที่ลักไปด้วย ดังนี้ ย่อมแปลคำฟ้องของโจทก์ได้ว่า โจทก์มุ่งประสงค์ที่จะให้ลงโทษจำเลยฐานชิงทรัพย์อยู่ด้วย จึงเป็นคดีความผิดต่อชีวิตและคดีชิงทรัพย์ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 บัญญัติให้พนักงานอัยการมีคำขอให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายได้ ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์แก่ผู้เสียหายได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 618/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องหนี้ซื้อของเชื่อ vs. การฟ้องเรียกทรัพย์คืนฐานลาภมิควรได้ และขอบเขตคำขอท้ายฟ้อง
โจทก์ฟ้องเรียกหนี้สินเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ซื้อของเชื่อไปจากบริษัท ส. มิใช่ฟ้องขอให้ชำระหนี้ฐานลาภมิควรได้ ถึงแม้โจทก์จะเขียน ฟ้องตั้งรูปคดีเป็นประการใดก็ตาม แต่กรณีตามฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องฟ้องเรียกหนี้สินที่ค้างชำระเกี่ยวกับจำเลยซื้อเชื่อน้ำสุราไปจากบริษัท ส. ฟ้องของโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)
จำเลยที่ 1 เป็นบริษัทจำกัด และตามฟ้องก็ฟ้องเรียกทรัพย์คืน จากจำเลยฐานลาภมิควรได้ เนื่องจากจำเลยยึดถือทรัพย์เหล่านั้นไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงต้องถือว่าของเหล่านั้น ตกอยู่ในความยึดถือครอบครองของจำเลยที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการมิได้ยึดถือครอบครอง ทรัพย์เป็นการส่วนตัวแต่อย่างใด จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1
ฎีกาโจทก์มิได้กล่าวโดยชัดแจ้งว่า โจทก์จะได้ดอกเบี้ย ตั้งแต่ เดือนพฤศจิกายน 2502 ด้วยเหตุใดจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำให้การข้อ 3 จำเลยยกอายุความขึ้นต่อสู้โดยชัดแจ้งว่า ฟ้องข้อ 3 ของโจทก์ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(1)(17) ซึ่งเป็นเรื่องซื้อของเชื่อ ส่วนคำให้การข้อ 6 ซึ่งจำเลยให้การต่อสู้เกี่ยวกับฟ้องข้อ 4 นั้น จำเลยให้การว่าทรัพย์ไปตกอยู่ที่จำเลยที่ 1 และโจทก์ขอมาในคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ให้จำเลยใช้เงินค่าทรัพย์สินฐานลาภมิควรได้ จำเลยขอต่อสู้และตัดฟ้องว่า โจทก์ไม่มีสิทธิและอำนาจขอให้จำเลยใช้ค่าทรัพย์สินได้ตามกฎหมายเพราะไม่ใช่เรื่องการซื้อขายทรัพย์สินหรือเรื่องละเมิดหรือในกรณีพิพาทที่จะฟ้องร้องเอาเงินได้ตามกฎหมายแต่เป็นเรื่องลาภมิควรได้ และในเรื่องลาภมิควรได้ โจทก์ก็ไม่มีสิทธิหรืออำนาจฟ้องขอให้จำเลยใช้ค่าทรัพย์สิน ดังนี้ เห็นว่า จำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นสู้ในเรื่องลาภมิควรได้เลย
โจทก์บรรยายฟ้องแล้วว่าจำเลยที่ 1 ได้รับขวด หีบและกระสอบไปโดยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ จึงเป็นการได้ในฐานลาภมิควรได้ ซึ่งตามธรรมดาก็จะฟ้องขอให้คืนตัวทรัพย์ก่อน เมื่อไม่สามารถคืนได้ จึงให้ใช้ราคาแทน แม้คำขอท้ายฟ้องจะมิได้ขอให้จำเลยคืนตัวทรัพย์ ก็ตาม ศาลก็ชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยคืนตัวทรัพย์ ถ้าไม่สามารถ คืนได้ก็ให้ใช้ราคา ไม่เป็นการนอกเหนือหรือเกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 884/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนทรัพย์ที่ได้จากการปล้นทรัพย์ ศาลพิจารณาจากคำขอท้ายฟ้องที่รวมราคาทรัพย์ทั้งหมด แม้จำเลยบางส่วนได้รับการยกฟ้อง
โจรปล้นทรัพย์เงิน 11,962 บาท อาวุธปืนและทรัพย์อย่างอื่นรวมราคา 32,582 บาท จับคนร้ายได้ 2 คน ได้เงิน 5,233 บาทจากจำเลยที่ 1 และได้อาวุธปืน 1 กระบอกจากจำเลยที่ 2 โจทก์ขอให้ศาลสั่งคืนเงิน 5,233 บาท และอาวุธปืนที่จับได้จากจำเลยทั้งสองแก่เจ้าทรัพย์ และให้จำเลยร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 24,849 บาท แก่เจ้าทรัพย์ ศาลยกฟ้องจำเลยที่ 1 คืนเงิน 5,233 บาทแก่จำเลยที่ 1 ไป เมื่อเงินจำนวน 5,233 บาทที่จับได้จากจำเลยที่ 1 จะเอามาคืนหรือใช้ให้แก่เจ้าทรัพย์ไม่ได้เพราะศาลยกฟ้องจำเลยที่ 1 และคืนเงินจำนวนนี้ให้จำเลยที่ 1 ไป ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ยังต้องคืนหรือใช้เงินจำนวน 5,233 บาทแก่เจ้าทรัพย์ตามความหมายในคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ที่ขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ทั้งหมดนั้นด้วย.
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2509)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 764/2508

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบวกโทษรอการลงโทษตาม ม.58 ต้องมีการขอในฟ้อง หากโจทก์ขอแล้ว ศาลบวกได้ แม้ไม่ได้อ้าง ม.58 โดยตรง
การที่ศาลจะบวกโทษที่รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 ได้นั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้บัญญัติไว้โดยตรงว่าให้กล่าวในฟ้องและมีคำขออย่างไร ต่างกับขอให้เพิ่มโทษแต่มาตรา 192 ก็ห้ามมิให้พิพากษาหรือสั่งเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ฉะนั้น โจทก์ต้องกล่าวมาในฟ้องและมีคำขอมาด้วยแต่มาตรา 58 นี้มิใช่เป็นมาตราที่บัญญัติว่าเป็นการกระทำความผิดอันจำต้องอ้างมาตรามาในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(6) ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องและมีคำขอแล้วโจทก์จะอ้างมาตรา 58 หรือไม่ ศาลก็บวกโทษที่รอการลงโทษไว้เข้ากับโทษในคดีหลังได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 729/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอท้ายฟ้องถือเป็นการขอให้ลงโทษจำเลย แม้จะไม่ได้ระบุคำว่า 'ลงโทษ' โดยตรง
คำขอท้ายฟ้องของผู้ว่าคดีโจทก์กล่าวว่า โจทก์ถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 325, 83 ขอศาลได้พิจารณาพิพากษาต่อไป ดังนี้ ถือได้ว่าฟ้องของโจทก์มีคำขอให้ลงโทษจำเลยแล้ว.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 729/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอท้ายฟ้องถือเป็นการขอให้ลงโทษจำเลย แม้ไม่ได้ระบุชัดเจน หากอ้างบทมาตราที่กำหนดโทษ
คำขอท้ายฟ้องของผู้ว่าคดีโจทก์ กล่าวว่า โจทก์ถือว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 375,83 ขอศาลได้พิจารณาพิพากษาต่อไป ดังนี้ ถือได้ว่าฟ้องของโจทก์มีคำขอให้ลงโทษจำเลยแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 791/2500 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีความคำขอท้ายฟ้องและเจตนาของโจทก์ในการแบ่งทรัพย์สินมรดก
คำข้อท้ายฟ้องขอให้แบ่งทรัพย์ของหุ้นส่วนที่มีข้อความว่า "ขอได้โปรดแบ่งที่ดินพร้อมด้วยโรงสีและห้องแถว ............. ให้เป็นของโจทก์ 1 ส่วนเป็นเงิน 40,000 บาท โดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาด" นั้น มิได้หมายความว่าโจทก์ต้องการ เงินค่าทรัพย์สินเพียง 40,000 เท่านั้น การตั้งทุนทรัพย์มาเป็นแต่เพียงเพื่อเสียค่าขึ้นศาล ส่วนการแบ่งทรัพย์ ถ้าไม่ตกลงกันต้องประมูลหรือขายทอดตลาด.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1607/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ่ายเงินรางวัลให้เจ้าพนักงานผู้จับกุม แม้คำขอท้ายฟ้องไม่ได้ระบุชัดเจน ศาลสามารถพิจารณาจากอำนาจของพนักงานอัยการได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควรและขอให้จ่ายรางวัลด้วย ตามคำบรรยายฟ้องกล่าวแต่ว่าเจ้าพนักงานจับจำเลยได้แต่คำขอท้ายฟ้องขอให้จ่ายเงินรางวัลแก่พลตำรวจผู้หนึ่ง โดยระบุชื่อตำรวจผู้นั้นลงไปโดยไม่ได้กล่าวยืนยันว่าตำรวจผู้นั้นเป็นผู้จับจำเลยด้วยหรือไม่ดังนี้ศาลก็พิพากษาให้จ่ายเงินรางวัลให้แก่เจ้าพนักงานผู้จับจำเลยได้ โดยไม่ต้องระบุชื่อว่าจ่ายให้ใคร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1002/2491

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตีราคาทรัพย์ในฟ้องแบ่งมรดก ไม่ผูกมัดโจทก์ให้ขอแบ่งเฉพาะราคาที่ตีไว้ หากคำขอท้ายฟ้องไม่ได้ระบุ
ในเรื่องฟ้องขอส่วนแบ่งทรัพย์มรดก โจทก์ประสงค์จะได้ตามส่วนแบ่งที่ตนควรได้ การที่ตีราคาเอาทรัพย์มาด้วย มิใช่เป็นข้อแสดงว่าโจทก์ต้องการขอแบ่งไม่เกินราคาที่คิดเป็นส่วนแบ่ง นอกจากคำขอท้ายฟ้องจะแสดงแจ้งชัดเป็นอย่างอื่น เพราะในการฟ้องความโจทก์จะต้องตีราคาทรัพย์เพื่อการเสียค่าธรรมเนียม (อ้างฎีกาที่ 660/2490)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2487

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งสินสมรสและการตีราคาทรัพย์ ศาลจำกัดคำขอและวิธีประมูล
ศาลพิพากษาให้แบ่งสินสมรส 3 ส่วน เป็นของโจทก์ 1 ส่วนของจำเลย 2 ส่วน ถ้าแบ่งไม่ตกลง ก็ให้ประมูลหรือขายทอดตลาดดังนี้จำเลยจะขอส่ง 1 ใน 3 ของราคาทรัพย์ที่โจทก์ตีราคามาในฟ้องไม่ได้ในเมื่อโจทก์ไม่ยอมจะต้องส่งทรัพย์มาประมูลหรือขายทอดตลาด
ศาลพิพากษาให้แบ่งสินสมรสและว่าไม่ให้เกินคำขอนั้นหมายความว่าไม่ให้เกินคำขอท้ายฟ้องโดยจะคิดหักราคาทรัพย์รายที่ศาลยกฟ้องมาหักจากคำขอท้ายฟ้องไม่ได้
คดีฟ้องแบ่งมรดกหรือสินสมรสนั้นเป็นการกล่าวอ้างสิทธิในตัวทรัพย์และขอแบ่งตามสิทธินั้นๆ แต่โจทก์จำต้องตีราคาทรัพย์เพื่อคำนวณค่าธรรมเนียม
of 9