คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำพิพากษาถึงที่สุด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 214 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1294/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีใหม่หลังคำพิพากษาถึงที่สุด: การนับระยะเวลา 60 วันตามอำนาจฟ้อง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสองคำพิพากษาในคดีที่อาจอุทธรณ์ฎีกาได้จะถึงที่สุดต่อเมื่อระยะเวลาผ่านพ้นไปจนถึงวันครบกำหนดอายุอุทธรณ์หรือฎีกา สำหรับคดีที่อาจอุทธรณ์ได้จึงมีอายุอุทธรณ์ 1 เดือน นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 แต่เมื่อคดีดังกล่าวคู่ความมิได้อุทธรณ์ คดีจึงถึงที่สุดในกำหนด 1 เดือนนับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาตามมาตรา 147 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1294/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องคดีใหม่หลังคำพิพากษาถึงที่สุด: การนับระยะเวลา 60 วัน ตามสิทธิฟ้องใหม่
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา147วรรคสองคำพิพากษาในคดีที่อาจอุทธรณ์ฎีกาได้จะถึงที่สุดต่อเมื่อระยะเวลาผ่านพ้นไปจนถึงวันครบกำหนดอายุอุทธรณ์หรือฎีกาสำหรับคดีที่อาจอุทธรณ์ได้จึงมีอายุอุทธรณ์1เดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา229แต่เมื่อคดีดังกล่าวคู่ความมิได้อุทธรณ์คดีจึงถึงที่สุดในกำหนด1เดือนนับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาตามมาตรา147วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1192/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งนัดพิจารณาคดีและการถือว่าคำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อไม่ฎีกาภายในกำหนด
ศาลชั้นต้นนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในวันที่2กุมภาพันธ์2538โดยได้มีการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้ทนายจำเลยทั้งสองทราบนัดโดยการปิดหมายตามคำสั่งศาลที่สำนักทำการงานเมื่อวันที่29ธันวาคม2537ทั้งแจ้งวันนัดให้จำเลยที่1และที่2ทราบโดยการปิดหมายที่ภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองตามฟ้องด้วยเมื่อวันที่15มกราคม2538แต่ปรากฎว่าทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองไม่มาฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ศาลชั้นต้นจึงงดการอ่านโดยถือว่าได้อ่านคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังแล้วเมื่อปิดหมายแจ้งวันนัดให้ทราบตามคำสั่งศาลเป็นการส่งโดยวิธีอื่นแทนทำให้มีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลาสิบห้าวันได้ล่วงพ้นไปแล้วนับตั้งแต่เวลาที่ได้ปิดหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา79วรรคสองฉะนั้นสำหรับทนายจำเลยทั้งสองจึงต้องถือว่าได้ทราบวันนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์โดยชอบตั้งแต่วันที่มกราคม2538ส่วนจำเลยที่1และที่2ถือว่าได้ทราบวันนัดโดยชอบตั้งแต่วันที่31มกราคม2538เมื่อคู่ความไม่มีฝ่ายใดมาศาลในวันนัดฟังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในวันที่2กุมภาพันธ์2538การที่ศาลชั้นต้นได้จดแจ้งรายงานไว้ด้านหลังคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้งดการอ่านโดยถือว่าได้อ่านคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ให้โจทก์และจำเลยทั้งสองฟังโดยชอบด้วยกฎหมายในวันที่2กุมภาพันธ์2538นั้นชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความมาตรา140(3)วรรคสองแล้วเมื่อจำเลยทั้งสองและโจทก์มิได้ฎีกาคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวภายในกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์นั้นคำพิพากษาและคำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวจึงถึงที่สุดนับแต่วันที่3มีนาคม2538เป็นต้นมาแล้วการที่จำเลยทั้งสองเพิ่งมายื่นคำร้องเมื่อวันที่26มิถุนายน2538ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่จำหน่ายคดีฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองซึ่งถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่และเมื่อจำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นซึ่งขณะนั้นคดีมิได้อยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์แต่อย่างใดศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจสั่งคำร้องของจำเลยทั้งสองได้ตามอำนาจทั่วไปตามลำดับชั้นศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6427/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลคำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันโจทก์ แม้จะอ้างว่าศาลพิจารณาข้อเท็จจริงผิดพลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าคำพิพากษาในคดีแพ่งเป็นโมฆะเพราะศาลฟังพยานหลักฐานผิดไปจากความเป็นจริง ปรากฏว่าคดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดไปแล้วโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบ้านพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของ ส. โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ผลแห่งคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าวย่อมผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ผู้ร้องจำต้องรับผลแห่งคำพิพากษานั้น จะมาโต้เถียงอีกว่าคำพิพากษาพิจารณาไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงและศาลพิจารณาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาไม่ตรงกับความเป็นจริง ทั้ง ๆ ที่คำพิพากษาให้เป็นฝ่ายแพ้คดีหาได้ไม่ทั้งมิใช่กรณีที่มีกฎหมายสนับสนุนให้ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลอันจะยื่นคำร้องเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทเป็นคดีนี้ได้ตามมาตรา 55 และการขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา 27 นั้นจะต้องยื่นคำร้องขอในคดีที่อ้างว่ามีการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเอง จะยื่นคำร้องขอเป็นคดีใหม่ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6427/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลคำพิพากษาถึงที่สุดผูกพันคู่ความ ผู้แพ้คดีไม่อาจขอให้ศาลเพิกถอนคำพิพากษาด้วยเหตุฟังพยานหลักฐานผิด
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนและมีคำสั่งว่าคำพิพากษาในคดีแพ่งเป็นโมฆะเพราะศาลฟังพยานหลักฐานผิดไปจากความเป็นจริงปรากฏว่าคดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดไปแล้วโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าบ้านพิพาทมิใช่ทรัพย์มรดกของส. โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยผลแห่งคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าวย่อมผูกพันผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์ในคดีดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา145ผู้ร้องจำต้องรับผลแห่งคำพิพากษานั้นจะมาโต้เถียงอีกว่าคำพิพากษาพิจารณาไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงและศาลพิจารณาข้อเท็จจริงในคำพิพากษาไม่ตรงกับความเป็นจริงทั้งๆที่คำพิพากษาให้เป็นฝ่ายแพ้คดีหาได้ไม่ทั้งมิใช่กรณีที่มีกฎหมายสนับสนุนให้ผู้ร้องจะต้องใช้สิทธิทางศาลอันจะยื่นคำร้องเป็นคดีไม่มีข้อพิพาทเป็นคดีนี้ได้ตามมาตรา55และการขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบตามมาตรา27นั้นจะต้องยื่นคำร้องขอในคดีที่อ้างว่ามีการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นเองจะยื่นคำร้องขอเป็นคดีใหม่ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5944/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาถึงที่สุด: ห้ามอ้างกรรมสิทธิ์ใหม่ขัดแย้งกับคำพิพากษาเดิม
ผู้ร้องกับผู้คัดค้านเคยพิพาทเกี่ยวกับที่ดินพิพาทจนศาลฎีกามีคำพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของผู้คัดค้านคำพิพากษาย่อมผูกพันทั้งสองฝ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ซึ่งมีลักษณะเป็นบทบัญญัติที่เด็ดขาด คู่ความจะกล่าวอ้างหรือนำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่นและศาลจะวินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่แตกต่างไปจากเดิมหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4741/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กำหนดระยะเวลาบังคับคดี: คำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อใด?
ป.วิ.พ.มาตรา 271 ที่กำหนดให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้น ย่อมมีความหมายว่าจะต้องดำเนินการเพื่อบังคับคดีภายใน 10 ปี นับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไป
แม้จำเลยที่ 1 จะได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดร่วมกับจำเลยอื่นด้วย แต่จำเลยที่ 1 ทิ้งอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์โดยศาลชั้นต้นได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 26ธันวาคม 2529 จึงต้องถือว่าคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในวันที่ 26 ธันวาคม 2529 ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 140 วรรคท้าย และมาตรา147 วรรคสอง หาใช่ว่าคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1 ถึงที่สุดในวันที่ 22 กุมภาพันธ์2527 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ดังนั้นการที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ยื่นคำแถลงต่อศาลขอให้ออกคำบังคับแก่จำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 22กุมภาพันธ์ 2537 และต่อมาในวันที่ 24 มิถุนายน 2537 ก็ได้ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดี ถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตาม ป.วิ.พ.มาตรา 271 แล้ว โจทก์จึงมีสิทธิบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4741/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ระยะเวลาบังคับคดี: คำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อใด? การทิ้งอุทธรณ์มีผลต่อการนับระยะเวลา
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271ที่กำหนดให้เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาจะต้องร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งภายในสิบปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นย่อมมีความหมายว่าจะต้องดำเนินการเพื่อบังคับคดีภายใน10ปีนับแต่วันที่คำพิพากษาถึงที่สุดเป็นต้นไปเมื่อจำเลยที่1อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยที่1รับผิดร่วมกับจำเลยอื่นแต่จำเลยที่1ทิ้งอุทธรณ์เพราะมิได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่1ออกจากสารบบความโดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่26ธันวาคม2529จึงต้องถือว่าคดีโจทก์สำหรับจำเลยที่1ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในวันดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา140วรรคท้ายและมาตรา147วรรคสองหาใช่ว่าถึงที่สุดในวันที่22กุมภาพันธ์2527อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาไม่ดังนั้นการที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษายื่นคำแถลงต่อศาลขอให้ออกคำบังคับแก่จำเลยที่1เมื่อวันที่22กุมภาพันธ์2537และต่อมาในวันที่24มิถุนายน2537ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดีถือได้ว่าโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งภายใน10ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาหรือคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271แล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4556/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร้องซ้ำในคดีล้มละลาย: หนี้เดียวกันที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ศาลไม่รับพิจารณาซ้ำ
หนี้ที่ผู้ร้องเรียกให้ผู้คัดค้านชำระเข้ากองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่1ในคดีนี้กับหนี้ที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้คัดค้านไม่ได้เป็นหนี้ลูกหนี้ที่1ในอีกคดีหนึ่งนั้นเป็นหนี้รายเดียวกันคือเป็นหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินที่ผู้คัดค้านออกให้ลูกหนี้ที่1ในการกู้ยืมเงินและคดีมีประเด็นที่ศาลจะต้องวินิจฉัยเป็นอย่างเดียวกันว่าผู้คัดค้านจะต้องชำระหนี้ตามตั๋วสัญญาใช้เงินฉบับดังกล่าวหรือไม่เมื่อปรากฏว่าคดีที่ผู้คัดค้านยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้คัดค้านไม่ได้เป็นลูกหนี้ที่1ถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกาได้วินิจฉัยเกี่ยวกับหนี้รายนี้ว่าลูกหนี้ที่1ได้ตกลงไม่เรียกร้องให้ผู้คัดค้านชำระหนี้จำนวนดังกล่าวแล้วไม่ว่ากรณีใดๆการที่ผู้ร้องมาร้องเป็นคดีนี้จึงเป็นการรื้อร้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันเป็นการร้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา153

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1393/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำคดีแรงงาน: คำพิพากษาถึงที่สุดห้ามฟ้องซ้ำในประเด็นเดียวกัน แม้อ้างละเมิด
โจทก์เคยยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแรงงานกลางขอให้เพิกถอนคำสั่งของจำเลยที่ให้ลดขั้นเงินเดือนของโจทก์ซึ่งศาลแรงงานกลางพิพากษาว่าโจทก์ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยจำเลยมีสิทธิลงโทษโจทก์ได้คำสั่งให้ลดขั้นเงินเดือนโจทก์นั้นเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมายคดีถึงที่สุดแล้วต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่าการลงโทษลดขั้นเงินเดือนโจทก์นั้นเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา420ซึ่งจำเลยทำละเมิดแก่โจทก์หรือไม่ต้องได้ความว่าจำเลยมีคำสั่งลงโทษโจทก์โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือขัดระเบียบข้อบังคับของจำเลยและทำให้โจทก์เสียหายเมื่อศาลฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยจนถึงที่สุดแล้วว่าคำสั่งลงโทษโจทก์ของจำเลยเป็นคำสั่งที่ชอบจึงไม่เป็นละเมิดแก่โจทก์แต่เป็นเรื่องสืบเนื่องมาจากมูลกรณีเดียวกันหาใช่เป็นเรื่องละเมิดอีกต่างหากจึงเป็นการรื้อร้องฟ้องกันอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา148ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31
of 22