คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ค่าทนายความ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 111 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9607/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับฟังเอกสารและพยานหลักฐานในคดีทรัพย์สินทางปัญญา การกำหนดค่าทนายความ
จำเลยร่วมอุทธรณ์ข้อแรกว่า การที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า NEXT เริ่มจดทะเบียนที่ต่างประเทศตั้งแต่ปี 2525 โดยรับฟังจากเอกสารหมาย จ.10 และรับฟังว่าจำเลยร่วมมิได้คัดค้านเอกสารดังกล่าว ทั้งที่จำเลยร่วมได้ให้การว่าเอกสารท้ายคำฟ้องซึ่งรวมทั้งเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 เป็นเพียงสำเนาภาพถ่ายและไม่มีคำแปลเป็นภาษาไทย การรับฟังเอกสารดังกล่าวขัดต่อ ป.วิ.พ.มาตรา 93 และเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10โจทก์เพิ่งส่งคำแปลต่อศาลเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้วโดยมิได้ส่งสำเนาให้จำเลยร่วมการยื่นคำแปลดังกล่าวย่อมขัดต่อกฎหมายรับฟังไม่ได้ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ในการวินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าว ศาลชั้นต้นมิได้รับฟังเฉพาะแต่พยานเอกสารหมาย จ.9และ จ.10 แต่เพียงอย่างเดียว แต่ได้วินิจฉัยคำเบิกความของ ธ.ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้เป็นผู้ฟ้องคดีนี้ด้วย จำเลยร่วมมิได้นำสืบพยานหลักฐานหักล้างเป็นอย่างอื่นลำพังคำเบิกความของ ธ.รับฟังได้แล้วว่า โจทก์จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดตามกฎหมายของประเทศอังกฤษและ ธ.มีอำนาจมอบอำนาจช่วงให้ จ.ฟ้องคดีแทนได้ ไม่จำเป็นต้องรับฟังจากพยานเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10แต่ประการใดนั้น เป็นการวินิจฉัยนอกอุทธรณ์ ถือได้ว่าศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ข้อแรกของจำเลยร่วม ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยไป โดยไม่ต้องย้อนสำนวน
เอกสารหมาย จ.9 เป็นการรับรองเอกสารหมาย จ.3 ถึง จ.7แม้โจทก์ไม่มีต้นฉบับมาแสดง ศาลย่อมรับฟังเอกสารหมาย จ.9 ได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา93(2) ในข้อที่ว่าไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น และที่โจทก์เพิ่งส่งคำแปลเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 ต่อศาลหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จนั้น ก็ไม่เป็นการขัดต่อกฎหมาย เพราะศาลมีอำนาจสั่งให้ทำคำแปลมายื่นได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 46วรรคสาม
โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าคำว่า "NEXT" และ"next" และจำเลยร่วมทราบดีมาก่อนว่าสินค้าเสื้อผ้าของโจทก์ที่มีเครื่องหมายการค้าดังกล่าวเป็นสินค้าที่มีชื่อเสียงแพร่หลายเป็นที่นิยมของลูกค้า การที่จำเลยร่วมผลิตสินค้าเสื้อผ้าเช่นกันโดยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวออกจำหน่ายต่อสาธารณชน ถือได้ว่าเป็นการเอาสินค้าของตนไปลวงขายว่าเป็นสินค้าของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของเครื่องหมาย-การค้านั้น
คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ.ได้กำหนดอัตราค่าทนายความขั้นสูงในศาลอุทธรณ์ไว้เพียง 1,500 บาท การที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยร่วมใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ 5,000 บาท แทนโจทก์ จึงไม่ชอบศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6721/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากจำเลยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และศาลแก้ไขค่าทนายความที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อ้างเหตุคนละอย่างกับเหตุที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยการที่จำเลยฎีกาโดยคัดลอกเอาข้อความที่อุทธรณ์มาเป็นฎีกาโดยไม่ได้โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนอย่างไรที่ถูกแล้วศาลอุทธรณ์ควรวินิจฉัยอย่างไรจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความ20,000บาทแทนโจทก์เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดน่าจะเกิดจากการพิมพ์ผิดพลาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา143จึงให้แก้ไขค่าทนายความในศาลชั้นต้นเป็น3,000บาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6617/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับประกันภัยค้ำจุนหลังผู้เอาประกันเสียชีวิต ศาลตัดสินเรื่องความรับผิดของบริษัทประกันภัยและค่าทนายความ
จำเลยที่ 2 ทำสัญญารับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไว้โดยในกรมธรรม์ระบุวันทำสัญญาประกันภัยเป็นวันหลังจากที่ พ.ถึงแก่ความตาย แต่ระบุชื่อผู้เอาประกันคือ พ. หลังจาก พ.ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 1 ในฐานะผู้จัดการมรดกของ พ.ได้ดำเนินกิจการแทน พ. และได้จ้าง อ.เป็นลูกจ้าง และในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย อ.ได้ขับรถยนต์บรรทุกคันดังกล่าวไปในทางการที่จ้างด้วยความประมาทเป็นเหตุให้เกิดการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองแม้ พ.ได้ถึงแก่กรรมไปก่อนวันที่ทำสัญญาประกันภัยก็ตาม แต่เมื่อเหตุเกิดขึ้นแล้วจำเลยที่ 2 ได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนสำหรับการที่รถยนต์บรรทุกสินค้าที่รับประกันภัยไว้เสียหายตามที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ให้แก่จำเลยที่ 1 ไป จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1ในฐานะผู้จัดการมรดกของ พ.เป็นผู้ทำสัญญาประกันภัยค้ำจุนกับจำเลยที่ 2 โดยตรงเหตุที่กรมธรรม์ประกันภัยระบุว่า พ.เป็นผู้เอาประกันภัยเป็นเรื่องผิดพลาดไป หรือเป็นการเข้าใจผิดของคู่กรณีเท่านั้น หาได้หมายความว่าจำเลยทั้งสองมิได้ทำสัญญาประกันภัยต่อกันไม่ ดังนี้เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุ โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องให้จำเลยที่ 2 รับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากรถที่รับประกันภัยไว้ได้ก่อให้เกิดขึ้นตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ได้
ปัญหาว่าเหตุละเมิดเกิดจากความประมาทเลินเล่อของผู้ขับรถยนต์บรรทุกที่จำเลยที่ 2 รับประกันภัยไว้หรือไม่ และจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองเพียงใด เป็นปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 30,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 50,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ในส่วนของโจทก์ที่ 1และที่ 2 แต่ละคนจึงไม่เกิน 50,000 บาท ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง แม้ศาลฎีกาจะเห็นว่าโจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ก็วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
อัตราค่าทนายความตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ.กำหนดอัตราขั้นสูงในศาลชั้นต้นไว้ว่าทุนทรัพย์เกิน 25,000 บาท อัตราค่าทนายความในศาลชั้นต้นขั้นสูงร้อยละ 5 นั้น การกำหนดค่าทนายความดังกล่าวคิดจากทุนทรัพย์ที่โจทก์เรียกร้อง หาใช่คิดจากจำนวนที่ศาลพิพากษาให้ไม่ เพราะมิฉะนั้นแล้วหากศาลพิพากษายกฟ้องจะกำหนดค่าทนายความให้ไม่ได้เลย เมื่อทุนทรัพย์ตามฟ้องของโจทก์ที่ 1 จำนวน 40,000 บาท และโจทก์ที่ 2 จำนวน 521,700 บาท การที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดจำนวน 25,000 บาทจึงไม่เกินอัตราขั้นสูงที่กฎหมายกำหนด แต่ที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ทั้งสองรวมกันมาโดยไม่ได้แยกว่าให้ใช้แทนโจทก์คนไหนเท่าใดและให้จำเลยที่ 2 ร่วมใช้แทนด้วยทั้งหมดเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดเสียใหม่ให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6604/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนหุ้นสุจริตก่อนล้มละลาย และอำนาจศาลในการกำหนดค่าทนายความ
ผู้คัดค้านรับโอนหุ้นบริษัท ค.จำนวน 12,000 หุ้น จากจำเลยที่ 2โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน แม้เป็นการโอนในระหว่างระยะเวลา 3 ปี ก่อนมีการขอให้จำเลยที่ 2 ล้มละลาย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ก็ไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมโอนขายหุ้นระหว่างจำเลยที่ 2 กับผู้คัดค้านได้
คดีในชั้นนี้ผู้ร้องในฐานะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นคู่ความเองจึงไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะให้ผู้ร้องเป็นผู้กำหนดค่าทนายความใช้แทนให้แก่อีกฝ่าย ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7967/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดค่าทนายความในคดีไม่มีทุนทรัพย์ ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ แม้มิได้มีการฎีกาในประเด็นนี้
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ซึ่งตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ. บัญญัติให้ศาลกำหนดค่าทนายความอัตราขั้นสูงในศาลชั้นต้นใช้แทนเพียง 3,000 บาทการที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความ ให้จำเลยทั้งสองใช้แทนโจทก์ 15,000 บาทและศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามมานั้น จึงเกินกว่าอัตราขั้นสูงที่กฎหมายกำหนด แม้จำเลยทั้งสองจะมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็เห็นสมควรกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 596/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าทนายความ: การพิจารณาจากความซับซ้อนของคดี ทุนทรัพย์ และผลสำเร็จของงาน
เดิมจำเลยที่ 1 ถูก บ.ฟ้องฐานละเมิดให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนและเรียกทรัพย์คืน ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่ บ. จำเลยที่ 1 และ บ.ต่างยื่นฎีกา สำหรับจำเลยที่ 1 ได้ว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความร่วมกับทนายความคนเดิมของจำเลยที่ 1 ดำเนินคดีในชั้นฎีกาโจทก์จึงได้ทำคำแก้ฎีกาและทำคำร้องขอทุเลาการบังคับชั้นฎีกายื่นต่อศาลส่วนคำฟ้องฎีกานั้นโจทก์ก็เป็นผู้ยกร่างฎีกาเป็นบางส่วน ซึ่งต่อมาศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับโดยจำเลยที่ 1 ไม่ต้องมีหลักประกันมาวางศาล และจำเลยที่ 1 ไม่ต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ บ. เช่นนี้การปฏิบัติหน้าที่ของโจทก์ในชั้นฎีกาถือได้ว่ามีส่วนเป็นผลให้งานสำเร็จเป็นส่วนใหญ่
การที่ศาลฎีกาจะพิจารณาพิพากษาคดี ย่อมต้องพิจารณาจากคำฟ้องฎีกาและคำแก้ฎีกาเป็นสำคัญก่อน แล้วจึงพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนจึงจะวินิจฉัยชี้ขาดตัดสินได้ หาใช่ต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานในสำนวนแต่อย่างเดียวไม่
การคิดจำนวนสินจ้างจำเป็นต้องตีความสัญญาให้เป็นไปตามความประสงค์ในทางสุจริต โดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณีทั่วไปด้วย และโดยที่คดีที่โจทก์รับจ้างว่าความมีทุนทรัพย์เกือบถึง 100,000,000 บาท จำเลยที่ 1แพ้คดีศาลล่างทั้งสองศาลมาแล้ว และโจทก์ตั้งที่ปรึกษาหลายคนเป็นคณะทำงานประกอบกับต้องทำงานอย่างรีบเร่ง เพื่อชื่อเสียงและเกียรติคุณของจำเลยที่ 1ที่ประกอบธุรกิจธนาคารที่ถูกลูกค้าของธนาคารฟ้องฐานละเมิด หากจำเลยที่ 1จะจ้างทนายความอื่นก็น่าจะต้องเสียค่าจ้างไม่น้อยกว่าที่จ้างโจทก์ จึงเห็นว่าที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าทนายความให้โจทก์เป็นเงิน 3,000,000 บาท นั้น เป็นจำนวนพอสมควรแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5563/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ - การพิพากษาค่าฤชาธรรมเนียมที่ไม่ถูกต้อง
คดีนี้จำเลยที่ 2 อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสอง 6,000 บาท โดยไม่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 141(5) และ 167 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2532/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลไม่ต้องผูกพันข้อเท็จจริงจากคดีอาญา และมีอำนาจแก้ไขค่าทนายความ
ในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ปัญหาว่าคดีแพ่งต้องถือตามข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 หรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การในเรื่องนี้ไว้ก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
การที่โจทก์ที่ 3 ยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับในข้อหาขับรถยนต์ด้วยความประมาททำให้คดีอาญาระงับ แต่ผลของการเปรียบเทียบปรับดังกล่าวไม่ใช่คำพิพากษาในคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตาม
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายความให้จำเลยทั้งหกใช้แทนโจทก์เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ. แม้จำเลยทั้งหกจะไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6992/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาบัญชีเดินสะพัด-การหักหนี้-ฟ้องเคลือบคลุม-ค่าทนายความ-ทุนทรัพย์
โจทก์จำเลยตกลงกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินล่วงหน้าและออกเงินทดรองค่าใช้จ่ายแทนจำเลย เมื่อจำเลยนำปลาไปขายให้โจทก์ก็จะมีการคิดบัญชีหักหนี้จากราคา ปลาเงินส่วนที่เหลือเป็นของจำเลย ข้อตกลงเช่นนี้ต้องด้วยลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 856 ซึ่งไม่บังคับว่าจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือกรณีมิใช่จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์โดยตรง แม้โจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือก็ฟ้องจำเลยได้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ตกลงกับจำเลย ยอมให้จำเลยเบิกเงินล่วงหน้า และยอมออกเงินทดรองค่าใช้จ่ายอื่น ๆแทนจำเลย เมื่อจำเลยหาปลาได้แล้วจะต้องนำมาขายให้โจทก์ แล้วคิดหักบัญชีกัน แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ามีการกู้เบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์เมื่อวันที่เท่าใดบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าใดและเป็นค่าอะไรบ้าง รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏอยู่ในสำเนาเอกสารท้ายฟ้องแม้จำเลยจะอ้างว่าสำเนาภาพถ่ายไม่ชัดเจนอ่านไม่ออก ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 ถ้าคู่ความไม่ยอมชำระค่าอ้างเอกสาร ศาลมีอำนาจไม่รับฟังพยานหลักฐานนั้นได้ ซึ่งคำว่าไม่ยอม มีความหมายว่าจงใจฝ่าฝืนไม่ชำระ แต่ในกรณีหลงลืมซึ่งไม่จงใจฝ่าฝืน ศาลย่อมมีอำนาจรับชำระค่าอ้างเอกสารหลังจากมีคำพิพากษาแล้วได้ เพราะชำระเพียงครั้งเดียวรับฟังได้ถึงสามชั้นศาล ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้รับฟังหากเพิ่งชำระในชั้นศาลสูง ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ คิดตามทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์มากเกินกว่าร้อยละ 3 จึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6992/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขาย, สัญญาบัญชีเดินสะพัด, ค่าทนายความ, การชำระค่าเอกสาร, ทุนทรัพย์
โจทก์ประกอบกิจการแพปลา รับซื้อปลาจากชาวประมง จำเลยเป็นชาวประมง เมื่อออกเรือจับปลาได้แล้วนำไปขายให้โจทก์ แต่การออกเรือจับปลาจะต้องลงทุนเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ โจทก์จำเลยตกลงกันโดยโจทก์ยอมให้จำเลยเบิกเงินล่วงหน้าและโจทก์ยังยอมออกเงินทดรองเป็นค่าใช้จ่ายแทนจำเลย เมื่อจำเลยนำปลาไปขายให้โจทก์ก็จะมีการคิดบัญชี แล้วหักหนี้จากราคาปลา เงินส่วนที่เหลือเป็นของจำเลย ถือได้ว่าเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยให้หักทอนบัญชีอันเกิดจากกิจการในระหว่างเขาทั้งสองแล้วหักกลบลบหนี้ให้ทราบว่าฝ่ายใดเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ อันต้องด้วยลักษณะของสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856 ซึ่งไม่บังคับว่าจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ กรณีไม่ใช่จำเลยกู้ยืมเงินจากโจทก์โดยตรง แม้โจทก์ไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเป็นหนังสือก็ฟ้องจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149 ถ้าคู่ความไม่ยอมชำระค่าอ้างเอกสาร ศาลมีอำนาจไม่รับฟังพยานเอกสารนั้นได้ซึ่งคำว่า ไม่ยอม มีความหมายว่าจงใจฝ่าฝืนไม่ชำระ แต่ในกรณีหลงลืมซึ่งไม่จงใจฝ่าฝืน ศาลย่อมมีอำนาจรับชำระค่าอ้างเอกสารหลังจากมีคำพิพากษาแล้วได้ เพราะชำระเพียงครั้งเดียวรับฟังได้ถึงสามชั้นศาล ดังนั้น จะชำระในชั้นศาลใดย่อมไม่มีผลแตกต่างไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้รับฟังหากเพิ่งชำระในศาลชั้นสูงเมื่อชำระแล้วก็รับฟังได้ ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์คิดตามทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์
of 12