คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฎีกาต้องห้าม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 496 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1391/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากทุนทรัพย์เกิน 200,000 บาท และประเด็นข้อเท็จจริงที่โต้แย้งเกินกว่าขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์และให้โจทก์ชำระเงินแก่จำเลยตามฟ้องแย้ง เป็นค่าเช่าที่ค้าง 138,000 บาท ค่าซ่อมแซมตึกพิพาท 200,000 บาท และค่าไฟฟ้า 7,708 บาท เมื่อจำเลยไม่ได้อุทธรณ์และโจทก์อุทธรณ์เพียงฝ่ายเดียวขอให้จำเลยชำระเงินให้โจทก์ตามฟ้องเดิมและขอให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่กำหนดให้โจทก์ชำระเงินตามฟ้องแย้ง ดังนั้น จำนวนเงินที่พิพาทกันในส่วนค่าซ่อมแซมตึกพิพาทจึงเป็นเงิน 200,000 บาทเท่านั้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย โดยไม่กำหนดค่าซ่อมแซมตึกพิพาทให้ตามฟ้องแย้ง จำเลยจะฎีกาให้โจทก์ชำระค่าซ่อมแซมตึกพิพาทให้จำเลย 420,000 บาท เต็มตามฟ้องแย้งอีกหาได้ไม่ ทุนทรัพย์ที่จำเลยฎีกาคงเป็นเงินค่าซ่อมแซม 200,000 บาท ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้เท่านั้น จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยเข้าซ่อมแซมตึกพิพาท เนื่องจาก โจทก์ย่อมให้หักเงินประกัน 240,000 บาท โจทก์ผิดสัญญาเช่าไม่สงวนตึกพิพาทเสมอกับที่วิญญูชนจะพึงกระทำและไม่บำรุงรักษารวมทั้งซ่อมแซมเล็กน้อย ทำให้เกิดความเสียหาย โจทก์ต้องรับผิดชำระค่าซ่อมแซมตึกพิพาทให้แก่จำเลยเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8791/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: การฎีกาข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์ และการลงโทษเหมาะสม
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน 7 เม็ด และได้จำหน่ายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไป 2 เม็ด เป็นความผิดสองกรรม จำเลยอุทธรณ์เฉพาะขอให้ลงโทษสถานเบาเท่านั้น มิได้อุทธรณ์โต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลชั้นต้น ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำนวน 7 เม็ดและได้จำหน่ายไป 2 เม็ด จึงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นการที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบ เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องห้ามไม่ให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่งประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8660/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: จำนวนทุนทรัพย์พิพาทในชั้นฎีกาเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระค่าสินค้าที่ซื้อไปจากโจทก์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยชำระเงินที่ยังค้างชำระจำนวน 423,933.50 บาท พร้อมดอกเบี้ย จำเลยฎีกาแต่เพียงว่าจำเลยค้างชำระอยู่ 353,333.50 บาท เท่านั้น คดีของจำเลยจึงมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเพียง 70,600 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8107/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: ประเด็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงและการฟ้องเกิน 1 ปี ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าเดิมที่ดินพิพาทเป็นของ ด. บิดาจำเลย ต่อมาก่อน ด. จะถึงแก่ความตาย ด. ได้ขายให้โจทก์โดยการส่งมอบ โจทก์ได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตลอดมา จึงได้สิทธิครอบครอง จำเลยให้การว่า ด. ไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์ โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อทำกินต่างดอกเบี้ย มิได้ครอบครองเพื่อตน หลังจาก ด. ถึงแก่ความตายโจทก์จำเลยฟ้องร้องกันเป็นคดีอาญาและต่างฝ่ายต่างถอนฟ้องไปแล้วจำเลยได้กลับเข้าครอบครองที่ดินพิพาท เพราะเป็นของจำเลย แสดงว่าจำเลยอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยมาตั้งแต่ต้นไม่เคยตกเป็นของโจทก์ กรณีจึงไม่อาจมีปัญหาเรื่องการแย่งการครอบครอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดขึ้นได้ก็แต่เฉพาะในที่ดินของผู้อื่น จึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าโจทก์ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครองหรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7752/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม เหตุโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยแล้ว
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 5 ปี ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 5 ปี รวมจำคุก10 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คู่ความจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง โดยแยกพิจารณาโทษแต่ละกระทงเป็นเกณฑ์ ที่จำเลยฎีกาว่า การตรวจค้นบ้านจำเลยไม่มีหมายค้นเพราะไม่ใช่การกระทำความผิดซึ่งหน้าเนื่องจากเจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปเคาะประตูบ้านจำเลย แล้วภริยาจำเลยออกไปเปิดประตูในขณะนั้นจำเลยยังนอนอยู่ยังไม่ตื่นไม่มีการล่อซื้อ เจ้าพนักงานตำรวจเข้าค้นโดยพลการ กระทำผิดกฎหมายในการตรวจค้นนั้นเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงอันต้องห้ามฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7154/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249: การยกประเด็นใหม่ในชั้นฎีกาที่ไม่เคยว่ากันมาก่อนในศาลชั้นต้นและอุทธรณ์
++ เรื่อง ละเมิด ประกันภัยค้ำจุน ++
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดของจำเลยที่ 1ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุน จำเลยที่ 2 ให้การต่อสู้คดีเพียงว่า ความรับผิดของจำเลยที่ 2ในอันที่จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกแทนจำเลยที่ 1 ในเหตุละเมิดคดีนี้เหลือไม่เกิน 360,000 บาท และคดีขาดอายุความ และคดีในส่วนของจำเลยที่ 2ไม่มีประเด็นดังกล่าวมาแต่ต้น แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อทำละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งเป็นการวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1ไม่ได้ฎีกา ประเด็นดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ แม้จำเลยที่ 2 จะอ้างมาในฎีกาด้วยว่าพยานเอกสารบางฉบับที่ศาลรับฟังว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อจะเข้าสู่สำนวนโดยมิชอบอันเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ก็ถือว่าเป็นปัญหาในเรื่องนอกประเด็นตามคำให้การ ฎีกาของจำเลยที่ 2 เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7154/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม: จำเลยที่ 2 ไม่ยกประเด็นความประมาทเลินเล่อในคำให้การ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดในมูลละเมิดของจำเลยที่ 1 ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุน จำเลยที่ 2 มิได้ยกประเด็นที่ฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักรับฟังว่าจำเลยที่ 1 ขับรถยนต์ด้วยความประมาทเลินเล่อขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การของตน คดีในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่มีประเด็นดังกล่าวมาแต่ต้นการที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ประมาทเลินเล่อทำละเมิดต่อโจทก์นั้น เป็นการวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้ฎีกา ประเด็นดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 แม้จำเลยที่ 2 จะอ้างมาในฎีกาว่าพยานเอกสารบางฉบับเข้าสู่สำนวนโดยมิชอบ ก็ถือว่าเป็นปัญหาในเรื่องนอกประเด็นตามคำให้การ ฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6242/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้าม - โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีต่อกระทง - ศาลไม่รับวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 5 ปี และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี เพิ่มโทษจำคุกกึ่งหนึ่งเป็นจำคุก 15 ปีเมื่อลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งแล้วคงให้จำคุก 7 ปี 6 เดือน กับให้บวกโทษของจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนเข้ากับโทษในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จึงมีผลเท่ากับว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังคงให้ลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5749/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเดิมที่รับรองไว้ และโต้แย้งดุลพินิจศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องจำเลยให้การรับสารภาพและรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ โดยจำเลยไม่ได้ต่อสู้ว่ากรณีไม่อาจนับโทษจำเลยต่อจากโทษในอีกคดีหนึ่งได้เพราะความผิดที่จำเลยกระทำในคดี ดังกล่าวและคดีนี้เป็น การกระทำกรรมเดียวกัน การที่จำเลยฎีกาโดยอ้างข้อเท็จจริงและเหตุผลต่าง ๆ เพื่อให้รับฟังว่าการกระทำความผิดของจำเลยในคดีนี้และคดีอาญาที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน จึงไม่อาจนับโทษจำเลยต่อได้เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย อันเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง
ในความผิดตาม พ.ร.บ. จัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 2 ปี นับโทษจำเลยต่อจากโทษของจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเป็นจำคุก 1 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและให้จำคุกไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5681/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากเป็นการแก้ไขเล็กน้อยโทษและข้อหาตรงกันกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่าย เมทแอมเฟตามีนตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 65 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ฐานผลิตและมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษฐานผลิตซึ่งมีโทษ หนักที่สุด ให้จำคุกตลอดชีวิต ลงโทษฐานจำหน่าย จำคุก 5 ปี ลดโทษหนึ่งในสามแล้ว ฐานผลิตเมทแอมเฟตามีน จำคุก 33 ปี 4 เดือน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 3 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดฐานผลิตเมทแอมเฟตามีน แต่มีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและมีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เช่นนี้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดทั้งสองข้อหาตรงกันกับคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่ศาลชั้นต้นไม่ได้กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและ ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษในความผิดฐานนี้ ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงมีการแก้ไขเฉพาะโทษซึ่งถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อย ส่วนความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น ความผิดทั้งสองฐานศาลอุทธรณ์ลงโทษจำคุกกระทงละไม่เกินห้าปี จึงเป็นคดีต้องห้ามคู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ว่าไม่ได้กระทำผิดเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
of 50