คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ถึงที่สุด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 80 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1189/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีแพ่งต้องสอดคล้องกับคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุด
ในกรณีที่โจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยบุกรุก ขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุก และให้จำเลยออกไปจากที่พิพาทตลอดจนชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์นั้น เมื่อคำพิพากษาส่วนอาญาศาลชั้นต้นวินิจฉัยไว้เป็นที่ยุติแล้วว่าที่พิพาทไม่ใช่ของโจทก์ ดังนี้ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลฎีกาจำต้องถือตาม จะฟังข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นหาได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 1172/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 840/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากขาดนัดพิจารณา และการอุทธรณ์คำสั่งจำหน่ายคดีที่ยังไม่ถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีอ้างว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง โจทก์อุทธรณ์ว่าคำร้องของโจทก์มีข้อความชัดว่าโจทก์ร้องขอให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป มิใช่ขอให้พิจารณาใหม่ ไม่สมควรที่ศาลชั้นต้นจะสั่งจำหน่ายคดี ขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องของโจทก์ จึงเท่ากับอุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีโดยไม่ชอบ การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้โจทก์จะจงใจไม่มาศาลในวันนัดฟังประเด็นกลับ ก็มิใช่เป็นกรณีที่จะถือได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง คำสั่งของศาลชั้นต้นจึงไม่ชอบ พิพากษาให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปนั้น ย่อมเป็นการวินิจฉัยในประเด็นโดยตรงที่โจทก์อุทธรณ์แล้ว ไม่จำเป็นที่จะวินิจฉัยว่าจะให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของโจทก์ต่อไปหรือไม่
ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีวันที่ 19 พฤศจิกายน 2519 วันที่ 22 พฤศจิกายน 2519 โจทก์ยื่นคำร้องว่ามิได้มีเจตนาขาดนัดหรือจงใจละทิ้งคดี ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 22 ธันวาคม 2519 ครั้นถึงวันนัดศาลชั้นต้นงดไต่สวนแล้วสั่งยกคำร้อง ต้องถือว่าคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2519 มีผลแต่วันที่ 22 ธันวาคม 2519 อันเป็นวันที่ศาลชั้นต้นงดการไต่สวนและยกคำร้องและเป็นวันเริ่มต้นนับอายุอุทธรณ์ของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1948/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงคดีอาญาถึงที่สุดมีผลผูกพันคดีแพ่งฐานละเมิด หากศาลอาญาไม่พบว่ามีการกระทำความผิด
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาแจ้งความเท็จ ทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จ ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง คดีถึงที่สุดโจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดที่จำเลยไปแจ้งความเท็จ ทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพ ฟ้องเท็จ และเบิกความเท็จ ดังนี้ ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาในชั้นไต่สวนมูลฟ้องซึ่งถึงที่สุดแล้ว
ทุนทรัพย์ที่จะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ต้องถือทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงในคดีแพ่งต้องสอดคล้องกับคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดในมูลคดีเดียวกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแนะนำให้โจทก์ลงชื่อในสัญญาเช่าในฐานะผู้ให้เช่าแล้วมอบให้จำเลยไปเพื่อจะได้จัดการให้นายสวงษ์เป็นผู้เช่า แต่จำเลยกลับนำไปกรอกข้อความว่าจำเลยเป็นผู้เช่าเสียเอง จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาเช่าดังกล่าวปรากฏว่าโจทก์ได้นำมูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ไปฟ้องจำเลยในทางอาญาในข้อหายักยอกลายมือชื่อ บุกรุกทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าฉบับพิพาทต่อกันไว้จริง มิใช่จำเลยนำสัญญาไปกรอกเอาเองดังโจทก์กล่าวหา และคดีอาญาดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา.ฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งซึ่งอ้างข้อหาอย่างเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงย่อมตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 196/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อเท็จจริงในคดีแพ่งต้องสอดคล้องกับคำพิพากษาคดีอาญาที่ถึงที่สุดแล้วในมูลคดีเดียวกัน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแนะนำให้โจทก์ลงชื่อในสัญญาเช่า ในฐานะผู้ให้เช่าแล้วมอบให้จำเลยไปเพื่อจะได้จัดการให้นายสวงษ์เป็นผู้เช่า แต่จำเลยกลับนำไปกรอกข้อความว่าจำเลยเป็นผู้เช่าเสียเอง จึงขอให้ศาลเพิกถอนสัญญาเช่าดังกล่าว ปรากฏว่าโจทก์ได้นำมูลคดีเรื่องเดียวกันนี้ไปฟ้องจำเลยในทางอาญาในข้อหายักยอกลายมือชื่อ บุกรุกทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงต้องกันว่าโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาเช่าฉบับพิพาทต่อกันไว้จริง มิใช่จำเลยนำสัญญาไปกรอกเอาเองดังโจทก์กล่าวหา และคดีอาญาดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว ดังนี้ ในการพิจารณาคดีส่วนแพ่ง ต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา.ฟ้องโจทก์ในคดีแพ่งซึ่งอ้างข้อหาอย่างเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงย่อมตกไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1499/2516

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยฎีกาจำเลย เนื่องจากศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยไว้ตลอดชีวิตปลอกกระสุนปืนของกลางริบ โจทก์จำเลยไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 245 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ปลอกกระสุนปืนของกลางโจทก์ไม่ได้ขอให้ริบ จึงไม่ริบ ดังนี้ คดีย่อมถึงที่สุดแล้ว จำเลยฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1025/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีรวม และการเพิ่มโทษจำเลยหลังศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว
อัยการฟ้อง ร. กับ ส. เป็นจำเลย หาว่าทำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน และ ส. ฟ้อง ร. เป็นอีกสำนวนหนึ่งว่าทำร้ายร่างกายตน ศาลชั้นต้นสั่งรวมการพิจารณาพิพากษา แล้วพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ ร. แต่โทษจำคุกให้รอไว้ ส่วน ส. นั้นก็ให้ลงโทษปรับ กับยกฟ้องคดีที่ ส. เป็นโจทก์ ส.แต่ผู้เดียวอุทธรณ์ทั้ง 2 สำนวน ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคดีที่ ส. เป็นโจทก์เหมือนกัน แต่ให้แก้โทษของ ร. เป็นไม่รอการลงโทษจำคุก ดังนี้ หาชอบไม่ เพราะคดีเฉพาะตัว ร. จำเลยในสำนวนที่อัยการเป็นโจทก์นั้นถึงที่สุดแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 898/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ระยะเวลาการขอคืนของกลาง: นับจากวันอ่านคำสั่งศาลฎีกาถึงที่สุด ไม่ใช่วันพิพากษาเดิม
ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2509 วันที่ 12 เมษายน 2509 จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาอ้างว่าเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา จำเลยฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีให้ยกเสีย และศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2509 วันที่ 13 มิถุนายน 2510 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลาง ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีถึงที่สุดเมื่อได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยฟัง การนับระยะเวลา 1 ปี เพื่อยื่นคำร้องขอคืนของกลาง นับต่อจากวันนั้นเป็นต้นไป การที่ผู้ร้องร้องขอคืนของกลางเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2510 จึงเป็นการร้องต่อศาลภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2512)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 898/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ระยะเวลาการขอคืนของกลาง: นับจากวันอ่านคำสั่งศาลฎีกาถึงที่สุด ไม่ใช่วันพิพากษาเดิม
ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2509 วันที่ 12 เมษายน 2509 จำเลยยื่นฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาอ้างว่าเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาจำเลยฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีให้ยกเสีย และศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่14 มิถุนายน 2509วันที่ 13 มิถุนายน 2510 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีถึงที่สุดเมื่อได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยฟังการนับระยะเวลา 1 ปี เพื่อยื่นคำร้องขอคืนของกลางนับต่อจากวันนั้นเป็นต้นไปการที่ผู้ร้องร้องขอคืนของกลางเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2510 จึงเป็นการร้องต่อศาลภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2512)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 898/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ระยะเวลาการยื่นคำร้องขอคืนของกลาง: เริ่มนับจากวันที่ศาลอ่านคำสั่งถึงที่สุด ไม่ใช่วันพิพากษา
ศาลได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้จำเลยฟังเมื่อวันที่15 มีนาคม 2509. วันที่ 12 เมษายน 2509 จำเลยยื่นฎีกา. ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาอ้างว่าเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกา. จำเลยฎีกา ศาลฎีกาสั่งว่าข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยไม่เป็นสาระแก่คดีให้ยกเสีย. และศาลชั้นต้นอ่านคำสั่งศาลฎีกาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่14 มิถุนายน 2509. วันที่ 13 มิถุนายน 2510 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลาง. ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า คดีถึงที่สุดเมื่อได้อ่านคำสั่งศาลฎีกาให้จำเลยฟัง.การนับระยะเวลา 1 ปี เพื่อยื่นคำร้องขอคืนของกลางนับต่อจากวันนั้นเป็นต้นไป. การที่ผู้ร้องร้องขอคืนของกลางเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2510 จึงเป็นการร้องต่อศาลภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36.(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2512).
of 8