คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ถึงแก่ความตาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 233 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1746/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขฟ้องเพิ่มข้อหาขับรถประมาทจนถึงแก่ความตาย และการโต้แย้งข้อเท็จจริงหลังรับสารภาพ
เดิมโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายรับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า ผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเนื่องมาจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ขอให้ลงโทษฐานขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 โดยมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการสอบสวนเพิ่มเติมมาท้ายฎีกาด้วยว่า เมื่อโจทก์ทราบว่าผู้เสียหายถึงแก่ความตายอันเป็นผลสืบเนื่องจากการขับโดยประมาทของจำเลยโจทก์ได้มีหนังสือลงวันที่ 10 มกราคม 2534 และแจ้งข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เพิ่มเติมจากที่ได้ทำการสอบสวนไว้แล้วแก่จำเลย และจำเลยได้ทราบข้อหาแล้วปรากฏตามบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมลงวันที่ 15 มกราคม 2534กรณีจึงมีเหตุอันควร โจทก์ขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องในความผิดฐานขับรถยนต์โดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ได้ และศาลมีอำนาจที่จะลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้ เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่าได้กระทำผิดตามฟ้องดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยจะฎีกาว่าผู้ตายถึงแก่ความตายด้วยโรคประจำตัวมิใช่เกิดจากการขับรถโดยประมาทของจำเลย ทั้งจำเลยมิได้ขับรถโดยประมาท แต่เหตุเกิดขึ้นเพราะความผิดของฝ่ายผู้ตายเองหาได้ไม่เพราะเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพไว้แล้วทั้งยังเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 149

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1586/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่วมกับผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
จำเลยกับพวกปรึกษากันก่อนที่จะเข้าไปทำร้ายผู้ตายกับผู้เสียหาย เมื่อพวกของจำเลยใช้สุราสาดหน้าผู้ตาย จำเลยก็เข้าทำร้ายผู้ตายทันที เมื่อผู้ตายวิ่งหนี พวกของจำเลยก็ไล่ติดตามไปรุมทำร้ายต่อเนื่องกันไป ขณะเดียวกันพวกของจำเลยก็แบ่งแยกกันทำร้ายผู้เสียหายพร้อมกันไปด้วย มีลักษณะเป็นการนัดแนะกันไว้ก่อน หลังจากทำร้ายแล้วจำเลยกับพวกก็หลบหนีไปด้วยกันถือได้ว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหาย
เหตุวิวาทเกิดขึ้นโดยบังเอิญ จำเลยไม่อาจคาดคิดได้ว่าพวกของจำเลยคนใดพกอาวุธติดตัวมาด้วย ทั้งไม่ปรากฎว่าพวกของจำเลยคนใดได้ถือมีดอยู่ในมือแสดงอาการว่าจะเข้าไปแทงผู้ตาย ประกอบทั้งมูลเหตุที่วิวาทก็เพียงแต่เพราะถูกผู้ตายขว้างแก้วใส่ ไม่ใช่สาเหตุร้ายแรงถึงขนาดที่จำเลยกับพวกจะต้องฆ่าผู้ตาย ทั้งจำเลยเพียงชกหน้าผู้ตาย 1 ที มิได้ติดตามไปรุมทำร้ายผู้ตายด้วยอาวุธซ้ำอีก พฤติการณ์ดังกล่าวยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกฆ่าผู้ตาย คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาร่วมกับพวกทำร้ายผู้ตายและผู้เสียหายเท่านั้น เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย และผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กาย เพราะถูกพวกของจำเลยใช้มีดแทงและทำร้าย จำเลยจึงมีความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้ตายเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย และฐานร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษจำเลยตาม ป.อ.มาตรา 290 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5728/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำเลยไม่มีส่วนร่วมในการกระทำผิด
ก่อนเกิดเหตุ 1 เดือน จำเลยที่ 1 ได้ขออนุญาตผู้ตายขึงสายไฟฟ้าผ่านที่นาผู้ตายไปยังที่นาจำเลยทั้งสองเพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านสายไฟฟ้าในการดักจับหนู เฉพาะเวลากลางคืนระหว่าง19 นาฬิกา ถึง 5 นาฬิกา ดังนั้น จึงต้องมีการต่อกระแสไฟฟ้าเข้าสายไฟฟ้าเมื่อถึงเวลาจะใช้และปลดสายที่ต่อกับกระแสไฟฟ้าออกเมื่อเลิกใช้ในเวลากลางวัน เหตุคดีนี้เกิดเวลากลางวันระหว่างเวลาประมาณ 9 นาฬิกาถึง 15 นาฬิกา ห่างจากวันเริ่มขึงสายไฟฟ้าดักจับหนูครั้งแรกประมาณ 1 เดือน เชื่อว่าได้มีการปลดสายที่ต่อกับกระแสไฟฟ้าออกและต่อกระแสไฟฟ้าเข้าสู่สายไฟฟ้าดังกล่าวหมุนเวียนมาแล้วหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายที่มีผู้ต่อกระแสไฟฟ้าเข้าสู่สายไฟฟ้าแล้วเกิดเหตุขึ้นนั้น ไม่มีพยานรู้เห็นว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำหรือเห็นจำเลยที่ 1 ได้กระทำการอย่างใดอันจะถือได้ว่าจำเลยที่ 1ร่วมกับจำเลยที่ 2 กระทำโดยประมาทปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าสายไฟฟ้า เป็นเหตุให้ผู้ตายถูกกระแสไฟฟ้าที่ปล่อยผ่านดูดร่างกายจนถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3913/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการเตะกระทืบไม่เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
ขณะเกิดเหตุคนที่มาในงานเลี้ยงโกรธผู้ตายที่ยิงปืน จึงต่างคนต่างทำร้ายผู้ตาย โดยจำเลยเพียงเข้าไปเตะและกระทืบผู้ตายซึ่งนั่งอยู่ในครัว มิได้ใช้สิ่งใดเป็นอาวุธทำร้ายร่างกายผู้ตาย จำเลยได้กระทำไปตามลำพังโดยมิได้ร่วมหรือสมคบกับผู้อื่น ประกอบกับปรากฏจากบาดแผลของผู้ตายตามรายงานการชันสูตรพลิกศพว่า ที่เหนือคิ้วขวามีรอยถูกของแข็งตีเป็นบาดแผลยาว 1 นิ้ว ตรงกลางหน้าผากถูกของแข็งยาว 5 นิ้วเศษ ยุบลึกลงไป 1 นิ้ว ใต้ตาขวาถูกของแข็งตีแตกยาว1 นิ้ว โดยบาดแผลแต่ละแห่งนั้นเกิดจากการถูกตีด้วยความแรงจนกะโหลก ศีรษะยุบและแตกเป็นชิ้น ร่างกายส่วนอื่นไม่มีบาดแผลใด และเหตุ ที่ตายเนื่องจากผู้ตายถูกตีด้วยของแข็งอย่างแรงหลายที เป็นเหตุให้กะโหลกศีรษะแตกและยุบ สมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างแรง เชื่อว่าผู้ตายถึงแก่ความตายทันที ดังนี้ ย่อมแสดงให้เห็นชัดว่าที่ จำเลยเตะ และกระทืบผู้ตายมิได้เป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดแผล ดังกล่าว ทั้งร่างกาย ส่วนอื่นนอกจากบาดแผลนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามี บาดแผลหรือรอยฟกช้ำอื่นใด อีกอีก ยังเชื่อไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำผิด กับผู้อื่นโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตายการกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงการ ใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391 เท่านั้น ความตาย ของผู้ตายมิใช่ผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของจำเลย จำเลยจึงไม่ ต้องรับผิดในผลที่เกิดขึ้น การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3278/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันเกินขนาดและการใช้กำลังเกินความจำเป็นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
เมื่อผู้ตายซึ่งเป็นคนร้ายได้วิ่งหนีออกจากบ้านจำเลยไปภยันตรายที่จำเลยจะต้องป้องกันนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว การที่จำเลยถือไม้ไล่ตามผู้ตายไปไกลจากบ้านจำเลยถึง 60 เมตร แล้วได้ใช้ไม้ยาวประมาณ 1 เมตร ตีผู้ตายจนถึงแก่ความตาย ทั้ง ๆ ที่ไม่ปรากฏว่าผู้ตายต่อสู้หรือมีอาวุธ เช่นนี้ จำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย และการป้องกันสิทธิในสถานการณ์วิวาท การพิจารณาเจตนาและเหตุผลในการกระทำ
จำเลยใช้มีดวิ่งเข้าไปจะแทงผู้ตายเพราะโกรธที่พี่ชายจำเลยถูกผู้ตายต่อย และจำเลยยังแทงทำร้ายผู้เสียหายซึ่งใช้เหล็กแป๊บน้ำตีขัดขวางถึงบาดเจ็บเป็นกรณีที่จำเลยสมัครใจเข้าร่วมวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น ส่วนการที่จำเลยวิ่งหนีแล้วผู้ตายซึ่งไม่มีอาวุธวิ่งไล่ตาม และมีผู้เสียหายวิ่งตามหลังผู้ตายไป ก็เป็นพฤติการณ์ต่อสู้เกี่ยวเนื่องติดพันกัน จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุดังกล่าวว่าจำต้องกระทำเพื่อต่อสู้ป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นได้
จำเลยวิ่งหนีแล้วหันกลับมาแทงผู้ตายซึ่งวิ่งไล่ตามเพียงครั้งเดียวแล้ววิ่งหนีต่อไป แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายเพียงแต่แทงผู้ตายเพื่อให้พ้นการติดตามของผู้ตายกับพวก โดยไม่มีโอกาสเลือกแทงอวัยวะส่วนใดของผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้ป้องกันตัวและการทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย
จำเลยสมัครใจเข้าร่วมวิวาททำร้าย ร่างกายซึ่งกันและกันกับฝ่ายผู้ตายและผู้เสียหาย เสร็จแล้วจำเลยวิ่งหนีไปไกลประมาณ8 เมตร โดยมีผู้ตายซึ่งไม่มีอาวุธกับผู้เสียหายวิ่งไล่ตามไปดังนี้การต่อสู้จึงยังเกี่ยวเนื่องติดพันกัน จึงไม่เป็นเหตุที่จำเลยจะอ้างได้ว่า เป็นภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายที่ละเมิดต่อกฎหมายอันจะเป็นเหตุให้จำเลยต่อสู้ป้องกันสิทธิของตนได้ แต่การที่จำเลยวิ่งหนีแล้วหันกลับมาใช้อาวุธมีดปลายแหลมแทงผู้ตายซึ่งวิ่งไล่ตามมานั้นเพียงครั้งเดียวโดยไม่มีโอกาสเลือกแทงอวัยวะส่วนใดของผู้ตาย แล้วจำเลยวิ่งหนีต่อไปอีกนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวจึงน่าเชื่อว่า จำเลยมิได้เจตนาฆ่าผู้ตาย แต่เป็นการกระทำเพื่อให้พ้นจากการติดตามของผู้ตายกับพวก เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายเพราะบาดแผลที่จำเลยแทงทำร้ายจำเลยคงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 290 วรรคแรก เท่านั้น.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 298/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยเข้าร่วมวิวาท ทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย ศาลลดโทษฐานรับสารภาพ
จำเลยใช้มีดวิ่งเข้าไปจะแทงผู้ตายเพราะโกรธที่พี่ชายจำเลยถูกผู้ตายต่อย และจำเลยยังแทงทำร้ายผู้เสียหายซึ่งใช้เหล็กแป๊บน้ำตีขัดขวางถึงบาดเจ็บเป็นกรณีที่จำเลยสมัครใจเข้าร่วมวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน ไม่เป็นการป้องกันสิทธิของตนเองหรือของผู้อื่น ส่วนการที่จำเลยวิ่งหนีแล้วผู้ตายซึ่งไม่มีอาวุธวิ่งไล่ตาม และมีผู้เสียหายวิ่งตามหลังผู้ตายไป ก็เป็นพฤติการณ์ต่อสู้เกี่ยวเนื่องติดพันกัน จำเลยจึงไม่อาจอ้างเหตุดังกล่าวว่าจำต้องกระทำเพื่อต่อสู้ป้องกันสิทธิของตน หรือของผู้อื่นได้ จำเลยวิ่งหนีแล้วหันกลับมาแทงผู้ตายซึ่งวิ่งไล่ตามเพียงครั้งเดียวแล้ววิ่งหนีต่อไป แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาฆ่าผู้ตายเพียงแต่แทงผู้ตายเพื่อให้พ้นการติดตามของผู้ตายกับพวก โดยไม่มีโอกาสเลือกแทงอวัยวะส่วนใดของผู้ตาย เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตายจำเลยจึงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคแรก โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา แต่ทางพิจารณาฟังได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ศาลก็มีอำนาจลงโทษจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2604/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทในการถอยรถบรรทุก การกระทำโดยขาดความระมัดระวังทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จำเลยขับรถบรรทุกถอยหลังดันเหล็กท่อน้ำซึ่งปลายข้างหนึ่งยันขดลวดสายไฟฟ้าที่วางขวางอยู่บนรถบรรทุกอีกคันหนึ่ง ส่วนปลายเหล็กท่อน้ำอีกข้างหนึ่งยันที่กระบะท้ายรถที่จำเลยขับโดยผู้ตายเป็นผู้จับเหล็กท่อน้ำไว้ ขณะถอยรถเหล็กท่อน้ำหลุดจากขดลวดสายไฟฟ้า รถที่จำเลยขับจึงทับผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้แม้ว่าผู้ตายเป็นผู้สั่งให้จำเลยถอยรถ จำเลยก็จะต้องพิจารณาว่าการถอยรถในลักษณะเช่นนั้นปลอดภัยหรือไม่ การนำขดลวดสายไฟฟ้าลงจากรถยนต์บรรทุกคันหนึ่งโดยวิธีให้จำเลยขับรถบรรทุกถอยหลังดันเหล็กท่อน้ำเพื่อให้เหล็กท่อน้ำดันขดลวดสายไฟฟ้าให้เคลื่อนที่จากแนวขวางเป็นแนวตรงนั้น เป็นวิธีที่ไม่ปลอดภัย เพราะถ้าเหล็กท่อน้ำหลุดจากขดลวดสายไฟฟ้าหรือจากกระบะท้าย รถยนต์บรรทุกที่ยันหรือจากมือผู้ตาย กระบะท้าย รถยนต์บรรทุกที่จำเลยขับก็จะอัดผู้ตายเข้ากับกระบะท้าย รถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่ง การถอยรถของจำเลยจึงเป็นความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยจะต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 95/2532 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันทำร้ายจนถึงแก่ความตาย: การพิจารณาตัวการร่วมและความเป็นเหตุบังเอิญ
จำเลยทั้งสองทราบดีว่า ส. กับผู้ตายมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนวันเกิดเหตุ จำเลยทั้งสองกับ ส. เดินไปพบผู้ตายกับพวก ส. ชักมีดปลายแหลมไล่แทงทำร้ายผู้ตาย จำเลยทั้งสองได้วิ่งตาม ส. เข้าไปด้วย เมื่อ ส. แทงผู้ตายแล้ว จำเลยทั้งสองได้ช่วยกันกระทืบผู้ตายซ้ำ แล้วจำเลยทั้งสองกับ ส. ก็ได้หลบหนีไปด้วยกันแสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยกับพวกที่จะร่วมกันแทงทำร้ายผู้ตายมาแต่ต้น แม้จำเลยทั้งสองจะไม่ได้แทงผู้ตาย เพียงแต่กระทืบผู้ตาย อันเป็นการทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจก็ตาม เมื่อการตายของผู้ตายเกิดจากการแทงทำร้ายของพวกจำเลยก็ย่อมถือว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาด้วย
จำเลยทั้งสองกับพวกมาพบผู้ตายโดยบังเอิญ แล้วได้ร่วมกันทำร้ายผู้ตายทันที ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกับพวกมีแผนการหรือไตร่ตรองไว้ก่อนในการที่จะฆ่าผู้ตาย.
of 24