คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ทิ้งฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 301 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4640/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกเฉยต่อคำสั่งศาลในการดำเนินคดีล้มละลาย ถือเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์
ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2537ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ของผู้ร้องในวันรุ่งขึ้นว่า ให้รับอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้องให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน 5 วัน ไม่มีผู้รับให้ปิด โดยเจ้าหน้าที่ของศาลได้ประทับตรายางกำหนดให้ผู้ร้องมาทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่ 21 กรกฎาคม 2537 ซึ่งผู้ร้องได้ลงชื่อรับทราบไว้แล้ว กรณีจึงถือได้ว่าผู้ร้องทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่ 21 กรกฎาคม 2537 แต่ผู้ร้องมิได้มานำส่งสำเนาอุทธรณ์ จนกระทั่งวันที่ 17 สิงหาคม 2537 อันล่วงเลยกำหนดเวลา5 วัน ตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว เจ้าพนักงานกรมบังคับคดีได้รายงานต่อศาลชั้นต้นว่า พ้นกำหนดระยะเวลาในการนำหมายแล้ว ผู้ร้องไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่ง ศาลชั้นต้นจึงให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์ เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2), 246 ประกอบด้วยมาตรา 153 แห่งพ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483
เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ แม้ผู้ร้องจะได้เสียค่าธรรมเนียมในการนำส่งก็ไม่ทำให้ผู้ร้องหมดหน้าที่ที่จะต้องจัดการนำส่งตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) บัญญัติว่า โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยได้ส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้ว ให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง อันเป็นผลที่เกิดขึ้นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย เมื่อผู้ร้องทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นซึ่งกำหนดให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้ว แต่ผู้ร้องไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือได้ว่าผู้ร้องไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพื่อการนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบด้วยมาตรา246 จึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์โดยไม่จำเป็นที่ศาลชั้นต้นจะต้องสั่งไว้อย่างชัดแจ้งด้วยว่า "หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือว่าทิ้งฟ้อง"

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4640/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลภายในกำหนด แม้ศาลไม่ต้องระบุผลการทิ้งฟ้องโดยชัดแจ้ง
ผู้ร้องยื่นอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นเมื่อวันที่18กรกฎาคม2537ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอุทธรณ์ของผู้ร้องในวันรุ่งขึ้นว่าให้รับอุทธรณ์คำสั่งของผู้ร้องให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายใน5วันไม่มีผู้รับให้ปิดโดยเจ้าหน้าที่ของศาลได้ประทับตามยางกำหนดให้ผู้ร้องมาทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่21กรกฎาคม2537ซึ่งผู้ร้องได้ลงชื่อรับทราบไว้แล้วกรณีจึงถือได้ว่าผู้ร้องทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นในวันที่21กรกฎาคม2537แต่ผู้ร้องมิได้มานำส่งสำเนาอุทธรณ์จนกระทั่งวันที่17สิงหาคม2537อันล่วงเลยกำหนดเวลา5วันตามคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วเจ้าพนักงานกรมบังคับคดีได้รายงานต่อศาลชั้นต้นว่าพ้นกำหนดระยะเวลาในการนำหมายแล้วผู้ร้องไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งศาลชั้นต้นจึงให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าผู้ร้องเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดจึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2),246ประกอบด้วยมาตรา153แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483 เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แม้ผู้ร้องจะได้เสียค่าธรรมเนียมในการนำส่งก็ไม่ทำให้ผู้ร้องหมดหน้าที่ที่จะต้องดำเนินการนำส่งตามตำสั่งของศาลชั้นต้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)บัญญัติว่าโจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยได้ส่งคำสั่งให้แก่โจทก์โดยชอบแล้วให้ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอันเป็นผลที่เกิดขึ้นตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเมื่อผู้ร้องทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นซึ่งกำหนดให้ผู้ร้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แล้วแต่ผู้ร้องไม่นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดถือได้ว่าผู้ร้องไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพื่อการนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)ประกอบด้วยมาตรา246จึงเป็นการทิ้งฟ้องอุทธรณ์โดยไม่จำเป็นที่ศาลชั้นต้นจะต้องสั่งไว้อย่างชัดแจ้งด้วยว่า"หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือว่าทิ้งฟ้อง"

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4527/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ จำเลยต้องวางค่าฤชาธรรมเนียมและชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกัน หากไม่ปฏิบัติตามถือเป็นการทิ้งฟ้อง
ในการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ นอกจากจำเลยจะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลแล้ว ยังจะต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลอีกด้วย ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 ดังนั้นแม้จำเลยจะได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงที่ต้องรับผิดแทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลแล้วพร้อมกับการยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าว และจำเลยได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาล ทั้งเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดเวลาให้จำเลยดำเนินการตามบทบัญญติดังกล่าว และจำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวโดยชอบแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตาม จึงเป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้ อันเป็นการทิ้งคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ที่ไม่รับอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา 246

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4527/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ต้องวางค่าฤชาธรรมเนียมและชำระเงินตามคำพิพากษา หรือหาประกัน หากไม่ปฏิบัติตามถือเป็นการทิ้งฟ้อง
ในการยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์นอกจากจำเลยจะต้องนำค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงมาวางศาลแล้วยังจะต้องนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลอีกด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา234ดังนั้นแม้จำเลยจะได้นำเงินค่าฤชาธรรมเนียมทั้งปวงที่ต้องรับผิดแทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลแล้วพร้อมกับการยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ก็ตามแต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวและจำเลยได้ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์โดยมิได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลทั้งเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดเวลาให้จำเลยดำเนินการตามบทบัญญัติดังกล่าวและจำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวโดยชอบแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามจึงเป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาตามที่ศาลเห็นสมควรกำหนดไว้อันเป็นการทิ้งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2)ประกอบมาตรา246

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องฎีกา, ข้อจำกัดทุนทรัพย์, และอำนาจฟ้อง: ผลกระทบต่อการพิจารณาคดี
ในฎีกาของโจทก์ ทนายโจทก์ลงชื่อจะมาทราบคำสั่งศาลในวันที่ 23 ธันวาคม 2537 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2537 ดังนี้ ถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้นำส่งสำเนาฎีกาแก่จำเลยที่ 2 ภายใน 15 วัน ตั้งแต่วันที่ 23ธันวาคม 2537 แล้ว เมื่อโจทก์ไม่นำส่งสำเนาฎีกาตามคำสั่งศาลชั้นต้น ถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาสำหรับจำเลยที่ 2 ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 192,500 บาท ให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ โจทก์มิได้อุทธรณ์เท่ากับโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ชำระให้โจทก์ ทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์คงมีจำนวน 192,500 บาท เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา ทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาจึงมีเพียง192,500 บาท ซึ่งไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคแรก และจะนำดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จอันเป็นค่าเสียหายในอนาคตมารวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาเพื่อให้เกินสองแสนบาทหาได้ไม่ อีกทั้งโจทก์จะฎีกาโดยถือตามทุนทรัพย์ที่ฟ้องในศาลชั้นต้นก็ไม่ได้เช่นกัน
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์มิใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกพ่วงคันพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้อง การที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกพ่วงคันพิพาท จึงมีอำนาจฟ้อง จึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นอ้าง เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับเนื่องจากทิ้งฟ้องจำเลยบางส่วน, ทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท, และเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ในฎีกาของโจทก์ทนายโจทก์ลงชื่อจะมาทราบคำสั่งศาลในวันที่23ธันวาคม2537ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้วศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์เมื่อวันที่20ธันวาคม2537ดังนี้ถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้นำส่งสำเนาฎีกาแก่จำเลยที่2ภายใน15วันตั้งแต่วันที่23ธันวาคม2537แล้วเมื่อโจทก์ไม่นำส่งสำเนาฎีกาตามคำสั่งศาลชั้นต้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องฎีกาสำหรับจำเลยที่2ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)ประกอบด้วยมาตรา246,247 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่1และที่2ร่วมกันชำระเงินจำนวน192,500บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จจำเลยที่1อุทธรณ์โจทก์มิได้อุทธรณ์เท่ากับโจทก์ไม่ติดใจเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มจากที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่1และที่2ชำระให้โจทก์ทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์คงมีจำนวน192,500บาทเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์โจทก์ฎีกาทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาจึงมีเพียง192,500บาทซึ่งไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรกและจะนำดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จอันเป็นค่าเสียหายในอนาคตมารวมคำนวณเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาเพื่อให้เกินสองแสนบาทหาได้ไม่อีกทั้งโจทก์จะฎีกาโดยถือตามทุนทรัพย์ที่ฟ้องในศาลชั้นต้นก็ไม่ได้เช่นกัน ศาลอุทธรณ์ฟังว่าโจทก์มิใช่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกพ่วงคันพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องการที่โจทก์ฎีกาอ้างว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองรถยนต์บรรทุกพ่วงคันพิพาทจึงมีอำนาจฟ้องจึงเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมายที่โจทก์ยกขึ้นอ้างเป็นฎีกาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคแรก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2539 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งระหว่างพิจารณาไม่ใช่คำพิพากษา/คำสั่งในประเด็นสำคัญ ไม่อุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ถือไม่ได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง ให้ยกคำร้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งต่อไปว่าจำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดให้ออกหมายจับ ให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความ จับจำเลยได้เมื่อใดให้โจทก์แถลงต่อศาลเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ก็เป็นเพียงคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวอันเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกัน ไม่ใช่กรณีศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญแล้ว ดังนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่นำส่งหมายเรียกตามคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นการทิ้งฟ้องจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 196

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ต้องห้าม: การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเรื่องการส่งหมายเรียกไม่ใช่เหตุแห่งการทิ้งฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา326,328ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า"คดีมีมูลให้ประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาหมายเรียกจำเลยแก้คดีและให้นัดสืบพยานโจทก์ในวันเดียวกันแจ้งวันนัดให้จำเลยทราบโดยให้โจทก์นำส่งภายใน3วันมิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง"แต่โจทก์มิได้นำส่งหมายเรียกจำเลยแก้คดีและหมายนัดสืบพยานโจทก์ตามคำสั่งจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ทิ้งฟ้องและขอให้ จำหน่ายคดีออกจากสารบบความการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า"ทนายจำเลยมาศาลในวันนัดไต่สวนมูลฟ้องและลงลายมือชื่อรับทราบในรายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลมีคำสั่งว่าคดีโจทก์มีมูลและนัดจำเลยแก้คดีและนัดสืบพยานโจทก์แล้วถือได้ว่าจำเลยทราบนัดโดยชอบแล้วจึงไม่อาจถือว่าโจทก์ ทิ้งฟ้อง ให้ยกคำร้อง"นั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวนเพราะคดีจะต้องพิจารณาต่อไปแม้ว่าศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งต่อไปว่า"จำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดให้ออกหมายจับให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความจับจำเลยได้เมื่อใดให้โจทก์แถลงต่อศาลเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่"ก็เป็นเพียงคำสั่งให้ จำหน่ายคดีชั่วคราวอันเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกันไม่ใช่เป็นกรณีศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญแล้วดังนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่นำส่งหมายเรียกตามคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นการทิ้งฟ้องจึงเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา196

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2553/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งระหว่างพิจารณาคดี ไม่ถือเป็นการพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญ ทำให้การอุทธรณ์เรื่องการทิ้งฟ้องเป็นอุทธรณ์ต้องห้าม
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าถือไม่ได้ว่าโจทก์ทิ้งฟ้องให้ยกคำร้องเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาแม้ศาลชั้นต้นจะสั่งต่อไปว่าจำเลยไม่มาศาลตามกำหนดนัดให้ออกหมายจับให้จำหน่ายคดีออกเสียจากสารบบความจับจำเลยได้เมื่อใดให้โจทก์แถลงต่อศาลเพื่อยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่ก็เป็นเพียงคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวอันเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเช่นกันไม่ใช่กรณีศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญแล้วดังนั้นที่จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่นำส่งหมายเรียกตามคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นการทิ้งฟ้องจึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา196

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1154/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทิ้งฟ้องอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลในการส่งสำเนาอุทธรณ์ แม้จะวางเงินค่าพาหนะแล้ว
ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในวันเดียวกันกับที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ให้โจทก์ทั้งหกนำส่งสำเนาอุทธรณ์ใน 7 วัน ส่งไม่ได้ให้แถลงใน 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งในวันนั้นแล้ว เมื่อไม่แถลงให้ศาลทราบว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้จึงถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2) ประกอบมาตรา246 แม้โจทก์จะได้วางเงินค่าพาหนะและค่าป่วยการในการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ล่วงหน้าก็ไม่ทำให้โจทก์หมดหน้าที่ที่จะต้องจัดการนำส่งสำเนาตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
of 31