พบผลลัพธ์ทั้งหมด 81 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 100/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณประโยชน์: การใช้ประโยชน์ร่วมกันโดยไม่ต้องมีเอกสารทางราชการ และการพิสูจน์สภาพที่ดิน
ที่ดินซึ่งประชาชนในหมู่บ้านใช้ร่วมกันสำหรับเลี้ยงสัตว์พาหนะโคกระบือและเป็นที่ป่าช้ามา 80 ปี เศษแล้ว เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 (2) คือ ทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน ไม่ใช่ที่ดินรกร้างว่างเปล่า
ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่เป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันนั้น เกิดขึ้นและเป็นอยู่ตามสภาพของที่ดิน และการใช้ร่วมกันของประชาชน โดยไม่ต้องมีประกาศพระราชกฤษฎีกาสงวนไว้หรือขึ้นทะเบียนหรือมีเอกสารของทางราชการกำหนดให้เป็นที่สาธารณประโยชน์เช่นนั้น ทั้งผู้ใดไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินได้
จำเลยเคยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาหาว่าแผ้วถางป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีประเด็นโดยตรงว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช่ร่วมกันหรือไม่ แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องในคดีอาญา ก็จะนำคำพิพากษานั้นมาใช้ยันในคดีแพ่งซึ่งนายอำเภอเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่สาธรณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหาได้ไม่
ที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทที่เป็นทรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันนั้น เกิดขึ้นและเป็นอยู่ตามสภาพของที่ดิน และการใช้ร่วมกันของประชาชน โดยไม่ต้องมีประกาศพระราชกฤษฎีกาสงวนไว้หรือขึ้นทะเบียนหรือมีเอกสารของทางราชการกำหนดให้เป็นที่สาธารณประโยชน์เช่นนั้น ทั้งผู้ใดไม่อาจยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินได้
จำเลยเคยถูกฟ้องเป็นคดีอาญาหาว่าแผ้วถางป่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่มีประเด็นโดยตรงว่าที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช่ร่วมกันหรือไม่ แม้ศาลจะพิพากษายกฟ้องในคดีอาญา ก็จะนำคำพิพากษานั้นมาใช้ยันในคดีแพ่งซึ่งนายอำเภอเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่สาธรณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกันหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1862-1863/2512
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ หากเข้าใจโดยสุจริต ย่อมไม่มีความผิดทางอาญา
จำเลยได้ครอบครองที่พิพาทถึง 30 ปี ได้เสียภาษีบำรุงท้องที่และได้รับ น.ส.3. ต่อมาทางราชการได้รังวัดปักหลักเขตทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณะ. จำเลยได้ฟ้องเจ้าพนักงานเป็นคดีแพ่ง. เมื่อทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน จำเลยยอมรับว่าที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ และฝ่ายเจ้าพนักงานยินยอมให้จำเลยครอบครองที่พิพาทไปก่อน. โดยจะดำเนินการให้ทางราชการถอนสภาพที่พิพาทนั้น เปิดโอกาสให้จำเลยจับจองครอบครองที่พิพาท. แม้จะยังมิได้มีพระราชกฤษฎีกาให้เพิกถอนที่ดินดังกล่าวก็ตาม.ก็เป็นพฤติการณ์ที่ทำให้จำเลยเข้าใจโดยสุจริตว่าจำเลยเข้าครอบครองโดยชอบ หาได้จงใจฝ่าฝืนกฎหมายไม่. จึงขาดเจตนาอันเป็นองค์ประกอบความผิดทางอาญา. จำเลยไม่มีความผิด.(อ้างฎีกาที่ 1462/2509).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ สัญญาซื้อขายที่จดทะเบียนไม่สมบูรณ์ และความเสี่ยงในการรับโอนสิทธิ
ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยครอบครองอยู่โจทก์จำเลยทำหนังสือสัญญากัน โดยจำเลยโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทให้โจทก์ และโจทก์ให้เงินแก่จำเลยเป็นการตอบแทน ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เมื่อไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์ย่อมไม่มีผลในกฎหมาย
แม้จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และส่วนหนึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ จำเลยก็มีสิทธิครอบครองที่อาจใช้ยันบุคคลอื่นได้นอกจากรัฐ เมื่อจำเลยส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ครอบครอง โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง การที่จำเลยโอนการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์และโจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นการตอบแทนโดยทั้งสองฝ่ายทำสัญญากันเอง เห็นได้ว่าโจทก์ยอมเสี่ยงภัยรับเอาซึ่งสิทธิครอบครองที่พิพาทในสภาพเท่าที่จำเลยมีสิทธิอยู่ จะอ้างว่าไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินและทางสาธารณประโยชน์ย่อมไม่ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลย เพราะจำเลยรับเงินไว้จากโจทก์เป็นค่าตอบแทนในการที่จำเลยโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทของจำเลยให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นกันไปแล้ว
แม้จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และส่วนหนึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ จำเลยก็มีสิทธิครอบครองที่อาจใช้ยันบุคคลอื่นได้นอกจากรัฐ เมื่อจำเลยส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ครอบครอง โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง การที่จำเลยโอนการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์และโจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นการตอบแทนโดยทั้งสองฝ่ายทำสัญญากันเอง เห็นได้ว่าโจทก์ยอมเสี่ยงภัยรับเอาซึ่งสิทธิครอบครองที่พิพาทในสภาพเท่าที่จำเลยมีสิทธิอยู่ จะอ้างว่าไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินและทางสาธารณประโยชน์ย่อมไม่ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลย เพราะจำเลยรับเงินไว้จากโจทก์เป็นค่าตอบแทนในการที่จำเลยโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทของจำเลยให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นกันไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ แม้สัญญามีโมฆะ แต่การส่งมอบการครอบครองมีผลผูกพัน
ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยครอบครองอยู่โจทก์จำเลยทำหนังสือสัญญากัน โดยจำเลยโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทให้โจทก์ และโจทก์ให้เงินแก่จำเลยเป็นการตอบแทนดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เมื่อไม่จดทะเบียน ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงเป็นโมฆะ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์ย่อมไม่มีผลในกฎหมาย
แม้จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และส่วนหนึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ จำเลยก็มีสิทธิครอบครองที่อาจใช้ยันบุคคลอื่นได้นอกจากรัฐ เมื่อจำเลยส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ครอบครอง โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง การที่จำเลยโอนการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์และโจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นการตอบแทนโดยทั้งสองฝ่ายทำสัญญากันเอง เห็นได้ว่าโจทก์ยอมเสี่ยงภัยรับเอาซึ่งสิทธิครอบครองที่พิพาทในสภาพเท่าที่จำเลยมีสิทธิอยู่ จะอ้างว่าไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินและทางสาธารณประโยชน์ย่อมไม่ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลย เพราะจำเลยรับเงินไว้จากโจทก์เป็นค่าตอบแทนในการที่จำเลยโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทของจำเลยให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นกันไปแล้ว
แม้จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และส่วนหนึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์ จำเลยก็มีสิทธิครอบครองที่อาจใช้ยันบุคคลอื่นได้นอกจากรัฐ เมื่อจำเลยส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ครอบครอง โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง การที่จำเลยโอนการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์และโจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นการตอบแทนโดยทั้งสองฝ่ายทำสัญญากันเอง เห็นได้ว่าโจทก์ยอมเสี่ยงภัยรับเอาซึ่งสิทธิครอบครองที่พิพาทในสภาพเท่าที่จำเลยมีสิทธิอยู่ จะอ้างว่าไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินและทางสาธารณประโยชน์ย่อมไม่ได้โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลย เพราะจำเลยรับเงินไว้จากโจทก์เป็นค่าตอบแทนในการที่จำเลยโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทของจำเลยให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นกันไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนสิทธิครอบครองที่ดินสาธารณประโยชน์ แม้สัญญาสัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ แต่การส่งมอบการครอบครองมีผลผูกพัน
ที่พิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยครอบครองอยู่.โจทก์จำเลยทำหนังสือสัญญากัน. โดยจำเลยโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทให้โจทก์. และโจทก์ให้เงินแก่จำเลยเป็นการตอบแทน.ดังนี้ สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยมีลักษณะเป็นสัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์. เมื่อไม่จดทะเบียน.ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่.จึงเป็นโมฆะ การบอกเลิกสัญญาของโจทก์ย่อมไม่มีผลในกฎหมาย.
แม้จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และส่วนหนึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์. จำเลยก็มีสิทธิครอบครองที่อาจใช้ยันบุคคลอื่นได้นอกจากรัฐ. เมื่อจำเลยส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ครอบครอง. โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง. การที่จำเลยโอนการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์และโจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นการตอบแทนโดยทั้งสองฝ่ายทำสัญญากันเอง. เห็นได้ว่าโจทก์ยอมเสี่ยงภัยรับเอาซึ่งสิทธิครอบครองที่พิพาทในสภาพเท่าที่จำเลยมีสิทธิอยู่. จะอ้างว่าไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินและทางสาธารณประโยชน์ย่อมไม่ได้.โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลย. เพราะจำเลยรับเงินไว้จากโจทก์เป็นค่าตอบแทนในการที่จำเลยโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทของจำเลยให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นกันไปแล้ว.
แม้จะเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และส่วนหนึ่งเป็นทางสาธารณประโยชน์. จำเลยก็มีสิทธิครอบครองที่อาจใช้ยันบุคคลอื่นได้นอกจากรัฐ. เมื่อจำเลยส่งมอบที่พิพาทให้โจทก์ครอบครอง. โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง. การที่จำเลยโอนการครอบครองที่พิพาทให้โจทก์และโจทก์ชำระเงินให้จำเลยเป็นการตอบแทนโดยทั้งสองฝ่ายทำสัญญากันเอง. เห็นได้ว่าโจทก์ยอมเสี่ยงภัยรับเอาซึ่งสิทธิครอบครองที่พิพาทในสภาพเท่าที่จำเลยมีสิทธิอยู่. จะอ้างว่าไม่ทราบว่าที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินและทางสาธารณประโยชน์ย่อมไม่ได้.โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินคืนจากจำเลย. เพราะจำเลยรับเงินไว้จากโจทก์เป็นค่าตอบแทนในการที่จำเลยโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทของจำเลยให้แก่โจทก์เสร็จสิ้นกันไปแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405-410/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงประโยชน์ที่ดินสาธารณประโยชน์: อำนาจรัฐบาลในการกำหนดเขตหวงห้ามใหม่ ย่อมลบล้างการหวงห้ามเดิม
เดิมอำเภอได้ประกาศหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้สำหรับราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกัน ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่รกร้างว่างเปล่าบริเวณเดียวกันนั้นเพื่อประโยชน์ราชการทหาร ที่รกร้างว่างเปล่าน้นก็ยังคงเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่ในสภาพเดิม เป็นแต่เปลี่ยนประโยชน์ที่ใช้เสียใหม่จากการใช้สำหรับราษฎรเลี้ยงสัตว์มาเป็นใช้ประโยชน์ในราชการทหาร การหวงห้ามเดิมย่อมหมดสภาพไป ทั้งตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามนั้นก็กำหนดให้เจ้ากรมแผนที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการหวงห้ามที่ดินตามพระราชกฤษฎีกานั้นด้วย ดังนี้อำเภอย่อมไม่มีหน้าที่ดูแลตรวจตราที่ดินนั้นต่อไป นายอำเภอจึงไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินในเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกานั้น เมื่อจำเลยฝ่าฝืนหามีความผิดฐานขัดคำสั่งนายอำเภอไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 405-410/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงประโยชน์ที่ดินสาธารณประโยชน์: อำนาจรัฐในการหวงห้ามที่ดินใหม่ย่อมลบล้างการหวงห้ามเดิม
เดิมอำเภอได้ประกาศหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าไว้สำหรับราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกัน ต่อมาได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่รกร้างว่างเปล่าบริเวณเดียวกันนั้นเพื่อประโยชน์ราชการทหาร ที่รกร้างว่างเปล่านั้นก็ยังคงเป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่าอยู่ในสภาพเดิมเป็นแต่เปลี่ยนประโยชน์ที่ใช้เสียใหม่จากการใช้สำหรับราษฎรเลี้ยงสัตว์มาเป็นใช้ประโยชน์ในราชการทหารการหวงห้ามเดิมย่อมหมดสภาพไปทั้งตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามนั้นก็กำหนดให้เจ้ากรมแผนที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจในการหวงห้ามที่ดินตามพระราชกฤษฎีกานั้นด้วยดังนี้ อำเภอย่อมไม่มีหน้าที่ดูแลตรวจตราที่ดินนั้นต่อไปนายอำเภอจึงไม่มีอำนาจสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินในเขตหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกานั้นเมื่อจำเลยฝ่าฝืนหามีความผิดฐานขัดคำสั่งของนายอำเภอไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1775-1776/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณประโยชน์ชลประทาน: การกันเขตที่ดินเพื่อประโยชน์สาธารณะและการครอบครองก่อนหน้า
กรมชลประทานเป็นกรมในรัฐบาล ขึ้นกับกระทรวงเกษตราธิการและเป็นนิติบุคคล เป็นเจ้าหน้าที่โดยตรงในการทดน้ำไขน้ำ เมื่อมีผู้ละเมิด กรมชลประทานย่อมมีอำนาจฟ้องขับไล่ได้ 2. คำฟ้องที่กล่าวถึงเขตที่ดินที่กันไว้เพื่อการชลประทานโดยอาศัยอำนาจตามประกาศกระแสพระบรมราชโองการฯ และประกาศของผู้ว่าราชการจังหวัดหวงห้ามที่ดินชายทะเลโดยมีแผนที่ประกอบไว้ท้ายฟ้องด้วย นับว่าเป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม 3. ที่พิพาทซึ่งอยู่ในเขตที่ดินของชลประทานจึงเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินซึ่งสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ห้ามมิให้ยกอายุความขึ้นต่อสู้กับแผ่นดินในเรื่องทรัพย์สินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามมาตรา 1306 4. ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ให้หวงห้ามโดยวิธีการออกพระราชกฤษฎีกาและประกาศในราชกิจจานุเบกษา แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีกฎหมายบังคับไว้อย่างไร ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรัฐย่อมออกประกาศหวงห้ามที่รกร้างว่างเปล่าไม่ให้ผู้ใดจับจองหรือเข้าถือเอาโดยพลการ ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายในที่ใดให้สิทธิราษฎรจับจองที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินเอาตามชอบใจ 5. ส.ค.1 ไม่เป็นเอกสารแสดงสิทธิอย่างใดตามกฎหมาย (ซ้ำฎีกาที่ 1218/2504)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1950/2500
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดคำสั่งเจ้าพนักงานกับการพิสูจน์สิทธิครอบครองที่ดิน: คดีอาญาไม่ควรใช้หากมีข้อพิพาทเรื่องสิทธิ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขัดคำสั่งผู้รักษาราชการแทนนายอำเภอที่สั่งให้จำเลยออกไปจากที่ดินที่ทางราชการสงวนไว้สำหรับสาธารณประโยชน์
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีความเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าที่ดินนั้นเป็นของจำเลยโดยการครอบครองมาช้านานเกินกว่า 40 ปี ซึ่งอำเภอจะสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินโดยพลการเช่นนี้ไม่ได้ จำเลยมีเหตุผลอันดีและมีข้อแก้ตัวอันสมควรที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นได้ ย่อมเอาผิดแก่จำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368
ตามรูปเรื่องเช่นว่านี้ สมควรที่จะดำเนินคดีว่ากล่าวถึงเรื่องสิทธิในที่ดินกันทางแพ่ง ยิ่งกว่าการฟ้องร้องทางอาญาฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีความเชื่อมั่นโดยสุจริตใจว่าที่ดินนั้นเป็นของจำเลยโดยการครอบครองมาช้านานเกินกว่า 40 ปี ซึ่งอำเภอจะสั่งให้จำเลยออกจากที่ดินโดยพลการเช่นนี้ไม่ได้ จำเลยมีเหตุผลอันดีและมีข้อแก้ตัวอันสมควรที่จะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นได้ ย่อมเอาผิดแก่จำเลยไม่ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368
ตามรูปเรื่องเช่นว่านี้ สมควรที่จะดำเนินคดีว่ากล่าวถึงเรื่องสิทธิในที่ดินกันทางแพ่ง ยิ่งกว่าการฟ้องร้องทางอาญาฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1259/2496
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินสาธารณประโยชน์เพื่อประโยชน์ส่วนตัว นายอำเภอมีอำนาจสั่งให้รื้อถอน
ที่ดินที่เป็นทำเลเลี้ยงสัตว์สาธารณประโยชน์สำหรับราษฎรใช้เลี้ยงสัตว์ร่วมกันนั้น เป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304(2) และเป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอจะต้องคอยตรวจตรารักษามิให้ผู้ใดเกียดกันเอาไปเป็นประโยชน์เฉพาะตัวตาม พระราชบัญญัติปกครองท้องที่ 2457 ฉะนั้นเมื่อปรากฏว่ามีบุคคลบุกรุกเข้ามาทำนาหรือครอบครองเป็นประโยชน์ส่วนตัวเสีย กรมการอำเภอย่อมมีอำนาจมีคำสั่งให้ผู้บุกรุกนั้นออกไปได้ ถ้าผู้นั้นฝ่าฝืนก็ย่อมมีความผิดฐานขัดคำสั่งตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 334