คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
บทลงโทษ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 233 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4548/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเป็นซ่องโจรและการปล้นทรัพย์: ตัวการร่วมและบทลงโทษกรรมเดียว
จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 กับพวกรวม 6 คน ร่วมกันวางแผนไปกระทำการปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายที่ 2 อันเป็นความผิดตามที่บัญญัติไว้ในภาค 2แห่ง ป.อ.จึงมีความผิดฐานเป็นซ่องโจร และเมื่อจำเลยที่ 4 กับพวกไปปล้นร้านทองของผู้เสียหายที่ 2 ตามแผนที่ร่วมกันวางไว้ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ผู้ร่วมวางแผนย่อมมีความผิดฐานเป็นตัวการปล้นร้านทองร่วมกับจำเลยที่ 4 กับพวกด้วย ตาม ป.อ.มาตรา 213 และความผิดฐานเป็นซ่องโจรกับความผิดฐานปล้นทรัพย์เกี่ยวเนื่องกันเพราะพวกจำเลยกระทำผิดฐานเป็นซ่องโจรเพื่อจะไปปล้นทรัพย์ของผู้เสียหายทั้งสองจึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานปล้นทรัพย์อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยทั้งสี่ฐานเป็นซ่องโจรด้วย จึงไม่ถูกต้องศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยทั้งสามจะไม่ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้และเป็นเหตุในลักษณะคดี จึงต้องวินิจฉัยให้มีผลถึงจำเลยที่ 4 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3549/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีน: การพิพากษาปรับบทลงโทษกรรมเดียว
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง,89, 106 วรรคหนึ่ง ลงโทษฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุกจำเลย 3 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องข้อหาฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองอันเป็นความผิดกรรมเดียวและเป็นความผิดต่อกฎหมายบทเดียวกันให้ลงโทษฐานขายเมทแอมเฟตามีน ตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89เป็นการแก้ไขเล็กน้อยและยังคงให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 5 ปี ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 218 วรรคแรก
ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ สิบตำรวจตรีหญิง ว.กับสายลับได้เข้าไปขอซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลย จำนวน 4 เม็ด โดยมีร้อยตำรวจเอก ก.กับพวกซุ่มรออยู่นอกโกดัง จำเลยได้ขับรถจักรยานยนต์ออกจากโกดังไปประมาณ15 นาที จึงกลับเข้ามาและมอบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 4 เม็ด ให้แก่สิบตำรวจตรีหญิง ว. แต่สิบตำรวจตรีหญิง ว.ขอรับไว้เพียง 2 เม็ด โดยอ้างว่าเอาเงินมาไม่พอและมอบธนบัตรจำนวน 160 บาท ที่เตรียมไว้ใช้ในการล่อซื้อให้แก่จำเลยต่อมาสิบตำรวจตรีหญิง ว.กับร้อยตำรวจเอก ก.และพวกได้เข้าจับกุมจำเลยและค้นพบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 2 เม็ด กับธนบัตรจำนวน 160 บาท ที่ใช้ในการล่อซื้อจากตัวจำเลย ดังนั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีน เนื่องจากจำเลยได้ขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่สิบตำรวจตรีหญิง ว.ไปก่อนจำนวน 2 เม็ด ส่วนเมทแอมเฟตามีนที่ตรวจยึดได้จากตัวจำเลยในขณะจับกุมอีกจำนวน 2 เม็ด ที่เหลือเป็นจำนวนเดียวกับที่จำเลยนำมาเพื่อจะส่งมอบให้แก่สิบตำรวจตรีหญิง ว.ซึ่งการส่งมอบก็เป็นความผิดฐานขายตามกฎหมายเช่นเดียวกันฉะนั้นเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากขายจึงเป็นเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขายในวันเวลาเดียวกันและต่อเนื่องกัน อันเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวและเป็นความผิดต่อกฎหมายบทเดียวกันคือ ความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนนั่นเอง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62วรรคหนึ่ง, 89, 106 วรรคหนึ่ง ลงโทษฐานขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด จำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี4 เดือน คืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีความผิดฐานขายเมทแอมเฟตามีนแต่เพียงบทเดียว เป็นการพิพากษาปรับบทลงโทษความผิดของจำเลยให้ถูกต้องเท่านั้น หาได้เป็นการพิพากษาเพิ่มโทษจำเลยแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3073/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขบทลงโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดสำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจ
จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดและเพื่อขาย การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ในบ้านเกิดเหตุพร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลางโดยที่ก่อนจำเลยทั้งสามจะถูกจับ จำเลยทั้งสามได้ถือถุงออกจากรถยนต์เก๋งคันสีแดงเข้าไปในบ้านเกิดเหตุ ซึ่งในการตรวจค้นและยึดเมทแอมเฟตามีนของกลาง พบเมทแอมเฟตามีนวางอยู่บนโต๊ะรวม 2 กอง โดยมีถุงวางอยู่ 1 ใบ เมื่อตรวจค้นลิ้นชักด้านขวาของโต๊ะ ก็พบถุงผ้า ในถุงผ้ามีเงินสดจำนวน 360,000 บาท และซองใส่เอกสารสีน้ำตาลซึ่งภายในมีเมทแอมเฟตามีนบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีเหลืองจำนวน27 ถุง เมื่อรวมกับบนโต๊ะแล้วมีทั้งหมด 28 ถุง จำนวน 5,600 เม็ด พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 มากับจำเลยที่ 1 และรู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟ-ตามีนจำนวนดังกล่าว และถูกจับพร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีนของกลางฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดและเพื่อขาย กับสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ความผิดตาม พ.ร.บ.ที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 89 กับมาตรา 62วรรคหนึ่ง และ 106 ทวิ มีระวางโทษเท่ากันคือจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 400,000 บาท แต่ความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 10กำหนดระวางโทษไว้สำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ดังนี้เมื่อความผิดตามมาตรา 8และ 10 ดังกล่าวประกอบ พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 89 บทหนึ่ง กับประกอบมาตรา 62 วรรคหนึ่งและ 106 ทวิ อีกบทหนึ่ง เป็นความผิดกรรมเดียวกัน จึงต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ซึ่งกฎหมาย 2 บทดังกล่าวมีโทษเท่ากัน จึงลงโทษตามกฎหมายบทใดบทหนึ่งก็ได้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 106 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534มาตรา 8 และ 10 ประกอบ พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 89 บทหนึ่ง กับประกอบมาตรา 62วรรคหนึ่ง และ 106 ทวิ อีกบทหนึ่ง เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ.มาตรา 90 ซึ่งกฎหมาย 2 บท ดังกล่าวมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดโดยมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 680/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แก้ไขบทลงโทษผิดพลาดจากศาลล่าง กรณีเมาแล้วขับและขัดขวางเจ้าพนักงาน แต่จำกัดการเพิ่มโทษ
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาปรับบทกฎหมายไม่ถูกต้องและลงโทษต่ำกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องแต่โจทก์มิได้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาจึงไม่อาจกำหนดโทษจำเลยให้สูงขึ้นอีกได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6509/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำอนาจารผู้เยาว์หลายกรรมต่างกัน ศาลฎีกาแก้ไขบทลงโทษเป็นความผิดหลายกระทง
ผู้เสียหายทั้งสองซึ่งเป็นหญิงออกจากงานเลี้ยงจะกลับบ้านให้จำเลยขับรถไปส่งบ้าน จำเลยตกลงรับไปส่งแต่จำเลยกลับขับรถพาผู้เสียหายทั้งสองไปกระทำอนาจารที่กระท่อมกลางทุ่งนา แม้จะพาไปในคราวเดียวกันแต่ก็เป็นการกระทำต่อผู้เสียหายแต่ละคนโดยเฉพาะโดยเจตนาจะให้เกิดผลต่างกรรมกัน การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แม้คู่ความมิได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้แต่การปรับบทลงโทษจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาพิพากษาแก้ไขให้ถูกต้องโดยลงโทษเท่าเดิมได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6207/2539 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีเยาวชน: จำหน่ายยาเสพติด-งดสืบพยาน-ความผิดฐานครอบครอง-บทลงโทษ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเกินประมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดและขายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 6(7 ทวิ) 13 ทวิ, 62, 89, 106, 106 ทวิ ซึ่งความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขาย และขายเมทแอมเฟตามีนมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท จึงเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำหนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท จึงเป็นกรณีที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยมีอายุ 17 ปีเศษ และถ้าศาลเห็นสมควรลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นลงหนึ่งในสามหรือกึ่งหนึ่งก็ได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 ก็ตาม ก็ยังคงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลยเมื่อปรากฏว่าจำเลยให้การรับสารภาพ และศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานแล้วให้เลื่อนไปนัดฟังคำพิพากษาและต่อมาได้อ่านคำพิพากษาให้โจทก์จำเลยฟัง โจทก์ก็มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์ คงเพียงแต่อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยในสถานหนักเท่านั้น ถือได้ว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยาน เช่นนี้ย่อมลงโทษจำเลยไม่ได้ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเมทแอมเฟตามีน และศาลอุทธรณ์ก็ยังคงพิพากษาลงโทษจำเลยจึงไม่ถูกต้องปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามมาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 แต่อย่างไรก็ดี สำหรับความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้องโจทก์นั้น ย่อมรวมถึงความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งเมทแอมเฟตามีนโดยมิได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท มาตรา 62 วรรคหนึ่ง และมาตรา 106 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาทและโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำความผิดของจำเลยและอ้างบทมาตราที่ขอให้ลงโทษมาในฟ้องแล้ว ความผิดฐานนี้เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลจะพิพากษาโดยไม่สืบพยานต่อไปก็ได้ ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5901/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้ดุลพินิจลงโทษคดีเกี่ยวกับยาเสพติด: ศาลลงโทษจำคุกอย่างเดียวได้
พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งซึ่งมีบทลงโทษตามมาตรา 67 ให้ระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาท การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยเพียงสถานเดียวโดยไม่ลงโทษปรับและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย จึงชอบด้วย ป.อ.มาตรา 17 มาตรา 20 และมาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 156/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาแก้ไขบทลงโทษให้ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีอาวุธปืนพกไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่าอาวุธปืนดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐานใบอนุญาตให้มีและใช้จากนายทะเบียนคดีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าอาวุธปืนนั้นเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นจำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา7,72วรรคสามมิใช่มาตรา7,72วรรคแรกและเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 156/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลฎีกาแก้ไขบทลงโทษให้ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้บังอาจมีอาวุธปืนพกกระสุนปืนและแม็กกาซีนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ตามกฎหมายโดยไม่ได้บรรยายฟ้องว่ามีอาวุธปืนไม่ปรากฏหลักฐานใบอนุญาตให้มีและใช้จากนายทะเบียนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตจำเลยให้การรับสารภาพคดีจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าอาวุธปืนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองและพาไปโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเป็นอาวุธปืนมีทะเบียนของผู้อื่นจำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติ อาวุธปืนฯพ.ศ.2490มาตรา7,72วรรคสามที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา7,72วรรคแรกและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนนั้นจึงไม่ชอบปัญหาข้อนี้แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกเมื่อไม่ได้ขอลงโทษตามกฎหมายเดิม
พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2535 มาตรา 30เป็นการแก้ไข พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 160 ซึ่งมีข้อความเกี่ยวกับ พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (1) (2) (5) หรือ(8) และมาตรา 78 เมื่อโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบกพ.ศ.2522 มาตรา 43 (1) (2) (5) หรือ (8) และมาตรา 78 มาด้วยจึงไม่ต้องปรับบทลงโทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2535มาตรา 30
of 24