พบผลลัพธ์ทั้งหมด 100 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการสิ้นสุดสิทธิครอบครอง กรณีบุกรุกที่ดิน ผู้เสียหายไม่ฟ้องแย่งคืนภายใน 1 ปี
คดีอาญาที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนถ้าข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมายังไม่พอแก่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย จำเลยเข้าไปปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทตามฤดูกาล ได้เวลาแล้วก็ถอนไป มีการเก็บเกี่ยวและเข้าไปในที่พิพาทใหม่ทุกปี การเข้าไปไถที่พิพาทของจำเลยเป็นการเข้าไปโดยไม่มีข้ออ้างได้ตามกฎหมายก็ตามแต่การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1 ปีผู้เสียหายก็หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายย่อมสิ้นสุดลง ดังนั้น การที่จำเลยเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาท จึงเป็นการเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในขณะที่สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายสิ้นสุดลงแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย จำเลยเข้าไปปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทตามฤดูกาล ได้เวลาแล้วก็ถอนไป มีการเก็บเกี่ยวและเข้าไปในที่พิพาทใหม่ทุกปี การเข้าไปไถที่พิพาทของจำเลยเป็นการเข้าไปโดยไม่มีข้ออ้างได้ตามกฎหมายก็ตามแต่การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน1 ปีผู้เสียหายก็หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายย่อมสิ้นสุดลง ดังนั้น การที่จำเลยเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาท จึงเป็นการเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในขณะที่สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายสิ้นสุดลงแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2467-2468/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำและข้อจำกัดการเรียกร้องค่าเสียหาย: การฟ้องร้องเกี่ยวกับการบุกรุกที่ดินในคราวเดียวกัน
ฟ้องโจทก์สำนวนหลังเป็นการฟ้องหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินแปลงเดียวกับสำนวนแรกและบุกรุกในวันเดียวกัน แต่สำนวนแรกโจทก์ไม่ได้บรรยายว่า จำเลยบุกรุกที่ดินส่วนไหน เนื้อที่เท่าไร และโจทก์ได้รับความเสียหายเพียงใด โจทก์เพิ่งมาบรรยายฟ้องในสำนวนหลังว่า จำเลยบุกรุกเป็นบางส่วน โจทก์จึงได้ฟ้องขับไล่จำเลยตามสำนวนแรก ภายหลังฟ้องแล้วจำเลยยังทำการบุกรุกเรื่อยมาจนกระทั่งหมดทั้งแปลง และขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายด้วย ดังนี้ ฟ้องโจทก์สำนวนหลังระบุถึงการบุกรุกของจำเลยในที่ดินแปลงเดียวกันในคราวเดียวกัน และเกี่ยวเนื่องกันกับสำนวนแรกความประสงค์ของโจทก์ที่ฟ้องสำนวนหลังก็เพื่อจะเรียกร้องเอาค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งโจทก์อาจเรียกร้องได้ตั้งแต่สำนวนแรก แต่โจทก์มิได้เรียกร้องไว้ โจทก์เพิ่งมาเรียกร้องในสำนวนหลัง ฟ้องโจทก์สำนวนหลัง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอบังคับห้ามบุกรุกที่ดิน: ศาลไม่เกินคำขอแม้เนื้อที่พิพาทเพิ่มขึ้นจากการทำแผนที่
โจทก์ฟ้องโดยประสงค์ขอให้ศาลบังคับมิให้จำเลยและบริวารเข้ามาทำนาหรือเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ส่วนที่ดินดังกล่าวมีเท่าไรนั้น แม้ตามคำขอท้ายฟ้องจะระบุว่า 45 ไร่ ก็เพียงแต่ประมาณเอา ครั้นเมื่อ มีการทำแผนที่พิพาท จำเลยชี้เขตเข้าไปในที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ 57 ไร่เศษ ก็ต้องถือว่าโจทก์จำเลยพิพาทกันในเนื้อที่ 57 ไร่เศษ และเป็นที่ดินที่โจทก์ขอให้ศาลบังคับจำเลย ทั้งปรากฏว่าโจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ที่คำนวณภายหลังจากที่ได้มีการทำแผนที่พิพาทแล้ว ดังนั้น การที่ศาลวินิจฉัยว่าที่พิพาทมีเนื้อที่ 57 ไร่เศษ จึงไม่เป็นการเกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 886/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินก่อนประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 96 ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยบุกรุกเข้าครอบครองที่พิพาทก่อนวันที่ 4 มีนาคม 2515 ซึ่งเป็นวันที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 96 ลงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2515 มีผลใช้บังคับ การกระทำของจำเลย จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 108 ทวิ เพราะการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 9 และมีโทษตามมาตรา 108 ทวิ นั้นจะต้องเป็นการฝ่าฝืนนับตั้งแต่วันที่ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับดังกล่าวใช้บังคับเป็นต้นไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 204/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดิน: สิทธิครอบครองตาม น.ส.3 และผลของการยอมรับข้อตกลง
ศาลชั้นต้นพิพากษาปรับ 500 บาท ในคดีบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงใหม่ เพราะศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงผิดต่อกฎหมาย แล้วพิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงแล้วพิพากษากลับให้ลงโทษตามศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้ตรงประเด็นข้อพิพาทเรื่องการบุกรุกที่ดิน โดยอ้างอิงแผนที่พิพาทที่คู่ความชี้ และศาลชั้นต้นวินิจฉัย
ชั้นแรกโจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เนื้อที่ประมาณ 70 ตารางวา ราคา 6,000 บาท ต่อมาโจทก์ข้อแก้ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินเพิ่มขึ้นรวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ราคา 22,0000 บาท ศาลอนุญาตให้แก้ฟ้องได้แล้ว ในการทำแผนที่พิพาท คู่ความนำชี้ว่าที่พิพาทคือที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ในการสืบพยานของคู่ความและวินิจฉัยของศาลชั้นต้นก็กล่าวว่าที่พิพาทคือที่ดินที่ปรากฏภายในเส้นสีแดงในแผนที่กลาง แต่ศาลชั้นต้นกลับพิพากษาให้ที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ดังนี้ เป็นการพิพากษาไม่ตรงประเด็นที่คู่ความพิพาทและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาแก้ไขเสียให้ถูกต้องไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิพากษาคดีบุกรุกที่ดินต้องตรงประเด็นที่คู่ความและศาลชั้นต้นวินิจฉัย หากไม่ตรง ศาลฎีกาแก้ไขได้
ชั้นแรกโจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง เนื้อที่ประมาณ 70 ตารางวา ราคา6,000 บาท ต่อมาโจทก์ขอแก้ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกที่ดินเพิ่มขึ้นรวมเป็นเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ราคา 22,000 บาท ศาลอนุญาตให้แก้ฟ้องได้แล้ว ในการทำแผนที่พิพาท คู่ความนำชี้ว่าที่พิพาทคือที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่พิพาทซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ ในการสืบพยานของคู่ความและวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ก็กล่าวว่าที่พิพาทคือที่ดินที่ปรากฏภายในเส้นสีแดงในแผนที่กลาง แต่ศาลชั้นต้นกลับพิพากษาให้ที่พิพาทภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ดังนี้ เป็นการพิพากษาไม่ตรงประเด็นที่คู่ความพิพาทและศาลอุทธรณ์ก็พิพากษายืนอันเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งแต่ศาลฎีกาเห็นสมควรพิพากษาแก้ไขเสียให้ถูกต้องไปทีเดียวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินของรัฐโดยมีเจตนาทุจริต และการกระทำความผิดต่อเนื่อง
จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของรัฐซึ่งอยู่ในความดูแลของสุขาภิบาล สุขาภิบาลแจ้งให้จำเลยรื้อถอนออกไป จำเลยทราบแล้วไม่ยอมรื้อและไม่ยอมออกไป จำเลยมีเจตนาทุจริตที่จะบุกรุกที่ดินของรัฐ เป็นความผิดตั้งแต่นั้นต่อเนื่องกันตลอดไปตราบเท่าที่จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินรวมทั้งเวลากลางคืนตามมาตรา 365 (3) ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1936/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินของรัฐโดยเจตนาทุจริตและต่อเนื่อง การแจ้งให้รื้อถอนแต่ไม่ยอมรื้อถือเป็นความผิด
จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ดินของรัฐซึ่งอยู่ในความดูแลของสุขาภิบาล สุขาภิบาลแจ้งให้จำเลยรื้อถอนออกไป จำเลยทราบแล้วไม่ยอมรื้อและไม่ยอมออกไป จำเลยมีเจตนาทุจริตที่จะบุกรุกที่ดินของรัฐ เป็นความผิดตั้งแต่นั้นต่อเนื่องกันตลอดไปตราบเท่าที่จำเลยยังคงอยู่ในที่ดินรวมทั้งเวลากลางคืนตามมาตรา 365(3) ด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 530/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดิน: ศาลฎีกายกฟ้องนอกประเด็น แล้วพิพากษาตามข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกตัดฟันต้นไม้และล้อมรั้วในที่ดินโฉนดของโจทก์ ขอให้ห้ามและรื้อรั้ว จำเลยให้การว่าว่าจำเลยทำในที่ดินโฉนดของจำเลย ซึ่งได้กรรมสิทธิ์ด้วยการซื้อโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยสุจริตโจทก์ไม่เคยครอบครองที่พิพาท มิได้ต่อสู้ว่าโฉนดที่ดินของโจทก์ออกทับโฉนดที่ดินของจำเลย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทไว้เพียงว่าจำเลยได้ล้อมรั้วบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์จริงหรือไม่ส่วนปัญหาเรื่องออกโฉนดทับกันหรือไม่นั้น จำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์และพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในการออกโฉนดเป็นอีกคดีหนึ่ง และศาลชั้นต้นไม่อนุญาตตามคำร้องของโจทก์ที่ให้รอคดีนี้ไว้ฟังผลคดีดังกล่าวดังนี้ การที่ศาลล่างกลับวินิจฉัยว่าโฉนดที่ดินทั้งแปลงของโจทก์ออกทับส่วนหนึ่งของที่ดินของจำเลย แล้วพิพากษายกฟ้อง จึงเป็นการวินิจฉัยและพิพากษาคดีนอกเหนือประเด็นพิพาท ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาพิพากษาคดีชอบที่ศาลฎีกาจะยกเสีย แต่เมื่อคู่ความได้นำสืบตามประเด็นแห่งคดีไว้แล้วศาลฎีกาย่อมวินิจฉัยพิพากษาคดีไปได้ ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีชื่อถือกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาทตลอดมา จำเลยบุกรุกเข้าไปล้อมรั้วในที่พิพาท ศาลฎีกาก็ย่อมพิพาทให้จำเลยรื้อรั้วออกจากที่ดินพิพาทและห้ามเกี่ยวข้อง