พบผลลัพธ์ทั้งหมด 702 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2667/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อยกเว้นความรับผิดกรมธรรม์ประกันภัย: การเคลือบสีไม่ใช่การซ่อม และอู่ตามพจนานุกรม
โจทก์ที่ 1 เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันที่ ช. ขับไปชนรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 ไว้กับจำเลย โจทก์ทั้งสองจึงร่วมกันฟ้องจำเลยให้รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ทั้งสองตามกรมธรรม์ประกันภัยเนื่องจากรถยนต์คันที่โจทก์ที่ 1 เอาประกันภัยไว้และรถยนต์ของโจทก์ที่ 2 เสียหาย โจทก์ทั้งสองจึงมีผลประโยชน์ร่วมกันในมูลความแห่งคดี กระบวนพิจารณาซึ่งทำโดยโจทก์ที่ 1ถือว่าได้ทำโดยโจทก์ที่ 2 ด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 59(1)
คำว่า "อู่" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า "ที่ที่ต่อหรือซ่อมรถหรือเรือ"เมื่อโจทก์ที่ 1 นำรถยนต์กระบะของตนไปทำการเคลือบสีและพ่นกันสนิมเท่านั้น จึงมิใช่เป็นการนำไปให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดค.ทำการซ่อมแล้วให้ช. ซึ่งเป็นบุคคลของห้างดังกล่าวใช้อันจะเป็นเหตุต้องด้วยข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ระบุว่า ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการใช้โดยบุคคลของอู่เมื่อรถยนต์ได้มอบให้อู่ซ่อม
คำว่า "อู่" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายว่า "ที่ที่ต่อหรือซ่อมรถหรือเรือ"เมื่อโจทก์ที่ 1 นำรถยนต์กระบะของตนไปทำการเคลือบสีและพ่นกันสนิมเท่านั้น จึงมิใช่เป็นการนำไปให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดค.ทำการซ่อมแล้วให้ช. ซึ่งเป็นบุคคลของห้างดังกล่าวใช้อันจะเป็นเหตุต้องด้วยข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ระบุว่า ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการใช้โดยบุคคลของอู่เมื่อรถยนต์ได้มอบให้อู่ซ่อม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1822/2544 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีอุบัติเหตุทางรถยนต์: ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลกับผู้ขับขี่
โจทก์เป็นผู้เอาประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ไว้กับจำเลย ตามกรมธรรม์ประกันภัยโจทก์ได้เอาประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลต่อการเสียชีวิตของบุคคลผู้ขับรถยนต์คันที่เอาประกันภัยโดยมิได้ระบุตัวผู้รับประโยชน์ไว้ แม้จะเป็นการประกันชีวิตแบบหนึ่ง แต่ก็มิใช่กรณีที่ผู้ตายเอาประกันชีวิตตนเองไว้ จึงแสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่าประสงค์ที่จะให้ค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ตกได้แก่โจทก์ผู้เอาประกันภัยโดยตรง หาใช่เป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้ตายไม่ โจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อการเสียชีวิตของผู้ตายซึ่งเป็นผู้ขับรถยนต์ของโจทก์ในขณะเกิดเหตุจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1822/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าสินไหมทดแทนประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล: สิทธิของผู้เอาประกันภัยโดยตรง
ตามกรมธรรม์ประกันภัยโจทก์ได้เอาประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลต่อการเสียชีวิตของบุคคลผู้ขับรถยนต์คันที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลย โดยมิได้ระบุตัวผู้รับประโยชน์ไว้ แม้จะเป็นการประกันชีวิตแบบหนึ่ง แต่ก็มิใช่กรณีที่ผู้ตายเอาประกันชีวิตตนเองจึงแสดงให้เห็นเจตนาของคู่สัญญาว่าประสงค์ที่จะให้ค่าสินไหมทดแทนส่วนนี้ตกได้แก่โจทก์ผู้เอาประกันภัยโดยตรง มิใช่เป็นสินทรัพย์ส่วนหนึ่งแห่งกองมรดกของผู้ตาย ดังนั้นโจทก์ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อการเสียชีวิตของผู้ขับรถยนต์ของโจทก์ในขณะเกิดเหตุจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8976/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดจากรถบรรทุก, ประมาทเลินเล่อ, กรมธรรม์ประกันภัย, ความรับผิดร่วมกัน, เหตุยกเว้น
จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์บรรทุกสิบล้อซึ่งบรรทุกทรายเต็มคันรถในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2ถอยหลังไปตามถนนคอนกรีตกว้างประมาณ 4 เมตร ล้อหลังขวาปีนขอบถนนซึ่งเป็นคอนกรีตสูงจากพื้นถนนประมาณ 15 เซนติเมตร ขึ้นบนบริเวณประตูทางเข้าลานไกที่มีฝาตะแกรงเหล็กปิดอยู่ ทำให้ฝาตะแกรงเหล็กยุบลงไปโดนสายเคเบิล ซึ่งอยู่ด้านล่างแตกฉีกขาด ไฟฟ้าลัดวงจรและเกิดไฟลุกไหม้สายเคเบิล แสดงว่าการถอยรถยนต์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 มิได้ใช้ความระมัดระวังควบคุมให้รถยนต์แล่นอยู่บนพื้นผิวถนน จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อและละเมิดแก่โจทก์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้าง จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์
จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปบนถนน ทางเดิน หรือทางวิ่งสำหรับรถยนต์ แต่ขับโดยล้อหลังด้านขวาปีนข้ามขอบถนนเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งไม่ใช่พื้นที่ของถนน เมื่อน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ทำให้ฝาตะแกรงเหล็กปิดรางสายเคเบิลในบริเวณลานไกยุบลงไปทับสายเคเบิลอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จึงไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.12.2 ที่ระบุว่า จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเนื่องจากความเสียหายที่เกิดใต้ถนน ทางเดิน ทางวิ่ง หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อยู่ใต้สิ่งดังกล่าว อันเกิดจากการสั่นสะเทือนหรือจากน้ำหนักรถยนต์หรือน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์
ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า พนักงานของโจทก์ปล่อยปละละเลยให้เครื่องปรับกำลังดันกระแสไฟฟ้าหมุนโดยขาดน้ำมันหล่อลื่นถึง 2 วัน จนทำให้ลูกปืน (แบริ่ง) หลอมละลายจนใช้การไม่ได้ ถือว่าความเสียหายเกิดจากการกระทำของโจทก์ ความข้อนี้จำเลยทั้งสามเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาโดยมิได้ถามค้านพยานโจทก์และนำสืบต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 มิได้ขับรถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุไปบนถนน ทางเดิน หรือทางวิ่งสำหรับรถยนต์ แต่ขับโดยล้อหลังด้านขวาปีนข้ามขอบถนนเข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งไม่ใช่พื้นที่ของถนน เมื่อน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ทำให้ฝาตะแกรงเหล็กปิดรางสายเคเบิลในบริเวณลานไกยุบลงไปทับสายเคเบิลอันเป็นทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จึงไม่เข้าข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อ 2.12.2 ที่ระบุว่า จำเลยที่ 3 ผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์บรรทุกสิบล้อของจำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเนื่องจากความเสียหายที่เกิดใต้ถนน ทางเดิน ทางวิ่ง หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่อยู่ใต้สิ่งดังกล่าว อันเกิดจากการสั่นสะเทือนหรือจากน้ำหนักรถยนต์หรือน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์ จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อโจทก์
ที่จำเลยทั้งสามฎีกาว่า พนักงานของโจทก์ปล่อยปละละเลยให้เครื่องปรับกำลังดันกระแสไฟฟ้าหมุนโดยขาดน้ำมันหล่อลื่นถึง 2 วัน จนทำให้ลูกปืน (แบริ่ง) หลอมละลายจนใช้การไม่ได้ ถือว่าความเสียหายเกิดจากการกระทำของโจทก์ ความข้อนี้จำเลยทั้งสามเพิ่งยกขึ้นกล่าวอ้างในชั้นฎีกาโดยมิได้ถามค้านพยานโจทก์และนำสืบต่อสู้คดีไว้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8906/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคิดค่าเสียหายจากประกันภัย: อัตราแลกเปลี่ยน ณ วันจ่ายเงินชดเชย
ป.พ.พ. มาตรา 196 การชำระหนี้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศเป็นเงินไทย ให้คิดตามอัตราแลกเปลี่ยน ณ สถานที่และในเวลาที่ใช้เงิน คดีนี้เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยได้จ่ายเงินให้ผู้เอาประกันภัย ณ วันใด ถือว่าความเสียหายที่แท้จริงของโจทก์เกิดขึ้น ณ วันนั้น จึงต้องคิดอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐซึ่งกำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยกับเงินไทย ณ วันที่โจทก์จ่ายไปจริง ไม่ใช่วันเกิดเหตุละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7388/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัย ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อความเสียหายโดยตรง จึงต้องคืนเงินให้บริษัทประกัน
กรมธรรม์คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถระบุว่า เมื่อบริษัทโจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว แต่บริษัทไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายหรือตามกรมธรรม์นี้ต่อผู้เอาประกันภัย เพราะกรณีดังกล่าวข้างต้นนั้นซึ่งผู้เอาประกันภัย ต้องรับผิดต่อผู้ประสบภัย ผู้เอาประกันภัยต้องใช้จำนวนเงินที่บริษัทได้จ่ายไปนั้นคืนให้บริษัทภายใน 7 วัน แสดงว่าโจทก์ จะเรียกให้ผู้เอาประกันภัยใช้เงินคืนแก่โจทก์ได้เฉพาะกรณีที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดต่อผู้ประสบภัย เมื่อ ส. เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์คันที่จำเลยได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์ไปเฉี่ยวชน จ. ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก หาใช่จำเลยซึ่งเป็น ผู้เอาประกันภัยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ไปเฉี่ยวชน จ. และต้องรับผิดต่อ จ. ไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกให้จำเลย ใช้จำนวนเงินที่โจทก์ได้จ่ายไปคืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดจากความประมาทและการจำกัดความคุ้มครองประกันภัย กรณีความเสียหายจากท่อส่งปูนกระทบสายไฟฟ้า
แม้โจทก์ละเลยมิได้ติดตั้งอุปกรณ์จำกัดการไหลของกระแสไฟฟ้าหรือใช้หม้อแปลงให้กระแสไฟฟ้ามีแรงดันไม่เกิน 220 โวลต์ ก่อนเข้าสู่ป้ายโฆษณาของโจทก์ ก็เป็นเรื่องที่โจทก์ยอมเสี่ยงภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นได้ในกรณีที่ไม่อาจเรียกร้องความรับผิดจากผู้ใดได้ เช่น ฟ้าผ่า หรือสายไฟฟ้าแรงสูงขาดตกลงมาพาดทับป้ายโฆษณาของโจทก์โดยอุบัติเหตุ แต่ในกรณีนี้ความเสียหายจะไม่เกิดแก่โจทก์แม้ปราศจากอุปกรณ์ดังกล่าว ถ้าจำเลยมิได้กระทำด้วยความประมาทโดยการทำให้ท่อส่งปูนซิเมนต์สู่ที่สูงพาดถูกสายไฟฟ้าแรงสูงขาดตกลงมาถูกสายไฟฟ้าแรงต่ำเป็นเหตุให้สายไฟฟ้าแรงต่ำเพิ่มแรงดันมากขึ้นทำให้ป้ายโฆษณาของโจทก์เสียหายความประมาทของจำเลยจึงเป็นผลโดยตรงต่อความเสียหายของโจทก์
จำเลยร่วมเป็นผู้รับประกันภัยกับจำเลยซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย ปรากฏตามกรมธรรม์ประกันภัยว่า ผู้เอาประกันภัยจะใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายต่อบุคคลภายนอกเนื่องจากอุบัติเหตุการใช้รถยนต์ระหว่างระยะเวลาประกันภัยโดยระบุว่าไม่คุ้มครองตัวเครนและอุบัติเหตุจากตัวเครน ดังนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าจำเลยร่วมจำกัดความรับผิดในการประกันภัยเฉพาะความเสียหายอันเกิดจากการใช้รถยนต์เท่านั้น จำเลยร่วมรู้อยู่แล้วว่ารถยนต์ที่เอาประกันภัยจะนำไปติดตั้งเครนจึงระบุข้อจำกัดความรับผิดต่อความเสียหายอันเกิดจากตัวเครนไว้โดยชัดแจ้งเมื่อความเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นจากตัวเครนหาใช่รถยนต์ที่รับประกันภัยไว้จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิด
จำเลยร่วมเป็นผู้รับประกันภัยกับจำเลยซึ่งเป็นผู้เอาประกันภัย ปรากฏตามกรมธรรม์ประกันภัยว่า ผู้เอาประกันภัยจะใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายต่อบุคคลภายนอกเนื่องจากอุบัติเหตุการใช้รถยนต์ระหว่างระยะเวลาประกันภัยโดยระบุว่าไม่คุ้มครองตัวเครนและอุบัติเหตุจากตัวเครน ดังนี้ แสดงให้เห็นชัดเจนว่าจำเลยร่วมจำกัดความรับผิดในการประกันภัยเฉพาะความเสียหายอันเกิดจากการใช้รถยนต์เท่านั้น จำเลยร่วมรู้อยู่แล้วว่ารถยนต์ที่เอาประกันภัยจะนำไปติดตั้งเครนจึงระบุข้อจำกัดความรับผิดต่อความเสียหายอันเกิดจากตัวเครนไว้โดยชัดแจ้งเมื่อความเสียหายดังกล่าวเกิดขึ้นจากตัวเครนหาใช่รถยนต์ที่รับประกันภัยไว้จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6874/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันภัย: การแจ้งความเสียหายล่าช้าไม่ถือเป็นข้อสาระสำคัญ หากผู้รับประกันภัยไม่ถือเป็นเหตุปฏิเสธความรับผิด
แม้กรมธรรม์ประกันภัยจะกำหนดเงื่อนไขกรณีเกิดเหตุความรับผิดให้โจทก์ผู้เอาประกันภัยแจ้งคำบอกกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังผู้ขนส่งภายใน 3 วัน นับแต่วันรับมอบสินค้า แต่การที่โจทก์แจ้งเรื่องสินค้าสูญหายล่าช้าไปหลายเดือนก็เนื่องมาจากกระบวนการตรวจสอบว่าสินค้าได้สูญหายไปจริงหรือไม่ เมื่อตรวจสอบว่าสินค้าได้สูญหายไปจริงโจทก์ก็ได้แจ้งให้ผู้ขนส่งและจำเลยผู้รับประกันภัยทราบทันที ซึ่งจำเลยก็ไม่เคยปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างเหตุที่โจทก์ไม่ได้แจ้งความเสียหายให้ทราบภายในกำหนดแต่อย่างใด จำเลยคงปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินค้าสูญหายโดยอ้างเหตุเพียงว่าโจทก์ไม่มีหลักฐานว่าสินค้าสูญหาย กับจำเลยไม่สามารถรับช่วงสิทธิจากผู้ทำละเมิดได้เท่านั้น จากพฤติการณ์ดังกล่าว แสดงว่าจำเลยมิได้ถือเอาข้อกำหนดเงื่อนไขตามสัญญาประกันภัยดังกล่าวเป็นข้อสาระสำคัญให้โจทก์ปฏิบัติตาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 595/2543
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับช่วงสิทธิของบริษัทประกันภัยหลังชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากความประมาทเลินเล่อของจำเลย
วินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำโดยประมาทเลินเล่อของจำเลย เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนไปเป็นจำนวนเพียงใด โจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยและของผู้รับประโยชน์ซึ่งมีต่อจำเลยเพียงนั้นตาม ป.พ.พ. มาตรา 880 วรรคหนึ่ง แม้ว่าหลังจากนั้นจำเลยจะได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝ่ายผู้เสียหายไปแล้วก็ตาม ก็หาทำให้สิทธิในการรับช่วงสิทธิของโจทก์ซึ่งมีอยู่แล้วสิ้นไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5584/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
แจ้งเท็จเพื่อรับเงินประกันภัย: ความผิดอาญาฐานฉ้อโกง
จำเลยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จว่ารถยนต์หาย แล้วนำรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีไปแสดงต่อบริษัทประกันภัย เป็นการกระทำที่มีเจตนาเดียวคือมุ่งหมายเพื่อให้จะได้เงินจากบริษัทประกันภัยเป็นหลัก การกระทำต่าง ๆ ของจำเลยเป็นเพียงวิธีการเพื่อให้ได้รับเงินไปเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 173, 267, 268 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามมาตรา 173 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด