พบผลลัพธ์ทั้งหมด 67 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลไม่เป็นฟ้องซ้ำ หากประเด็นต่างจากคดีแบ่งสินบริคณห์เดิม
เติมศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้หนี้แก่โจทก์จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์ จะใช้หนี้ โจทก์จึงร้องขอให้แบ่งแยกสินบริคณห์ของจำเลยที่ 1 ออกเป็นสินส่วนตัว ของจำเลยที่ 1 คือ ที่ดิน 2 แปลง จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 1 ได้ร้องคัดค้านเข้ามาว่า จำเลยทั้งสองได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันแล้ว และว่า ที่ดิน 2 แปลงที่โจทก์ขอให้แบ่งแยกออกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 นั้น เป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ได้รับแบ่งในการหย่าขาดกับจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งแยกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองได้หย่าขาดกันจริงโดยสุจริต และได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์สินกันเด็ดขาดแล้ว ที่ดิน2 แปลงที่โจทก์ขอให้แบ่งแยกสินบริคณห์เป็นส่วนของจำเลยที่ 1 นั้น เป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 ได้รับแบ่งมากจากการหย่า เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ภายหลังการหย่าและตกลงแบ่งทรัพย์กันแล้ว จึงไม่มีสิทธิขอแยกสินบริคณห์ ให้ยกคำร้องคดีถึงที่สุดในศาลชั้นต้น โจทก์มาฟ้องคดีหลังขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลในที่ดิน สองแปลงที่จำเลยที่ 2 ได้รับแบ่งไปจากจำเลยที่ 1 อีกได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะประเด็นแห่งคดีต่างกัน
โดยในคดีแรก นี้มีประเด็นว่า จำเลยทั้งสองได้หย่าขาดจากสามีภริยาและแบ่งทรัพย์สินกันไปแล้ว จริงหรือไม่ ส่วนในคดีหลังมีประเด็นว่า จำเลยได้กระทำการฉ้อฉลโจทก์หรือไม่
โดยในคดีแรก นี้มีประเด็นว่า จำเลยทั้งสองได้หย่าขาดจากสามีภริยาและแบ่งทรัพย์สินกันไปแล้ว จริงหรือไม่ ส่วนในคดีหลังมีประเด็นว่า จำเลยได้กระทำการฉ้อฉลโจทก์หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเพิกถอนการฉ้อฉลไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ หากประเด็นต่างจากคดีขอแบ่งสินทรัพย์
เดิมศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ใช้หนี้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์จะใช้หนี้ โจทก์จึงร้องขอให้แบ่งแยกสินบริคณห์ของจำเลยที่ 1 ออกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 คือ ที่ดิน 2 แปลงจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 1 ได้ร้องคัดค้านเข้ามาว่า จำเลยทั้งสองได้หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากินแล้ว และว่าที่ดิน 2 แปลง ที่ โจทก์ขอให้แบ่งแยกออกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 นั้น เป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 2 ได้รับแบ่งในการหย่าขาดกับจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่มีสิทธิขอแบ่งแยกเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสองได้หย่าขาดกันจริงโดยสุจริต และได้ตกลงแบ่งปันทรัพย์สินกันเด็ดขาดแล้ว ที่ดิน 2 แปลงที่โจทก์ขอให้แบ่งแยกสินบริคณห์เป็นส่วนของจำเลยที่ 1 นั้น เป็นทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 ได้รับแบ่งมาจากการหย่า เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 แต่ผู้เดียว โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ภายหลังการหย่าและตกลงแบ่งทรัพย์กันแล้ว จึงไม่มีสิทธิขอแยกสินบริคณห์ ให้ยกคำร้องคดีถึงที่สุดในศาลชั้นต้น โจทก์มาฟ้องคดีหลังขอให้เพิกถอนการฉ้อฉลในที่ดินสองแปลงที่จำเลยที่ 2 ได้รับแบ่งไปจากจำเลยที่ 1 อีกได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะประเด็นแห่งคดีต่างกันโดยในคดีแรกนี้มีประเด็นว่าจำเลยทั้งสองได้หย่าขาดจากสามีภริยาและแบ่งทรัพย์สินกันไปแล้ว จริงหรือไม่ ส่วนในคดีหลังมีประเด็นว่าจำเลยได้กระทำการฉ้อฉลโจทก์หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 549/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: คดีอาญาใช้เช็คไม่มีเงิน กับ คดีแพ่งเรียกใช้เงินตามเช็ค ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
แม้จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ในศาลชั้นต้นเรื่องฟ้องซ้ำ
จำเลยก็ยกขึ้นมาคัดค้านในชั้นฎีกาได้
คดีก่อนโจทก์ฟ้องทางอาญาขอให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เช็คไม่มีเงินแต่คดีหลังโจทก์ฟ้องทางแพ่งขอให้จำเลยใช้เงินตามเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายแม้ว่าจะเป็นเช็คฉบับเดียวกันกับที่พิพาทกันในคดีอาญาก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำเพราะเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน
จำเลยก็ยกขึ้นมาคัดค้านในชั้นฎีกาได้
คดีก่อนโจทก์ฟ้องทางอาญาขอให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เช็คไม่มีเงินแต่คดีหลังโจทก์ฟ้องทางแพ่งขอให้จำเลยใช้เงินตามเช็คที่จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายแม้ว่าจะเป็นเช็คฉบับเดียวกันกับที่พิพาทกันในคดีอาญาก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำเพราะเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นต่างกัน แม้เคยถูกกล่าวอ้างเป็นบริวารในคดีก่อน ไม่ถือฟ้องซ้ำตามกฎหมาย
ขั้นบังคับคดีแพ่งคดีหนึ่งจำเลยเคยถูกศาลสั่งให้ขับไล่ให้ออกจากห้องเช่าโดยว่าเป็นบริวารนายงักย้งจำเลยในคดี แต่จำเลยได้ต่อสู้ว่าไม่ใช่ ซึ่งศาลได้ไต่สวนแล้วสั่งว่า จำเลยไม่ใช่บริวารของนายงักย้ง แต่จำเลยได้เข้าอยู่อาศัยโดยเช่าจากโจทก์และสามี ต่อมาโจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยอีกได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะมีประเด็นคนละประเด็น เพราะในคดีก่อนประเด็นมีเพียงว่าจำเลยเป็นบริวารนายงักย้นหรือไม่ ทั้งคดีเข้าข้อยกเว้นตาม ประมวล.วิ.แพ่ง มาตรา 148(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 271/2501
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นต่างกัน แม้เคยเป็นบริวาร ไม่ถือฟ้องซ้ำตามมาตรา 148(1) ว.พ.พ.
ชั้นบังคับคดีแพ่งคดีหนึ่งจำเลยเคยถูกศาลสั่งให้ขับไล่ให้ออกจากห้องเช่าโดยว่าเป็นบริวารนายงักย้งจำเลยในคดีแต่จำเลยได้ต่อสู้ว่าไม่ใช่ซึ่งศาลได้ไต่สวนแล้วสั่งว่าจำเลยไม่ใช่บริวารของนายงักย้งแต่จำเลยได้เข้าอยู่อาศัยโดยเช่าจากโจทก์และสามีต่อมาโจทก์มาฟ้องขับไล่จำเลยอีกได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำเพราะมีประเด็นคนละประเด็นเพราะในคดีก่อนประเด็นมีเพียงว่าจำเลยเป็นบริวารนายงักย้งหรือไม่ทั้งคดีเข้าข้อยกเว้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1351/2501 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำหรือไม่: ศาลมิได้วินิจฉัยกรรมสิทธิ์ในคดีก่อน แม้ประเด็นเกี่ยวกับที่ดินเดียวกัน
ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญเช่าไม่ชำระค่าเช่า ขอให้บังคับให้จำเลยชำระและขอให้ขับไล่จำเลย จำเลยในคดีก่อนกลับเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ ขอให้โจทก์คดีก่อนยอมรับไถ่ที่ดินที่ขายฝากไว้ดังนี้ แม้คดีก่อนจะถึงที่สุดไปแล้ว ก็ฟ้องคดีใหม่นี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะศาลมิได้วินิจฉัยประเด็นในคดีก่อนโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันกับประเด็นในคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ ป.วิ.แพ่ง ม.148: ประเด็นต่างกันระหว่างคดีเดิมและคดีใหม่ แม้เกี่ยวพันกับสัญญากู้ยืม
โจทก์ฟ้องว่าได้ส่งข้าวเปลือชำระแทนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ให้กู้ตามที่ได้ตกลงกับจำเลยแล้ว บัดนี้จำเลยกลับทำผิดสัญญาไม่คิดราคาข้าวเปลือกชำระเงินกู้รายนั้นให้ จึงขอให้ศาลหักราคาข้าวเปลือกชำระหนี้หรือคืนข้าวเปลือกให้โจทก์ ดังนี้ถือว่าประเด็นกับคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์อีกคดีหนึ่งหาว่าโจทก์ผิดสัญญากู้เงินไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งมีประเด็นว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยด้วยเงินตราแล้วหรือยังฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ จึงไม่ต้องห้ามตาม ป.วิ.แพ่ง ม.148.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1708/2499
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำหรือไม่: คดีชำระหนี้ด้วยข้าวเปลือกต่างจากคดีเดิมที่ฟ้องเรียกเงินตรา
โจทก์ผู้กู้ฟ้องว่าได้ส่งข้าวเปลือกชำระแทนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยให้แก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ให้กู้ตามที่ได้ตกลงกับจำเลยแล้ว บัดนี้จำเลยกลับทำผิดสัญญาไม่คิดราคาข้าวเปลือกชำระเงินกู้รายนั้นให้ จึงขอให้ศาลหักราคาข้าวเปลือกชำระหนี้หรือคืนข้าวเปลือกให้โจทก์ ดังนี้ถือว่าประเด็นมีว่าจำเลยได้ผิดสัญญาไม่คิดราคาข้าวเปลือกชำระหนี้ให้จริงหรือไม่ ซึ่งเป็นคนละประเด็นกับคดีที่จำเลยฟ้องโจทก์อีกคดีหนึ่งหาว่าโจทก์ผิดสัญญากู้เงินไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งมีประเด็นว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ให้จำเลยด้วยเงินตราแล้วหรือยัง ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ จึงไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 605/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มติคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าชอบด้วยกฎหมาย แม้ความเห็นอนุกรรมการฯจะต่างกัน การฟ้องขับไล่เป็นคนละประเด็น
มติของคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าที่ให้ความยินยอมแก่ผู้ให้เช่าเข้าอยู่อาศัยในเคหะที่เช่าเองนั้น แม้ในชั้นแรกคณะอนุกรรมการฯจะมีความเห็นว่าไม่ควรอนุญาตก็ดี แต่เมื่อคณะกรรมการผู้มีอำนาจสูงกว่าได้พิจารณาอนุญาตแล้ว มตินั้นหาตกเป็นโมฆะไม่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากเคหะที่เช่าโดยอ้างว่า ครบกำหนดสัญญาเช่าและบอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว แต่ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าจำเลยได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ โจทก์จึงขอต่อคณะกรรมการฯเข้าอยู่เองเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยอีกโดยอ้างมติอนุญาตของคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าฯ ดังนี้ ย่อมเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน หาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 หรือ 173(1)ไม่
ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแล้วข้าหลวงยุติธรรมก็ยังมีอำนาจอนุญาตให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสาม
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากเคหะที่เช่าโดยอ้างว่า ครบกำหนดสัญญาเช่าและบอกเลิกสัญญาเช่าแล้ว แต่ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าจำเลยได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ โจทก์จึงขอต่อคณะกรรมการฯเข้าอยู่เองเมื่อได้รับอนุญาตแล้วจึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยอีกโดยอ้างมติอนุญาตของคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าฯ ดังนี้ ย่อมเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน หาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 หรือ 173(1)ไม่
ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแล้วข้าหลวงยุติธรรมก็ยังมีอำนาจอนุญาตให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 320/2482
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำทางแพ่ง: ประเด็นต่างกันได้ แม้ใช้หลักฐานเดิม
กู้เงินกันแต่สัญญากู้ไม่สมบูรณ์+กู้ได้ไปให้ถ้อยคำต่ออำเภอว่าได้กู้เงินไปจริงอำเภอได้บันทึกถ้อยคำของ+กู้ไว้และให้ผู้กู้ลงนามไว้ดังนี้ บันทึกของอำเภอเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้ (หมายเหตุ:ข้อนี้ไม่มีประเด็นขึ้นมาโดยตรง)
เดิมโจทก์ฟ้องอ้างสัญญาจะซื้อขายขอให้บังคับจำเลยทำสัญญาซื้อขายหรือใช้เงิน+ที่ดินคืน ศาลยกฟ้อง โจทก์จึงกลับมาฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญากู้ยืม โดยอ้างเอกสารอันเป็นหลักฐานอย่างเดียวกับคดีเดิมดังนี้+เป็นการฟ้องซ้ำไม่เพราะคดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่างกัน
เดิมโจทก์ฟ้องอ้างสัญญาจะซื้อขายขอให้บังคับจำเลยทำสัญญาซื้อขายหรือใช้เงิน+ที่ดินคืน ศาลยกฟ้อง โจทก์จึงกลับมาฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญากู้ยืม โดยอ้างเอกสารอันเป็นหลักฐานอย่างเดียวกับคดีเดิมดังนี้+เป็นการฟ้องซ้ำไม่เพราะคดีมีประเด็นจะต้องวินิจฉัยต่างกัน