พบผลลัพธ์ทั้งหมด 132 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใส่ความต่อบุคคลที่สามและการใช้สิทธิเพื่อป้องกันตนเอง หากศาลอุทธรณ์รับฟังว่าไม่มีเจตนาสุจริต ฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้าม
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงมาว่า จำเลยแสดงข้อความในเอกสารหมาย จ.1 อันเป็นการใส่ความโจทก์ต่อ ธ.โดยมุ่งหวังให้โจทก์ต้องถูกบริษัท บ. ไล่ออกจากงาน จึงไม่เป็นการแสดงข้อความเอกสารหมาย จ.1 โดยสุจริตเพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม จำเลยฎีกาว่า ธ.เป็นผู้บังคับบัญชาโจทก์ เป็นกรรมการและได้รับมอบอำนาจจากบริษัทบ.ให้ฟ้องเรียกหนี้จากจำเลย โจทก์เป็นผู้รับมอบอำนาจช่วงจากธ. ได้ฟ้องคดีแพ่งกลั่นแกล้งยึดทรัพย์จำเลย จนจำเลยไม่อาจทำการค้าได้และยังแจ้งความดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็ค นำเจ้าพนักงานตำรวจไปจับจำเลยในที่สาธารณะเป็นเหตุให้จำเลยอับอายและเสียหาย จำเลยจึงมีสิทธิไปแจ้งความจริงที่จำเลยได้รับการกลั่นแกล้งจากโจทก์ต่อ ธ. และไปพบเกี่ยวกับหนี้สินที่จำเลยจะชำระให้แก่บริษัท บ. ทั้งนี้เพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม เป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ถือว่าจำเลยใช้สิทธิโดยสุจริต เป็นฎีกาโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์รับฟังมาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นการแสดงข้อความโดยสุจริตจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218ภ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2520/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวและการใช้สิทธิป้องกันตนเองเมื่อถูกทำร้ายต่อเนื่อง
จำเลยกับผู้ตายวิวาทชกต่อยกันล. มาห้ามจำเลยจึงหยุดวิวาทกับผู้ตายต่อมาประมาณ2นาทีผู้ตายวิ่งไปเอาไม้ไล่ตีจำเลยอีกจำเลยวิ่งหนีขึ้นไปบนกุฏิสามเณรผู้ตายวิ่งไล่ตามขึ้นไปทำร้ายจำเลยจำเลยแทงผู้ตายเพียงครั้งเดียวด้วยมีดปอกผลไม้ที่เหน็บอยู่ที่ฝาห้องจำเลยไม่มีโอกาสไตร่ตรองว่าจะถูกอวัยวะสำคัญหรือไม่การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2267/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิวาททำร้ายร่างกาย: การสมัครใจวิวาททำให้ไม่อ้างป้องกันตนเองได้ และข้อจำกัดในการฎีกาเรื่องข้อเท็จจริง
การที่จำเลยทั้งสองทำร้ายกันมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากจำเลยที่2มีเรื่องโต้เถียงกันกับย. ซึ่งเดินมากับจำเลยที่1ก่อนต่อมาจำเลยทั้งสองได้มาพบกันอีกและโต้เถียงกันก่อนที่จะลงมือทำร้ายกันตามพฤติการณ์ถือได้ว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาททำร้ายแม้ฝ่ายใดจะลงมือทำร้ายก่อนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะเมื่อสมัครใจวิวาทกันแล้วจะอ้างว่าตนทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อป้องกันสิทธิของตนไม่ได้ คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแม้ศาลฎีกาจะมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงได้เพราะผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้รับรองว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดแต่ข้อเท็จจริงที่คู่ความฎีกานั้นจะต้องเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้ยกปัญหาที่ฎีกาขึ้นว่ากล่าวในชั้นศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย จำเลยเพียงแต่ชกต่อยกอดปล้ำกันมิได้ใช้อาวุธทำร้ายและเหตุที่ทำร้ายกันก็เกิดจากการวิวาทโต้เถียงไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยรับโทษจำคุกมาก่อนพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีสิ่งแวดล้อมของจำเลยทั้งสองและสภาพความผิดแล้วศาลรอการลงโทษจำเลยไว้ตามป.อ.มาตรา56ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2267/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วิวาททำร้ายร่างกาย: การสมัครใจวิวาททำให้ไม่สามารถอ้างป้องกันตนเองได้ และข้อจำกัดในการฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงใหม่
การที่จำเลยทั้งสองทำร้ายกันมีสาเหตุสืบเนื่องมาจากจำเลยที่2มีเรื่องโต้เถียงกันกับย.ซึ่งเดินมากับจำเลยที่1ก่อนต่อมาจำเลยทั้งสองได้มาพบกันอีกและโต้เถียงกันก่อนที่จะลงมือทำร้ายกันตามพฤติการณ์ถือได้ว่าต่างฝ่ายต่างสมัครใจวิวาททำร้ายแม้ฝ่ายใดจะลงมือทำร้ายก่อนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญเพราะเมื่อสมัครใจวิวาทกันแล้วจะอ้างว่าตนทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อป้องกันสิทธิของตนไม่ได้. คดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงแม้ศาลฎีกาจะมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงได้เพราะผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้รับรองว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดแต่ข้อเท็จจริงที่คู่ความฎีกานั้นจะต้องเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้ยกปัญหาที่ฎีกาขึ้นว่ากล่าวในชั้นศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยฎีกาของจำเลย. จำเลยเพียงแต่ชกต่อยกอดปล้ำกันมิได้ใช้อาวุธทำร้ายและเหตุที่ทำร้ายกันก็เกิดจากการวิวาทโต้เถียงไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยรับโทษจำคุกมาก่อนพิเคราะห์ถึงพฤติกาณณ์แห่งคดีสิ่งแวดล้อมของจำเลยทั้งสองและสภาพความผิดแล้วศาลรอการลงโทษจำเลยไว้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา56ได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3952/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองจากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธ: การกระทำเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายที่ใกล้จะถึงและสมควร
ขณะนั่งดื่มสุราอยู่ด้วยกัน ผู้เสียหายมีอาการเมาสุราเข้าใจว่าจำเลยที่ 1 กีดกันไม่ยอมให้ปักเสาไฟฟ้าผ่านที่ดิน เมื่อจำเลยที่ 1 ไล่ให้กลับไปนอนผู้เสียหายกลับพูดว่า "ไอ้แก่อยากจะให้รู้มือสักที"แล้วทำท่าจะลุกขึ้นพร้อมกับชักมีดที่เหน็บไว้ที่เอวเผยออกมา จำเลยที่ 1 เข้าใจว่าผู้เสียหายจะทำร้าย จึงชกหน้าผู้เสียหายไป1 ที แล้วผลักล้มลงถูกผาลไถนาเป็นบาดแผลที่หางคิ้วขวาเป็นการกระทำเพื่อให้พ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและพอสมควรแก่เหตุ เข้าลักษณะเป็นการป้องกันจำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1590/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเผยแพร่ข่าวอันเป็นเท็จทำให้เสียชื่อเสียง แม้มีเจตนาป้องกันตนเอง ก็ยังถือเป็นการละเมิด
การกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริงอันเป็นการทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 423 นั้น ผู้กระทำจะต้องรู้หรือควรจะรู้ได้ว่าไม่จริง จำเลยที่ 3 ลงพิมพ์โฆษณาข้อความในหนังสือพิมพ์เพื่อให้นักข่าวของตนซึ่งถูกฆ่าตายได้รับความเป็นธรรม ถึงหากข่าวนั้นจะไม่เป็นความจริง โดยมีผู้แอบอ้างชื่อโจทก์นำสร้อยไปมอบให้ภริยารัฐมนตรีเพื่อวิ่งเต้นล้มคดีที่โจทก์ตกเป็นผู้ต้องหาจ้างวานฆ่านักข่าว แต่เมื่อมีเหตุที่จำเลยที่ 3 จะคาดคิดเช่นนั้นได้จำเลยที่ 3 ก็ไม่อาจจะรู้ได้ว่าไม่จริง การกระทำของจำเลยที่3 จึงไม่เป็นการทำละเมิด
การที่จำเลยที่ 3 ลงพิมพ์โฆษณาข้อความทำนองว่า โจทก์เป็นผู้กระทำความผิด นำความชั่วและเสื่อมเสียมาสู่จังหวัดตราดจนเมื่อโจทก์ถูกส่งตัวเข้าไปคุมขังในเรือนจำ จึงมีฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงเป็นการชำระล้างความชั่วให้หมดสิ้นไป โดยที่โจทก์มิได้เป็นผู้ใช้จ้างวานฆ่านักข่าวของหนังสือพิมพ์นั้น ย่อมเป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียหรือเกียรติคุณของโจทก์ แม้หนังสือพิมพ์จะลงพิมพ์โฆษณาข้อความตามที่ได้รับฟังมาจากบุคคลอื่น เมื่อข้อความนั้นฝ่าฝืนต่อความจริง การกล่าวหรือไขข่าวซ้ำก็เป็นการทำละเมิด ทั้งข้อความที่จำเลยที่ 3 นำลงพิมพ์โฆษณาหาใช่เป็นการป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมหรือติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำไม่แม้ โจทก์จะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ใช้จ้างวานฆ่านักข่าวของหนังสือพิมพ์และถูกส่งตัวเข้าไปคุมขังในเรือนจำ จำเลยที่ 3 ก็ไม่มีสิทธิที่จะนำเอาคำวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านมาลงพิมพ์โฆษณาว่าโจทก์เป็นผู้กระทำความผิดก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา การที่จำเลยที่ 3 ลงพิมพ์โฆษณาข้อความซึ่งควรจะรู้ได้ว่าไม่จริง จึงเป็นการทำละเมิด
การที่จำเลยที่ 3 ลงพิมพ์โฆษณาข้อความทำนองว่า โจทก์เป็นผู้กระทำความผิด นำความชั่วและเสื่อมเสียมาสู่จังหวัดตราดจนเมื่อโจทก์ถูกส่งตัวเข้าไปคุมขังในเรือนจำ จึงมีฝนตกกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงเป็นการชำระล้างความชั่วให้หมดสิ้นไป โดยที่โจทก์มิได้เป็นผู้ใช้จ้างวานฆ่านักข่าวของหนังสือพิมพ์นั้น ย่อมเป็นการไขข่าวแพร่หลายซึ่งข้อความอันฝ่าฝืนต่อความจริง เป็นที่เสียหายแก่ชื่อเสียหรือเกียรติคุณของโจทก์ แม้หนังสือพิมพ์จะลงพิมพ์โฆษณาข้อความตามที่ได้รับฟังมาจากบุคคลอื่น เมื่อข้อความนั้นฝ่าฝืนต่อความจริง การกล่าวหรือไขข่าวซ้ำก็เป็นการทำละเมิด ทั้งข้อความที่จำเลยที่ 3 นำลงพิมพ์โฆษณาหาใช่เป็นการป้องกันตนหรือส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรมหรือติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำไม่แม้ โจทก์จะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ใช้จ้างวานฆ่านักข่าวของหนังสือพิมพ์และถูกส่งตัวเข้าไปคุมขังในเรือนจำ จำเลยที่ 3 ก็ไม่มีสิทธิที่จะนำเอาคำวิพากษ์วิจารณ์ของชาวบ้านมาลงพิมพ์โฆษณาว่าโจทก์เป็นผู้กระทำความผิดก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา การที่จำเลยที่ 3 ลงพิมพ์โฆษณาข้อความซึ่งควรจะรู้ได้ว่าไม่จริง จึงเป็นการทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2925/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อถูกทำร้ายและถูกไล่ติดตามด้วยอาวุธปืน
ผู้ตายเป็นฝ่ายก่อเหตุชกต่อยและยิงจำเลยก่อน จำเลยวิ่งหนีก็ยังติดตามจะใช้อาวุธปืนยิงอีก การที่จำเลยหันกลับมายิงผู้ตายในขณะนั้นถือได้ว่าเป็นการป้องกันสิทธิของตนพอสมควรแก่เหตุ ซึ่งเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยไม่มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา288
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1067/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเอง: การใช้กำลังเพื่อตอบโต้การประทุษร้ายด้วยอาวุธปืนในสถานการณ์คับขัน
ตรงที่เกิดเหตุเป็นที่เปลี่ยวและมืด จำเลยถูกผู้ตายใช้ปืนยิง 1 นัด ในระยะกระชั้นชิดถูกที่ท้องจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิที่จะกระทำการเพื่อป้องกันตนเองได้ การที่จำเลยใช้มีดทำครัวแทงสวนผู้ตายไปเพียงครั้งเดียวผู้ตายถึงแก่ความตาย ก็แสดงว่ากระทำเพื่อยับยั้งมิให้ผู้ตายยิงจำเลยซ้ำอีก เป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุ จำเลยย่อมไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1067/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายในคดีทำร้ายร่างกายถึงแก่ความตาย
ตรงที่เกิดเหตุเป็นที่เปลี่ยวและมืด จำเลยถูกผู้ตายใช้ปืนยิง 1 นัดในระยะกระชั้นชิดถูกที่ท้องจำเลยจำเลยจึงมีสิทธิที่จะกระทำการเพื่อป้องกันตนเองได้ การที่จำเลยใช้มีดทำครัวแทงสวนผู้ตายไปเพียงครั้งเดียวผู้ตายถึงแก่ความตาย ก็แสดงว่ากระทำเพื่อยับยั้งมิให้ผู้ตายยิงจำเลยซ้ำอีก เป็นการกระทำที่พอสมควรแก่เหตุจำเลยย่อมไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2238/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกล่าวข้อเท็จจริงโดยสุจริตเพื่อป้องกันตนเอง ไม่เป็นความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท
จำเลยฟ้องผู้เสียหายกับพวกในข้อหาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ทำร้ายร่างกาย และทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ แล้วนำสำเนาคำฟ้องไปให้นักข่าวหนังสือพิมพ์ดูพร้อมกับเล่าให้ฟังว่า ผู้เสียหายมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยเป็นส่วนตัวแล้วแกล้งจับกุมและทำร้ายร่างกายจำเลย นักข่าวได้นำลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ ได้ความว่าในขณะจำเลยไปเล่าเรื่องให้นักข่าวฟังนั้น จำเลยให้ดูบาดแผลที่ถูกทำร้ายด้วย และศาลชั้นต้นได้พิพากษาลงโทษพวกของผู้เสียหายคนหนึ่งฐานทำร้ายร่างกายจำเลย (จำเลยถอนฟ้องผู้เสียหาย) ตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวทำให้เป็นที่สงสัยว่า ผู้เสียหายอาจมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยแล้วแกล้งจับกุมจำเลยดังที่จำเลยให้ข่าวในหนังสือพิมพ์ การกระทำของจำเลยเช่นนี้จึงเป็นการกล่าวข้อเท็จจริงโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียเกี่ยวกับตนตามคลองธรรม ไม่มีความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท