พบผลลัพธ์ทั้งหมด 110 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4113/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: การเรียกรับเงินเพื่อวิ่งเต้นต่อผู้พิพากษา แม้ทำนอกศาล แต่ใช้ผู้อื่นติดต่อศาลถือเป็นความผิด
ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 เรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาโดยอ้างว่าจะนำไปให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเพื่อช่วยเหลือผู้ที่จะถูกฟ้องเป็นจำเลยมิให้ถูกศาลพิพากษาจำคุก แม้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะได้เรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหานอกบริเวณศาล และตัวผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 จะมิได้เข้าไปในบริเวณศาลเลยก็ตาม แต่ผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ก็ได้ใช้ผู้ถูกกล่าวหาที่ 2 เข้าไปในบริเวณศาลเพื่อติดต่อกับผู้พิพากษาเพื่อประโยชน์ในการเรียกและรับเงินของผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ด้วย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของการเรียกและรับเงินจากผู้กล่าวหาอันเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย ถือได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาที่ 1 ได้ประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2325/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจอนุญาตฎีกาข้อเท็จจริงเฉพาะผู้พิพากษาคดี – ศาลชั้นต้นมิมีอำนาจ
คดีอาญาที่ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นป.วิ.อ.มาตรา221ให้อำนาจผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เมื่อเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดแต่อำนาจอนุญาตให้ฎีกาเป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษามิใช่อำนาจของศาลศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาคนหนึ่งซึ่งมิได้พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งจึงไม่มีอำนาจอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2325/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจอนุญาตฎีกาข้อเท็จจริง: ต้องเป็นผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีโดยตรงเท่านั้น
คดีอาญาที่ต้องห้ามมิให้คู่ความาฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอายามาตรา221ให้อำนาจผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์.อนุญาตให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้เมื่อเห็นว่าเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดแต่อำนาจอนุญาตให้ฎีกาเป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษามิใช่อำนาจของศาลศาลชั้นต้นโดยผู้พิพากษาคนหนึ่งซึ่งมิได้พิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งจึงไม่มีอำนาจอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 612/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลออกหมายจับและการใช้ดุลพินิจของผู้พิพากษาในคดีอาญา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169 ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจได้ตามควรว่า กรณีใดควรจะออกหมายเรียก กรณีใดควรจะออกหมายจับ
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค และเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่ง ซึ่งศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว การที่ผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจออกหมายจับโจทก์ตามคำแถลงของโจทก์ในคดีนั้น จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบตามอำนาจที่จะกระทำได้ ไม่มีทางที่จะฟังได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแต่อย่างใด กรณีไม่มีความจำเป็นจะต้องสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้เพื่อทำการไต่สวนมูลฟ้องก่อน
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 ที่ว่าจะควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้เท่าเวลาที่จะถามคำให้การ และรู้ตัวว่าเป็นใครและที่อยู่ของเขาว่าอยู่ที่ไหนนั้น เป็นบทบัญญัติในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหา ไม่ใช่บทบัญญัติที่ห้ามศาลมิให้ออกหมายจับเพื่อให้ได้ตัวจำเลยมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค และเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่ง ซึ่งศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว การที่ผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจออกหมายจับโจทก์ตามคำแถลงของโจทก์ในคดีนั้น จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบตามอำนาจที่จะกระทำได้ ไม่มีทางที่จะฟังได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแต่อย่างใด กรณีไม่มีความจำเป็นจะต้องสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้เพื่อทำการไต่สวนมูลฟ้องก่อน
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 196 ที่ว่าจะควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้เท่าเวลาที่จะถามคำให้การ และรู้ตัวว่าเป็นใครและที่อยู่ของเขาว่าอยู่ที่ไหนนั้น เป็นบทบัญญัติในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหา ไม่ใช่บทบัญญัติที่ห้ามศาลมิให้ออกหมายจับเพื่อให้ได้ตัวจำเลยมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 612/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลออกหมายจับ vs. การปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ: คดีฟ้องผู้พิพากษา
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169 ให้อำนาจศาลที่จะใช้ดุลพินิจได้ตามควรว่า กรณีใดควรจะออกหมายเรียกกรณีใดควรจะออกหมายจับ
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่ง ซึ่งศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว การที่ผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจออกหมายจับโจทก์ตามคำแถลงของโจทก์ในคดีนั้น จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบตามอำนาจที่จะกระทำได้ ไม่มีทางที่จะฟังได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแต่อย่างใด กรณีไม่มีความจำเป็นจะต้องสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้เพื่อทำการไต่สวนมูลฟ้องก่อน
ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 196 ที่ว่าจะควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้เท่าเวลาที่จะถามคำให้การ และรู้ตัวว่าเป็นใครและที่อยู่ของเขาว่าอยู่ที่ไหนนั้น เป็นบทบัญญัติในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหา ไม่ใช่บทบัญญัติที่ห้ามศาลมิให้ออกหมายจับเพื่อให้ได้ตัวจำเลยมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169
ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาในความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คและเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีอาญาอีกคดีหนึ่ง ซึ่งศาลได้ออกหมายจับไว้แล้ว การที่ผู้พิพากษาใช้ดุลพินิจออกหมายจับโจทก์ตามคำแถลงของโจทก์ในคดีนั้น จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบตามอำนาจที่จะกระทำได้ ไม่มีทางที่จะฟังได้ว่าเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ หรือเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบแต่อย่างใด กรณีไม่มีความจำเป็นจะต้องสั่งรับฟ้องของโจทก์ไว้เพื่อทำการไต่สวนมูลฟ้องก่อน
ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 196 ที่ว่าจะควบคุมตัวผู้ต้องหาไว้ได้เท่าเวลาที่จะถามคำให้การ และรู้ตัวว่าเป็นใครและที่อยู่ของเขาว่าอยู่ที่ไหนนั้น เป็นบทบัญญัติในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหา ไม่ใช่บทบัญญัติที่ห้ามศาลมิให้ออกหมายจับเพื่อให้ได้ตัวจำเลยมาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 169
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกรับเงินเพื่อจูงใจผู้พิพากษาถือเป็นกรรมเดียวกัน
จำเลยเรียกเงินจาก ป. กับพวก โดยอ้างว่าจะนำไปให้ผู้พิพากษาเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจผู้พิพากษาให้พิพากษายกฟ้องคดีอาญา ซึ่งญาติของ ป. กับพวกถูกฟ้องเป็นจำเลย ต่อมาเมื่อ ป. กับพวกรวบรวมเงินตามจำนวนที่จำเลยเรียกร้องครบแล้ว จึงได้มอบให้จำเลยรับไป ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเรียกและรับเงินซึ่งเป็นเจตนาอันเดียวกันมาตั้งแต่แรกและเป็นการกระทำต่อเนื่องในคราวเดียวกัน ถือได้ว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 334/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกรับเงินเพื่อจูงใจผู้พิพากษาให้พิพากษายกฟ้อง ถือเป็นกรรมเดียวกัน
จำเลยเรียกเงินจาก ป. กับพวก โดยอ้างว่าจะนำไปให้ผู้พิพากษาเป็นการตอบแทนในการที่จะจูงใจผู้พิพากษาให้พิพากษายกฟ้องคดีอาญาซึ่งญาติของ ป. กับพวกถูกฟ้องเป็นจำเลย ต่อมาเมื่อ ป. กับพวกรวบรวมเงินตามจำนวนที่จำเลยเรียกร้องครบแล้ว จึงได้มอบให้จำเลยรับไป ดังนี้ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาที่จะเรียกและรับเงินซึ่งเป็นเจตนาอันเดียวกันมาตั้งแต่แรกและเป็นการกระทำต่อเนื่องในคราวเดียวกัน ถือได้ว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 125/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีขัดทรัพย์โดยผู้พิพากษานายเดียวไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่อมีทุนทรัพย์เกินห้าหมื่น
คดีร้องขัดทรัพย์ซึ่งมีทุนทรัพย์เกินกว่าห้าหมื่นบาทผู้พิพากษานายเดียวตรวจคำร้องขอแล้วมีคำสั่งยกคำร้องขอ เป็นการไม่ชอบด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 21(2) เพราะเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแห่งคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(2) และเป็นกรณีที่ต้องมีผู้พิพากษาเป็นองค์คณะพิจารณาพิพากษาอย่างน้อยสองนาย ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 22,23 เมื่อศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ยังไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา ศาลฎีกาพิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องโดยให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งใหม่ ให้มีผู้พิพากษาครบองค์คณะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2394/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจอนุญาตฎีกาของผู้พิพากษา: โจทก์ต้องดำเนินการเอง ศาลไม่มีหน้าที่ส่งฎีกา
การอนุญาตให้ฎีกาเป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้ง หากโจทก์ประสงค์จะให้ผู้พิพากษาคนใดอนุญาตให้ฎีกา ก็ชอบที่จะขวนขวายให้มีการรับรองและอนุญาตเอง ศาลไม่มีหน้าที่ส่งฎีกาของโจทก์ไปให้รับรอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2394/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจอนุญาตฎีกา: ผู้พิพากษาพิจารณาคดีมีอำนาจเฉพาะตัว โจทก์ต้องดำเนินการเอง
การอนุญาตให้ฎีกาเป็นอำนาจเฉพาะตัวของผู้พิพากษาซึ่งพิจารณา.หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้ง หากโจทก์ประสงค์จะให้ผู้พิพากษาคนใดอนุญาตให้ฎีกา ก็ชอบที่จะขวนขวายให้มีการรับรองและอนุญาตเอง ศาลไม่มีหน้าที่ส่งฎีกาของโจทก์ไปให้รับรอง