พบผลลัพธ์ทั้งหมด 86 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1556/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าแห่งการงานของผู้รับจ้างเมื่อผู้ว่าจ้างบอกเลิกสัญญาจ้างเหมา
สัญญาจ้างเหมามีความว่าเมื่อผู้ว่าจ้างเห็นว่าหากให้ผู้รับจ้างดำเนินการต่อไปอาจเกิดความเสียหายแก่ผู้ว่าจ้างผู้ว่าจ้างมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเสียได้โดยผู้รับจ้างไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าทดแทนใดๆจากผู้ว่าจ้างทั้งสิ้นนั้นหมายถึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายหรือค่าทดแทนเนื่องจากการบอกเลิกสัญญาเท่านั้นแต่ผู้รับจ้างหาสิ้นสิทธิได้รับการใช้เงินตามควรค่าแห่งการงานที่ทำเพื่อกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมในกรณีอีกฝ่ายหนึ่งใช้สิทธิเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา391ไม่. ค่าแห่งการงานตามมาตรา391นั้นไม่จำต้องตีราคางานตรงตามงวดที่ระบุไว้ในสัญญา.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3611/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้จ้างวานให้ฆ่าผู้อื่น แม้ผู้รับจ้างยังมิได้ลงมือกระทำผิด ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
แม้ ส.กับ ป.พยานโจทก์จะมีพฤติการณ์เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วยกัน กับจำเลย แต่เมื่อโจทก์ได้กัน ส.กับ ป.ไว้เป็นพยาน คำเบิกความของพยานทั้งสองปากดังกล่าวอาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ แต่มีน้ำหนักน้อย มิใช่ว่าจะรับฟังไม่ได้เสียเลยทีเดียว ถ้าโจทก์มีพยานอื่นประกอบก็รับฟังลงโทษจำเลยได้
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 401/2496, 1769/2509 และ 2001/2514)
จำเลยได้ใช้ให้ ส. ฆ่า ว. ผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยได้มอบอาวุธปืนของกลางให้ ส. นำไปหาโอกาสยิง ว.ผู้ตาย แม้ ส.ยังมิได้กระทำผิดเพราะไม่มีโอกาสฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบกับมาตรา 85 วรรคสอง
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วย มาตรา84 วรรคสองซึ่งต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้นั้นให้ลดโทษประหารชีวิตหนึ่งในสามเป็นจำคุกตลอดชีวิตตามมาตรา 52(1) และให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตอันเป็นโทษสองในสามของโทษประหารชีวิตเป็นจำคุก 50 ปีตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 ซึ่งต้องลงโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษประหารชีวิตคือกึ่งหนึ่งของโทษจำคุก 50 ปี จึงเป็นโทษ จำคุก 25 ปี
(โปรดดูคำพิพากษาฎีกาที่ 91/2510 ประชุมใหญ่)
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 401/2496, 1769/2509 และ 2001/2514)
จำเลยได้ใช้ให้ ส. ฆ่า ว. ผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน โดยได้มอบอาวุธปืนของกลางให้ ส. นำไปหาโอกาสยิง ว.ผู้ตาย แม้ ส.ยังมิได้กระทำผิดเพราะไม่มีโอกาสฆ่าผู้ตาย การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบกับมาตรา 85 วรรคสอง
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) ประกอบด้วย มาตรา84 วรรคสองซึ่งต้องระวางโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษที่กำหนดไว้นั้นให้ลดโทษประหารชีวิตหนึ่งในสามเป็นจำคุกตลอดชีวิตตามมาตรา 52(1) และให้เปลี่ยนโทษจำคุกตลอดชีวิตอันเป็นโทษสองในสามของโทษประหารชีวิตเป็นจำคุก 50 ปีตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 53 ซึ่งต้องลงโทษเพียงหนึ่งในสามของโทษประหารชีวิตคือกึ่งหนึ่งของโทษจำคุก 50 ปี จึงเป็นโทษ จำคุก 25 ปี
(โปรดดูคำพิพากษาฎีกาที่ 91/2510 ประชุมใหญ่)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3437/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในคดีอาญา: ผู้รับจ้างติดตามจับกุมไม่ใช่ผู้เสียหาย
การที่โจทก์รับจ้างติดตามจับกุมบุคคลที่ศาลอาญาออกหมายจับและโจทก์ได้ขอให้จำเลยออกหมายค้นเพื่อนำเจ้าพนักงานตำรวจ ติดตามจับกุมบุคคลผู้นั้น โจทก์กระทำในฐานะผู้รับจ้างเพื่อหวังเอาค่าจ้างไม่ใช่ในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญาที่ศาลออกหมายจับ ความเสียหายที่โจทก์ได้รับคือไม่ได้ค่าจ้าง เป็นความเสียหายส่วนตัวโจทก์โดยแท้โจทก์จึงมิใช่ ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2 (4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3437/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในคดีอาญา: ผู้รับจ้างติดตามจับกุมไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมาย
การที่โจทก์รับจ้างติดตามจับกุมบุคคลที่ศาลอาญาออกหมายจับ และโจทก์ได้ขอให้จำเลยออกหมายค้นเพื่อนำเจ้าพนักงานตำรวจ ติดตามจับกุมบุคคลผู้นั้น โจทก์กระทำในฐานะผู้รับจ้างเพื่อ หวังเอาค่าจ้างไม่ใช่ในฐานะผู้เสียหายในคดีอาญาที่ศาล ออกหมายจับ ความเสียหายที่โจทก์ได้รับคือไม่ได้ค่าจ้าง เป็นความเสียหายส่วนตัวโจทก์โดยแท้ โจทก์จึงมิใช่ ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2628/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของนายจ้างช่วงและผู้รับจ้างในการจ่ายค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าเมื่อเลิกจ้าง
จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ทำสัญญาจ้างกันว่าจำเลยที่ 1 จะต้องเป็นผู้จัดหาลูกจ้างเพื่อปฏิบัติงานตามที่จำเลยที่ 2 จะสั่งให้ปฏิบัติจำเลยที่ 2 จึงเป็นผู้ว่าจ้างจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นผู้รับเหมาชั้นต้นตามความ ในข้อ 7 แห่งประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ข้อ 7 ในอันที่จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่จำเลยที่ 1 จ้าง มาแต่ประการใด สัญญาจ้างระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เพียงมีข้อความว่า ถ้าจำเลยที่ 2 เลิกจ้างจำเลยที่ 1 เมื่อใดโจทก์ยอมให้จำเลยที่ 1 เลิกจ้างได้เงื่อนไขของสัญญานี้อาศัยเหตุการณ์ตามสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรณีไม่แน่นอนจึงจะถือว่าสัญญาจ้างโจทก์เป็นการจ้างมีกำหนดระยะเวลาแน่นอนจำเลยที่ 1 ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์เมื่อเลิกจ้างหาได้ไม่ การที่จำเลยที่ 1 ประกาศให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าว่าบริษัทผู้รับจ้างรายใหม่ได้เข้ามาดำเนินการแทนจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 จะได้โอนพนักงานและกิจการให้บริษัทใหม่ดังนี้ เป็นการโอนการจ้าง มิใช่การเลิกจ้างจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการบอกกล่าวเลิกจ้างล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 582
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3115/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาบุกรุก - เจ้าของสั่งรื้อเอง ผู้รับจ้างเชื่อโดยสุจริต ไม่ผิดฐานบุกรุก
เจ้าของห้องแถวสั่งให้จำเลย 3 คน ซึ่งเป็นลูกจ้างรื้อหลังคาและตัดส่วนที่เป็นกันสาดของห้องแถวที่เกิดเหตุ โดยอยู่ในที่เกิดเหตุและอำนวยการด้วย ผู้เสียหายซึ่งเป็นผู้เช่าก็อยู่ในห้องแถวที่เกิดเหตุโดยไม่ได้ทักท้วงห้ามปรามอย่างใด ย่อมเป็นเหตุให้จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าเจ้าของห้องแถวมีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะสั่งการให้จำเลยกระทำการดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยจึงขาดเจตนาที่จะกระทำความผิดฐานบุกรุก ไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362, 365
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2828/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิผู้รับจ้างและผู้ว่าจ้างในการดูแลรักษาสิ่งก่อสร้างระหว่างการพิจารณาคดี และขอบเขตคำสั่งศาล
โจทก์ฟ้องให้บังคับจำเลยชำระค่าจ้างก่อสร้างอาคาร จำเลยให้การว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อตามสัญญาระบุให้สิ่งก่อสร้างรวมทั้งสัมภาระอุปกรณ์ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยผู้ว่าจ้างตั้งแต่นำเข้ามาในที่ก่อสร้าง จำเลยจึงมีส่วนได้เสียในอาคารพิพาท หากอาคารถูกปล่อยปละละเลยไม่มีผู้ดูแลรักษา ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์ส่วนได้เสียของจำเลย แม้จำเลยมิได้ฟ้องแย้งให้โจทก์ส่งมอบอาคาร จำเลยก็มีสิทธิขอให้ศาลมีคำสั่งเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยในระหว่างการพิจารณา เพื่อให้ศาลมีคำสั่งตั้งผู้ดูแลรักษาอาคารในระหว่างการพิจารณาได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 264 เมื่อโจทก์หยุดการก่อสร้างไปแล้ว และการที่จะให้จำเลยเข้าดูแลรักษาอาคารไม่กระทบถึงสิทธิส่วนได้เสียของโจทก์ ศาลจึงชอบที่จะมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยเข้าเป็นผู้ดูแลรักษาอาคารพิพาทในระหว่างพิจารณา แต่ที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยเข้าดำเนินการทำประโยชน์และครอบครองอาคารโดยจำเลยมิได้ฟ้องแย้งและมีคำขอบังคับเช่นนั้น จึงไม่ชอบด้วย มาตรา 264
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3403/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้รับจ้างช่วง: ความเสียหายทางอ้อมจากการกระทำต่อผู้รับจ้างโดยตรง
การที่โจทก์ที่ 5 ซึ่งเป็นผู้รับจ้างทำไม้ให้แก่ผู้มีชื่อ ได้ว่าจ้างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ทำไม้นั้นอีกทอดหนึ่ง และต่อมาจำเลยจับกุมโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 ในข้อหาทำไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต ทำให้โจทก์ที่ 5เสียหายขาดรายได้ไม่ได้รับค่าจ้างจากผู้มีชื่อนั้นการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 เท่านั้น ถือไม่ได้ว่าโจทก์ที่ 5 ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดอาญาโดยตรง โจทก์ที่ 5 จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) และไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2925/2525
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทเลินเล่อในการก่อสร้าง - ผู้รับจ้างต้องระมัดระวังทรัพย์สินผู้อื่น - การกระทำโดยประมาททำให้เกิดความเสียหาย
ห้างจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการ ทำสัญญารับจ้างก่อสร้างท่อระบายน้ำริมถนนกับเทศบาล โดยมีรายการและรูปแบบแนบท้ายสัญญาเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาด้วย การที่จำเลยที่ 1ทราบอยู่แล้วขณะทำสัญญา และมีหน้าที่ต้องระมัดระวังไม่ขุดลึกลงไปถึงท่อวางสายเคเบิ้ลขององค์การโทรศัพท์ฯโจทก์ แต่กลับสั่งให้คนงานขุดไปตามแบบแปลนโดยให้อยู่ในความควบคุมของนายช่างเทศบาลคู่สัญญา จึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่อปราศจากความระมัดระวังและมิใช่เป็นเหตุสุดวิสัยหรือเป็นความผิดของโจทก์ จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าซ่อมแซมสายเคเบิ้ลของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4/2524
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาปลูกบ้านและการใช้ค่าแห่งการงาน เมื่อผู้ว่าจ้างไม่ชำระเงินค่าวัสดุและห้ามทำงาน
สัญญาปลูกบ้านเสร็จใน 50 วัน แต่ผู้ว่าจ้างจ่ายเงินงวดแรกไม่ครบ และสั่งซื้อสัมภาระให้ผู้รับจ้างช้ากว่ากำหนดจึงถือกำหนด 50 วันบังคับไม่ได้ ผู้ว่าจ้างไม่ให้ผู้รับจ้างทำงานจะว่าผู้รับจ้างทิ้งงานไม่ได้ ผู้ว่าจ้างเลิกสัญญาได้โดยอาศัย มาตรา 605 จึงต้องใช้ค่าแห่งการงานที่ผู้รับจ้างได้ทำไปแล้วตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 หักกับเงินที่ผู้ว่าจ้างจ่ายให้ผู้รับจ้างไปก่อนแล้ว