คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พิสูจน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,273 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1736/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหนี้ต้องพิสูจน์มูลหนี้จริงในการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย แม้มีคำพิพากษาเป็นหลักฐาน
ในชั้นตรวจคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 104 แม้จะไม่มีผู้คัดค้านคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ และเจ้าหนี้ผู้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นหรือเป็นผู้เป็นโจทก์ในคดีล้มละลาย เจ้าหนี้ก็มีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า มูลหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้มีอยู่จริงและลูกหนี้ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว เจ้าหนี้อ้างว่า บริษัท ผ. เป็นหนี้เจ้าหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันและตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยลูกหนี้ทั้งสองเป็นผู้ค้ำประกัน แต่เจ้าหนี้ไม่มีบัญชีกระแสรายวันและตั๋วสัญญาใช้เงินอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ ทั้งไม่มีหนังสือสัญญาค้ำประกันของลูกหนี้ ทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อาจสอบสวนถึงมูลหนี้แห่งคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่เจ้าหนี้มีเพียงสำเนาคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งแนบท้ายคำขอรับชำระหนี้เท่านั้นยังไม่เพียงพอที่ให้เชื่อได้ว่าลูกหนี้ทั้งสองเป็นหนี้ตามจำนวนที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ และเป็นหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา 94
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษา1 ฉบับ ในการอุทธรณ์หรือฎีกาจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงศาลละ25 บาท เท่านั้นตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 179(2)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 796-797/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักไม่พอพิสูจน์การกระทำความผิดร่วมกัน จำเลยที่ 2 พ้นผิด
พยานโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดเมทแอมเฟตามีนจากสายลับและยึดธนบัตรจากจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ขายเมทแอมเฟตามีนให้สายลับผู้ล่อซื้อ พยานโจทก์มิได้รู้เห็นเหตุการณ์ในขณะที่มีการซื้อขายเมทแอมเฟตามีนแต่ที่ทราบว่าจำเลยที่ 2 ร่วมขายด้วยก็เนื่องจากสายลับเป็นผู้บอกโจทก์มิได้นำสายลับมาเบิกความ คำเบิกความของพยานโจทก์จึงเป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ประกอบกับคำให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมของจำเลยที่ 2 เป็นพยานบอกเล่าซึ่งไม่มีรายละเอียดใด ๆ ที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 ที่ให้การว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชวนจำเลยที่ 1 ไปเอาเมทแอมเฟตามีนมาขายเป็นพยานบอกเล่าซึ่งมีลักษณะเป็นคำซัดทอดในระหว่างผู้ต้องหาด้วยกัน พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักพอให้รับฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7959/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์สินจากความผิดยาเสพติด: ต้องมีการฟ้องและพิสูจน์ความผิดฐานจำหน่ายเสียก่อน จึงจะริบได้
ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) ได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้นและโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่ยังมิได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้า เจ้าพนักงานตำรวจก็จับจำเลยพร้อมกับยึดยาเสพติดให้โทษดังกล่าวและธนบัตรของกลางได้เสียก่อน ธนบัตรของกลางจึงไม่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ หรือวัตถุอื่น ซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 102
เมื่อไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางเกิดขึ้นและโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบเงินของกลางโดยอ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษหาได้ไม่ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ ศาลก็ไม่อาจสั่งริบธนบัตรของกลางดังกล่าวได้และต้องคืนให้แก่เจ้าของ แม้จำเลยจะไม่ยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7959/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การริบทรัพย์สินจากการกระทำผิดยาเสพติด ต้องมีฟ้องและพิสูจน์การกระทำความผิดฐานจำหน่ายด้วย
ศาลจะสั่งริบทรัพย์สินที่จำเลยได้มาโดยได้กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(2) ได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำความผิดนั้นและโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดนั้นด้วย
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายแต่ยังมิได้จำหน่ายให้แก่ลูกค้า เจ้าพนักงานตำรวจก็จับจำเลยพร้อมกับยึดยาเสพติดให้โทษดังกล่าวและธนบัตรของกลางได้เสียก่อน ธนบัตรของกลางจึงไม่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้หรือวัตถุอื่น ซึ่งจำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 102
เมื่อไม่มีความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางเกิดขึ้นและโจทก์มิได้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโจทก์จะขอให้ศาลสั่งริบของกลางโดยอ้างว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษหาได้ไม่แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ศาลก็ไม่อาจสั่งริบธนบัตรของกลางดังกล่าวได้และต้องคืนให้แก่เจ้าของแม้จำเลยจะไม่ยกขึ้นฎีกาศาลฎีกาก็ยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7370/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเป็นต้องมีหลักฐานแสดงพฤติการณ์ร่วมกระทำความผิด
ก่อนจับกุมจำเลยทั้งห้า เจ้าพนักงานตำรวจซุ่มดูเห็นจำเลยที่ 1เดินออกจากกระท่อมไปหยิบกระบอกไม้ไผ่ที่บริเวณข้างเปลที่จำเลยที่ 5นอนอยู่ แล้วนำไปซุกซ่อนในถังซีเมนต์ซึ่งอยู่ห่างจากกระท่อมประมาณ18 เมตร เมื่อตรวจค้นกระบอกไม้ไผ่พบเมทแอมเฟตามีนจำนวน 82 เม็ดบรรจุอยู่ และพบจำเลยที่ 2 หลบซ่อนนอนหมอบอยู่ในสวนห่างจากถังซีเมนต์ประมาณ 15 เมตร มีถุงย่ามวางอยู่ห่างจากจำเลยที่ 2 ประมาณ2 เมตร ภายในถุงย่ามมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด เจ้าพนักงานตำรวจได้ตรวจค้นภายในกระท่อมพบจำเลยที่ 3 และที่ 4 โดยจำเลยที่ 3 นอนหลับอยู่ดังนี้ ตามพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่าเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางนอกกระท่อมและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดคือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 5 ส่วนจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นเพียงผู้มาอาศัยพักผ่อนภายในกระท่อมเท่านั้น พยานโจทก์มิได้เบิกความเลยว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้กระทำการอย่างใดอันแสดงให้เห็นว่ารู้เห็นและร่วมกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายทั้งขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 3 และที่ 4 ก็อยู่ภายในกระท่อม พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมาไม่มีน้ำหนักพอให้ฟังว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ร่วมกระทำผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7172/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมสิทธิ์ที่ดิน: โฉนดที่ดินเป็นเอกสารมหาชน สันนิษฐานถูกต้อง ผู้กล่าวอ้างต้องพิสูจน์ความไม่ถูกต้อง
สำเนาโฉนดที่ดินที่มีเจ้าหน้าที่ที่ดินรับรองความถูกต้องมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์คนเดียว จำเลยย่อมได้รับการสันนิษฐานจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 127 ว่าจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทคนเดียว การที่โจทก์อ้างว่า ย. มีกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่ง โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าโฉนดที่ดินไม่ถูกต้องอย่างไรการที่โจทก์มีเพียงโจทก์ที่ 6 เบิกความว่าทราบเรื่อง ย. ร่วมซื้อที่ดินกับจำเลยเมื่อปี 2524 แต่ก็ได้ความจากที่ทนายโจทก์ทั้งหกถามติงและทนายจำเลยถามค้านว่าตั้งแต่ปี 2524 ย. ไปอยู่บ้านจำเลย โจทก์ที่ 6 ไม่เคยไปบ้านจำเลยดังนั้น โจทก์ที่ 6 อาจไม่ได้พบ ย. เลย ที่โจทก์ที่ 6 เบิกความว่ารู้เรื่อง ย. ร่วมกับจำเลยซื้อที่ดินพิพาทจึงไม่น่าเชื่อ คำเบิกความนอกจากนั้นเป็นการเบิกความลอย ๆ คำเบิกความของโจทก์ที่ 6 ยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังว่าโฉนดที่ดินพิพาทไม่ถูกต้องจึงต้องฟังตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายว่าโฉนดที่ดินเป็นเอกสารที่ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6864/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดลิขสิทธิ์: จำเลยอ้างสิทธิโดยชอบตามสัญญาซื้อขายลิขสิทธิ์ โจทก์มิได้พิสูจน์การซื้อขายเป็นโมฆะ คดีไม่มีมูล
ใบปกเทปเพลงของจำเลยที่ 1 ระบุชื่อจำเลยที่ 1 โดยเปิดเผยว่าเป็นผู้ผลิต จัดจำหน่ายและเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์เพลงในเทปซึ่งรวมถึงเพลงพิพาทประกอบกับสัญญาซื้อขายลิขสิทธิ์เพลงระบุว่า ด. ขายลิขสิทธิ์เพลงพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 จึงมีความเป็นไปได้ว่าจำเลยอาจกระทำการต่องานลิขสิทธิ์ของโจทก์โดยเข้าใจว่าตนมีสิทธิโดยชอบที่จะกระทำได้ โจทก์เองก็มิได้นำสืบว่า ด. ไม่ได้ขายลิขสิทธิ์เพลงพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 หรือบุคคลอื่นใดอีก พฤติการณ์แห่งคดีจึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสี่มีเจตนากระทำการละเมิดลิขสิทธิ์ของโจทก์อันเป็นองค์ประกอบความผิดที่ฟ้อง คดีโจทก์ไม่มีมูล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5904-5911/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างลูกจ้าง: การพิสูจน์เหตุเลิกจ้าง & ผลของการแถลงรับเฉพาะบางส่วนของผู้คัดค้าน
ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลยื่นคำร้องขอให้มีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งแปด อ้างว่าผู้คัดค้านทั้งแปดกระทำความผิดที่สมควรจะเลิกจ้างเป็นการเสนอคดีฝ่ายเดียว ผู้ร้องต้องนำพยานหลักฐานมาแสดงให้เห็นว่ามีเหตุตามที่กล่าวอ้างจริงและเป็นเหตุที่สมควรจะอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งแปดได้ เว้นแต่ผู้คัดค้านทั้งแปดยอมรับในข้อเท็จจริงใด ศาลก็อาจรับฟังข้อเท็จจริงนั้นโดยผู้ร้องไม่ต้องนำพยานหลักฐานมาแสดง ผู้คัดค้านทั้งแปดจะยื่นคำคัดค้านเข้ามาหรือไม่ก็ได้ และไม่ใช่คำให้การ ไม่อยู่ในบังคับแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองที่จะต้องแสดงโดยชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างของผู้ร้องรวมทั้งเหตุแห่งการยอมรับหรือปฏิเสธ มิฉะนั้นจะทำให้คดีไม่เกิดประเด็นข้อพิพาทและผู้คัดค้านทั้งแปดไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบเพราะต้องฟังข้อเท็จจริงตามคำร้อง หลังจากผู้คัดค้านทั้งแปดยื่นคำคัดค้าน ศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทโดยให้ผู้ร้องนำพยานเข้าสืบก่อน แล้วให้ผู้คัดค้านทั้งแปดสืบแก้ แสดงว่าศาลแรงงานกลางเห็นว่า ผู้คัดค้านทั้งแปดมิได้ยอมรับว่ามีเหตุตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้างเกิดขึ้น ผู้คัดค้านทั้งแปดมีสิทธินำพยานเข้าสืบและศาลแรงงานกลางนำพยานหลักฐานของผู้คัดค้านทั้งแปดมาใช้ประกอบการวินิจฉัยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5835/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ น้ำหนักพยานหลักฐานในชั้นพิจารณา vs. ชั้นสอบสวน: การพิสูจน์ความผิดทางอาญา
แม้ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายที่ 2 ระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายก็ตาม แต่ได้ความจากคำเบิกความในชั้นพิจารณาของผู้เสียหายที่ 2 ว่า ตอนไปดูตัวคนร้าย เจ้าพนักงานตำรวจพาคนร้ายออกมาคนเดียวและให้ผู้เสียหายที่ 2 ชี้ตัว เจ้าพนักงานตำรวจบอกว่าคนนี้แหละที่แทงผู้เสียหายที่ 2 ผู้เสียหายที่ 2 ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นคนร้ายหรือไม่ แต่ก็ได้ให้การต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าเป็นคนร้ายและเบิกความต่อไปอีกว่า ผู้เสียหายที่ 2 เห็นจำเลยแล้วคลับคล้ายคลับคลา แต่เมื่อผู้เสียหายที่ 1 บอกว่าใช่ผู้เสียหายที่ 2 ก็บอกว่าใช่ด้วยเมื่อคำเบิกความของพยานในชั้นพิจารณาแตกต่างกับคำให้การในชั้นสอบสวนเช่นนี้ หากพฤติการณ์แห่งคดียังไม่มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าพยานเบิกความบ่ายเบี่ยงข้อเท็จจริงเพื่อช่วยเหลือจำเลยแล้ว คำเบิกความในชั้นพิจารณาย่อมมีน้ำหนักที่จะรับฟังมากกว่าเพราะคำเบิกความชั้นสอบสวนหาได้ผ่านกระบวนการถามค้านแต่อย่างใดไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5282/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย: โทษฐานครอบครองเมื่อปริมาณไม่ถึงเกณฑ์ 'เพื่อจำหน่าย' ศาลต้องพิสูจน์การกระทำผิดจริง
ความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่งกำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงจำคุกตลอดชีวิต ดังนั้น แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ ศาลจะต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยผิดจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 176 วรรคหนึ่ง เว้นแต่ของกลางจะมีจำนวนตามข้อสันนิษฐานของกฎหมายที่ให้ถือว่ามีไว้เพื่อจำหน่าย เมื่อของกลางในคดีนี้คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้หนัก 11.4 กรัม ไม่ถึง 20 กรัม ไม่ต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสองโจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้ได้ความจริงตามหลักกฎหมายดังกล่าวข้างต้น
จากคำเบิกความของร้อยตำรวจเอก ว. ได้ความว่า ที่ตั้งข้อหาว่ามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เนื่องจากของกลางมีจำนวนมากเท่านั้น ไม่มีพฤติการณ์อื่นใดอีก เช่น มีการล่อซื้อหรือมีพยานยืนยันว่าเคยซื้อหรือเคยล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยทั้งสาม ตามทางนำสืบโจทก์จึงรับฟังได้แต่เพียงว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเท่านั้น แม้จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะมิได้ฎีกาเรื่องนี้ขึ้นมาโดยตรง และจำเลยที่ 3 ฎีกาแต่เฉพาะขอให้ลงโทษจำเลยที่ 3สถานเบา แต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้และเมื่อฟังว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง ซึ่งศาลฎีกาจะต้องกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม จึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ 3 ว่าสมควรลดโทษให้จำเลยที่ 3 อีกหรือไม่
of 128