คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฟ้องหย่า

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 218 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6023/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าตามอำนาจมาตรา 1516(3) และการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
คำฟ้องซึ่งกล่าวอ้างถึงเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(3) ในเหตุหมิ่นประมาทนั้น ไม่เหมือนคำฟ้องที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5) วรรคสอง บัญญัติไว้เป็นพิเศษให้กล่าวถึงถ้อยคำพูดอันเกี่ยวกับข้อความหมิ่นประมาทโดยบริบูรณ์ เมื่อคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงเหตุฟ้องหย่าว่าจำเลยได้หมิ่นประมาทและเหยียดหยามโจทก์และบุพการีของโจทก์ตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(3) บังคับไว้แล้ว ย่อมเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ให้ความสนิทสนมกับ ส. มากเกินกว่าที่ผู้บังคับบัญชาทั่วไปจะพึงประพฤติปฏิบัติ ประกอบกับการที่โจทก์จงใจแยกตัวไปอยู่ต่างหากจากครอบครัวย่อมมีเหตุเพียงพอที่จำเลยในฐานะภริยาจะปักใจเชื่อว่าโจทก์และ ส. มีความสัมพันธ์กันในเชิงชู้สาว การที่จำเลยมีหนังสือขอความเป็นธรรมไปยังผู้อำนวยการการประถมศึกษาจังหวัดนครราชสีมาผู้บังคับบัญชาของโจทก์โดยกล่าวถึงความสัมพันธ์ในทางชู้สาวระหว่างโจทก์กับ ส. ซึ่งจำเลยเชื่อว่ามีอยู่จริงไว้ด้วยจึงเป็นวิธีการที่จำเลยขวนขวายเพื่อขอความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชาของโจทก์และเพื่อปกป้องสิทธิในครอบครัวของตน กรณียังถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5638/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าจากพฤติกรรมหมิ่นประมาท ทำลายทรัพย์สิน และกล่าวหาคบชู้ เป็นเหตุให้ได้รับความอับอาย
พฤติการณ์ของจำเลยที่กล่าวหาว่าโจทก์มีชู้ โดยที่คาดคะเนหรือสันนิษฐานเอาเอง แล้วด่าว่าโจทก์ถึงเหตุนี้ต่อหน้าเพื่อนร่วมงานและต่อหน้าพนักงานสอบสอน จึงเป็นการหมิ่นประมาทเหยียดหยามโจทก์อย่างร้ายแรง ทั้งการที่จำเลยได้ส่งเอกสารต่าง ๆ ด่าว่าโจทก์ไปให้โจทก์และบุคคลอื่นทางไปรษณีย์ กับส่งทรัพย์สินของโจทก์ที่จำเลยทำลายแล้วไปให้โจทก์ เป็นการประพฤติชั่วเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรง อันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(2)(3)(เดิม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2321/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่า: พฤติกรรมสามีไม่ถึงขั้นประพฤติชั่วเป็นเหตุหย่า แม้มีพฤติกรรมหึงหวง ควบคุม และทำร้ายร่างกาย
การที่จำเลยสืบทราบว่าโจทก์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหญิงอื่นจึงเสพสุรา สูบบุหรี่ ทะเลาะวิวาท และติดตามควบคุมโจทก์ในวิทยาลัยที่โจทก์ทำงานอยู่นั้น แม้พฤติการณ์ของจำเลยจะก่อให้โจทก์เกิดความเบื่อหน่ายอับอายในหมู่เพื่อนอาจารย์และนักศึกษา แต่ก็เกิดจากความรักหึงหวงหวาดระแวงของจำเลยตามวิสัยสตรีเพศที่เป็นภริยาซึ่งอาจปรับปรุงตัวให้ดีขึ้นได้ถ้าโจทก์ไม่แสดงความรำคาญใจและฝักใฝ่ในสตรีอื่นให้ปรากฏ ทั้งจำเลยเองก็ไม่สมัครใจหย่าตัดความสัมพันธ์ฉันสามีภริยากับโจทก์ พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยจึงยังไม่ถึงขั้นประพฤติชั่วที่เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความอับอายขายหน้าอย่างร้ายแรงหรือได้รับความดูถูกเกลียดชังเดือดร้อนเกินควร หรือทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการที่เป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรง โจทก์จึงยังไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2085/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าจากเหตุหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
จำเลยซึ่งเป็นภริยาโจทก์พูดกับเพื่อนนักศึกษาของโจทก์ที่โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ ซึ่งโจทก์เป็นนักศึกษาอยู่ว่าโจทก์มักมากในกาม โหดร้ายอำมหิตอย่าแนะนำหญิงอื่นให้รู้จักกับโจทก์ แม้แต่เมียของเพื่อนนักศึกษาคนนั้นก็ตาม โจทก์จะหลอกเอาทำเมียอีกคน โดยขณะนั้นโจทก์มิได้ทำการใด ๆ ที่จำเลยจะต้องแสดงออกด้วยคำพูดดังกล่าว จึงเป็นคำพูดที่ต้องการให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(3) หาใช่เป็นเพียงคำพูดธรรมดาที่ภริยามีความรักสามีกระทำด้วยอารมณ์หึงหวงไม่ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องหย่าจำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2085/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาทอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้ฟ้องหย่าได้ การกระทำที่มุ่งประจานต่อบุคคลที่สามถือเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา
การที่จำเลยได้ไปพูดกับเพื่อนนักศึกษาของโจทก์ที่โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศว่า "โจทก์มีเมียมาก มักมากในกาม โหดร้ายอำมหิต อย่าแนะนำหญิงอื่นให้รู้จักกับโจทก์ แม้แต่เมียของตนเองก็ตาม โจทก์จะหลอกเอาทำเมียอีกคน" เป็นคำพูดที่ต้องการให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง อันเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง ตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1516(3) เป็นเหตุให้โจทก์นำมาฟ้องหย่าได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1820/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องบังคับตามข้อตกลงหย่าขาดจากกันโดยความยินยอม และอายุความฟ้องร้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในข้อ (1) ว่าโจทก์มีเหตุฟ้องหย่าจำเลยได้หรือไม่ โดยมิได้ระบุเจาะจงว่าเหตุฟ้องหย่าดังกล่าวคือเหตุตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516เมื่อการฟ้องคดีเพื่อหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยานอกจากเหตุตามมาตรา 1516 แล้วยังมีกรณีตามมาตรา 1515 อีกด้วย ฉะนั้นเมื่อมีการหย่าโดยความยินยอมแล้วแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยอมไปจดทะเบียนหย่า การหย่าโดยความยินยอมดังกล่าวย่อมยังไม่สมบูรณ์ตามนัยมาตรา 1515 อีกฝ่ายหนึ่งจึงมีเหตุฟ้องให้ศาลพิพากษาให้มีผลเป็นการหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันตามหนังสือยินยอมได้ โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า โจทก์จำเลยทำบันทึกด้วยความยินยอมของทั้งสองฝ่ายตกลงหย่าและแบ่งทรัพย์สินกันต่อหน้าพยาน 2 คน นอกเหนือไปจากเหตุตามมาตรา 1516 ดังนั้น การที่ศาลยกเอาบันทึกข้อตกลงของโจทก์จำเลยมาวินิจฉัยว่าเป็นหลักฐานการหย่าโดยความยินยอมแล้วพิพากษาให้จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับโจทก์ จึงไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นและไม่ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 สิทธิฟ้องร้องที่ระงับสิ้นไปเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีตามมาตรา 1529คือ สิทธิฟ้องร้องโดยอาศัยเหตุตามมาตรา 1516(1)(2)(3) หรือ (6)หรือมาตรา 1523 เป็นคนละกรณีกับการฟ้องขอให้จดทะเบียนการหย่าโดยความยินยอมตามมาตรา 1514 วรรคสองและมาตรา 1515 ซึ่งมีอายุความฟ้องร้องภายในสิบปีนับแต่วันที่ทั้งสองฝ่ายทำบันทึกตกลงการหย่าฉะนั้นเมื่อนับแต่วันดังกล่าวจนถึงวันที่โจทก์นำคดีมาฟ้องยังไม่เกินสิบปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่าต้องมีเหตุอันสมควร การละทิ้งร้างและตั้งเงื่อนไขที่ไม่ชอบธรรมไม่อาจเป็นเหตุหย่าได้
โจทก์เคยฟ้องหย่าจำเลยแล้วย้ายออกจากบ้านจำเลยที่เคยอยู่กินร่วมกันมาแต่แรกเป็นเวลาถึง 8 ปีเศษ เป็นการที่โจทก์ละทิ้งร้างจำเลยไปเอง หากโจทก์ประสงค์จะคืนดีกับจำเลยก็ชอบที่จะกลับไปอยู่กับจำเลยที่บ้านจำเลย แต่โจทก์กลับตั้งเงื่อนไขให้จำเลยย้ายไปอยู่กับโจทก์ที่บ้านโจทก์ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่เคยอยู่ร่วมกันมาก่อน ย่อมเป็นการไม่ชอบ โจทก์จึงอาศัยเหตุที่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขของโจทก์มาเป็นเหตุฟ้องหย่า โดยอ้างว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยามิได้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3520/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละทิ้งร้างและการฟ้องหย่า: สิทธิฟ้องหย่าของผู้ที่ละทิ้งคู่สมรสก่อน
การที่โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยเป็นคดีแรกในปี 2529 แล้วโจทก์ย้ายออกจากบ้านของจำเลยที่เคยอยู่กินร่วมกันมาแต่แรกนานถึง8 ปีเศษ จึงเป็นการที่โจทก์ละทิ้งร้างจำเลยไปเอง เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายละทิ้งร้างจำเลยไปเช่นนี้ โจทก์จะอาศัยเหตุที่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขที่โจทก์จะให้จำเลยย้ายไปอยู่กับโจทก์ที่บ้านซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่เคยอยู่ร่วมกันมาก่อนมาเป็นเหตุฟ้องหย่า โดยอ้างว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาไม่ได้ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหย่าจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 328/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานเบิกความเท็จในคดีแพ่ง: การบรรยายฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จต่อศาลในการพิจารณาคดีแพ่ง เรื่องฟ้องหย่า ซึ่งมีข้อสำคัญในคดีว่าโจทก์จงใจละทิ้งร้างส.สามีโจทก์ไปเกินกว่า 1 ปีตามที่ส.อ้างเป็นเหตุฟ้องหย่าหรือไม่โจทก์ได้บรรยายรายละเอียดข้อความที่จำเลยเบิกความ กับบรรยายว่าความจริงเป็นอย่างไร และคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีโดยกล่าวว่าศาลได้เชื่อคำเบิกความของจำเลยว่าโจทก์ได้จงใจละทิ้งร้าง ส. ไปเกินกว่า1 ปีจริง และพิพากษาให้หย่ากัน อันเป็นการบรรยายฟ้องให้เห็นว่า คำเบิกความเท็จของจำเลยเป็นข้อสำคัญในคดีอย่างไรแล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1932/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหย่า: การละทิ้งร้างและการไม่ขวนขวายหาที่อยู่ร่วมกัน ไม่ถือเป็นการจงใจละทิ้ง
จำเลยเคยขอให้โจทก์หาที่พักต่างหากจากที่อาศัยอยู่กับเพื่อนในค่ายทหารที่จังหวัดนครพนม แต่โจทก์ไม่ดำเนินการใด ฉะนั้นการที่จำเลยยังคงทำงานและพักอาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครจึงเป็นเพราะโจทก์ไม่ขวนขวายหาที่พักอันเหมาะสม เพื่อโจทก์จำเลยจะได้อยู่ร่วมกันส่อเจตนาว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยไปอยู่ร่วมกัน กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่า การที่จำเลยมีหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาของโจทก์ขอค่าเลี้ยงดูจากโจทก์ตามคำแนะนำของนายทหารพระธรรมนูญซึ่งผู้บังคับบัญชาของโจทก์ผู้แนะนำให้ไปหารือด้วยนั้นเป็นการดำเนินการไปตามข้อบังคับทหารว่าด้วยการปกครองครอบครัว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าโจทก์ได้รับความเดือดร้อนเกินควรจากการกระทำดังกล่าวของจำเลยแต่กลับได้ความว่าโจทก์ได้เลื่อนยศตามลำดับตามการร้องเรียนของจำเลยจึงไม่ถึงขนาดทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงอันจะเป็นเหตุฟ้องหย่าได้เช่นเดียวกัน
of 22