พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับของจำเลยที่ไม่เชื่อมโยงกับหลักฐานอื่น ไม่เพียงพอลงโทษ จำเลยต้องได้รับการยกฟ้อง
คำรับของจำเลยที่ว่าตนเป็นคนลักทรัพย์ผู้เสียหายไปต่อบุคคลอื่นที่ไม่ใช่พนักงานสอบสวนนั้น แม้จะถือว่าเป็นคำรับอันเป็นปฏิปักษ์ต่อผลประโยชน์ของจำเลยและสามารถใช้ยันจำเลยในชั้นพิจารณาของศาลได้ก็ตาม แต่โจทก์ต้องมีพยานหลักฐานอื่นมาประกอบให้เห็นว่าจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามคำรับด้วยจึงจะลงโทษจำเลยได้เพราะเป็นภาระหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำสืบให้เห็นเช่นนั้นเมื่อโจทก์ไม่มีพยานเห็นว่าจำเลยเป็นคนร้าย ทั้งผลการตรวจพิสูจน์ลายพิมพ์นิ้วมือแฝงที่ปรากฏบนพื้นกระจกโต๊ะและกระจกบานเกล็ดในที่เกิดเหตุเปรียบเทียบกับลายพิมพ์นิ้วมือของจำเลยแล้วพบว่าลายพิมพ์นิ้วมือแฝงมีจุดลักษณะสำคัญพิเศษของลายเส้นแตกต่างจากลายพิมพ์นิ้วมือ10 นิ้ว ของจำเลย กรณีจึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3996/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่ชัดเจนความรับผิดจำเลยที่ 3 คำฟ้องเคลือบคลุม ศาลยกฟ้อง
คำฟ้องบรรยายไว้แต่เพียงว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นนายจ้างลูกจ้าง จำเลยที่ 3 ประกอบกิจการรับประกันวินาศภัย จำเลยที่ 2 กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 1 โดยขับรถดั๊มโดยประมาท กระบะหลังรถกระแทกถูกหลังคาปั๊มน้ำมันของบริษัท ค. ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ เสียหายเป็นเงิน 312,000 บาท โจทก์ชำระค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้ว จึงรับช่วงสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยทั้งสาม ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 3 เกี่ยวข้องกับคดีนี้อย่างไร ร่วมกระทำละเมิด หรือต้องร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดเพราะอะไรล้วนแต่ไม่ปรากฏทั้งสิ้น คำฟ้องของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงไม่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง เป็นฟ้องเคลือบคลุม และแม้จำเลยที่ 3 จะให้การว่ารับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุก็ตาม ก็ไม่ทำให้คำฟ้องของโจทก์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่แรกกลับเป็นคำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 388/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยประเด็นหนี้และการคิดดอกเบี้ยในคดีสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ศาลชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิฟ้องใหม่
คดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(2)ให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นแห่งคดีโดยทำเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่ง และมาตรา 148(3) เป็นข้อยกเว้นในเรื่องฟ้องซ้ำกรณีเมื่อคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นให้ยกคำฟ้องเสียโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ คดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและขอให้บังคับจำนองแก่ที่ดินอันเป็นหลักประกัน ซึ่งจำเลยให้การต่อสู้หลายประการ ศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะทำคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวินิจฉัยชี้ขาดไปตามประเด็นแห่งคดีตามมาตรา 131(2) ได้ โดยคำพิพากษาในประเด็นแห่งคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่นั้นมีประเด็นเฉพาะเรื่องดอกเบี้ยเพียงว่าโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นเพียงใด หาได้มีประเด็นว่าต้นเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมีเพียงใดไม่ การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าโจทก์ไม่ได้อ้างส่งรายการบัญชีกระแสรายวันในวันที่ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุดลงทำให้ไม่ทราบว่าวันดังกล่าวจำเลยมีหนี้ต้นเงินค้างชำระอยู่เพียงใด จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่นั้น ก็เพื่อให้โจทก์คิดดอกเบี้ยให้ถูกต้องตามสิทธิที่โจทก์มีอยู่ได้ ซึ่งย่อมเป็นธรรมแก่คู่ความทั้งสองฝ่ายหาได้ทำให้จำเลยเสียเปรียบแต่อย่างใดไม่ คำพิพากษาของศาลชั้นต้นจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(3) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1750/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถ ชนกันจนถึงแก่ความตาย ศาลพิจารณาโทษประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายและยกฟ้องความผิดตาม พ.ร.บ.จราจร
จำเลยได้ขับขี่รถมายังที่เกิดเหตุด้วยความเร็วสูง จึงไม่สามารถหยุดรถได้ทันในขณะที่เห็นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์เลี้ยวขวาเข้ามาในทางเดินรถเดียวกันเป็นเหตุให้ชนประสานงากับรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย แม้ผู้ตายจะมีส่วนประมาทที่ไม่ขับรถชิดขอบทางด้านซ้ายของตนหลังจากเลี้ยวขวาแล้วและไม่มองดูทางข้างหน้าให้ปลอดภัย ก็ไม่ใช่เหตุที่จำเลยจะยกขึ้นอ้างเพื่อปัดความรับผิดของจำเลยได้ในเมื่อจำเลยเองก็มีส่วนประมาทอยู่ด้วยที่ขับรถมาด้วยความเร็วสูงมายังบริเวณที่เกิดเหตุซึ่งมีทางแยก จำเลยจึงมีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 291
สำหรับความผิดฐานขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) , 157 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยว่าโจทก์เท่านั้นที่มีอำนาจฟ้อง ส่วนโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจร้องขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในความผิดฐานนี้ได้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องความผิดฐานนี้ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยขับรถโดยประมาทอ้างเหตุว่าจำเลยขับรถผิดช่องทางจราจรอันเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรประการเดียวโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ว่าจำเลยขับรถโดยประมาทอ้างเหตุว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นมาด้วย จึงต้องถือว่าความผิดฐานขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้น แม้คดีจะได้ความว่าจำเลยขับรถโดยประมาทด้วยเหตุขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ศาลฎีกาก็ไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) , 157 ตามคำขอท้ายฟ้องได้ ชอบที่ศาลฎีกาจะต้องพิพากษายกฟ้องความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว
สำหรับความผิดฐานขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) , 157 ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยว่าโจทก์เท่านั้นที่มีอำนาจฟ้อง ส่วนโจทก์ร่วมไม่มีอำนาจร้องขอเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมในความผิดฐานนี้ได้ เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องความผิดฐานนี้ โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยขับรถโดยประมาทอ้างเหตุว่าจำเลยขับรถผิดช่องทางจราจรอันเป็นการฝ่าฝืนกฎจราจรประการเดียวโดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ว่าจำเลยขับรถโดยประมาทอ้างเหตุว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของผู้อื่นมาด้วย จึงต้องถือว่าความผิดฐานขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ดังนั้น แม้คดีจะได้ความว่าจำเลยขับรถโดยประมาทด้วยเหตุขับรถด้วยความเร็วสูงเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่น ศาลฎีกาก็ไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 (4) , 157 ตามคำขอท้ายฟ้องได้ ชอบที่ศาลฎีกาจะต้องพิพากษายกฟ้องความผิดตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1564/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาไม่สมบูรณ์เพราะขาดลายมือชื่อโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องชอบด้วยกฎหมาย
โจทก์ลงลายมือชื่อผู้เรียงและผู้พิมพ์ฟ้องแต่ไม่ได้ลงลายมือชื่อโจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(7) และการที่จะสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องหรือไม่ประทับฟ้องตามมาตรา 161 วรรคหนึ่งก็ล่วงเลยเวลาที่จะปฏิบัติได้ เพราะศาลชั้นต้นได้สั่งประทับฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาจนเสร็จสิ้นคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์แล้ว ศาลอุทธรณ์ย่อมไม่มีวิธีปฏิบัติเป็นประการอื่นนอกจากพิพากษายกฟ้องโจทก์ และมาตรา 161 หาได้เป็นบทบัญญัติซึ่งมิได้กำหนดระยะเวลาให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขฟ้องให้ถูกต้องเสียเมื่อใด ก็ได้ก่อนคดีถึงที่สุดไม่ ทั้งปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยมิได้ยกขึ้นโต้แย้งคัดค้านศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามมาตรา 195 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1564/2546
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องอาญาไม่สมบูรณ์เพราะไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ศาลต้องยกฟ้อง แม้จำเลยไม่โต้แย้ง
ฟ้องโจทก์ปรากฏแต่ลายมือชื่อผู้เรียงและผู้พิมพ์ฟ้องเท่านั้น ไม่ปรากฏลายมือชื่อโจทก์ จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(7)และการที่จะสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องหรือไม่ประทับฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 161 วรรคหนึ่งนั้น ก็ล่วงเลยเวลาที่จะปฏิบัติได้เพราะศาลชั้นต้นได้สั่งประทับฟ้องและดำเนินกระบวนพิจารณาจนเสร็จสิ้นจนคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 1 แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ย่อมไม่มีวิธีปฏิบัติเป็นประการอื่นนอกจากพิพากษายกฟ้องโจทก์ และมาตรา 161 ก็หาได้เป็นบทบัญญัติซึ่งมิได้กำหนดระยะเวลาให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขฟ้องให้ถูกต้องเสียเมื่อใดก็ได้ก่อนคดีถึงที่สุดไม่ ทั้งปัญหาว่าฟ้องโจทก์ที่ไม่มีลายมือชื่อโจทก์เป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นโต้แย้งคัดค้านศาลอุทธรณ์ภาค 1 ก็มีอำนาจยกขึ้นอ้างและวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 739/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เครื่องชั่งผิดอัตรา: หลักฐานฟังไม่ได้ว่าเครื่องชั่งชำรุดจริง ศาลยกฟ้อง
แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามข้อหาที่เจ้าพนักงานผู้จับกุมแจ้งว่ามีและใช้เครื่องชั่งที่ผิดอัตราเพื่อเอาเปรียบในการค้าโดยใต้แท่นเครื่องชั่งของกลางไม่มีแผ่นเหล็กบังคับห่วงคู่ด้านหน้าก็ตาม แต่ผู้จับกุมดังกล่าวไม่มีความชำนาญเกี่ยวกับเครื่องชั่งไม่ทราบว่าเครื่องชั่งของกลางจะมีการดัดแปลงหรือไม่ ทั้ง อ. เจ้าพนักงานชั่ง ตวง วัด ซึ่งเป็นผู้พิสูจน์เครื่องชั่งดังกล่าวก็มิได้ยืนยันว่า การที่ขาดแผ่นเหล็กบังคับห่วงคู่ด้านหน้าจะมีผลทำให้เครื่องชั่งผิดอัตราไป แม้จะปรากฏว่าขอห้อยรองรับตุ้มถ่วงปลายคันชั่งชำรุดอันอาจทำให้ผู้ใช้เครื่องชั่งสามารถเพิ่มหรือลดน้ำหนักที่ขอห้อยได้ตามความต้องการ และมีการพิสูจน์น้ำหนักโดยเทียบกับมาตราตุ้มน้ำหนักมาตรฐาน โดยสอบน้ำหนักขั้นต่าง ๆ แล้วพบว่ามีน้ำหนักเกินมาตรฐานอยู่บ้าง แต่ อ. ก็เบิกความตอบคำถามค้านว่าเครื่องชั่งของกลางได้ผ่านการตรวจสอบให้คำรับรองมาแล้วทั้งขณะที่ตรวจเครื่องชั่งยังไม่มีการเพิ่มหรือลดเครื่องชั่ง เพียงแต่อยู่ในลักษณะที่สามารถเพิ่มหรือลดเครื่องชั่งตามความต้องการของผู้ใช้ กรณีจึงขัดแย้งกับการพิสูจน์น้ำหนักเครื่องชั่งของกลางที่ว่า น้ำหนักเกินมาตรฐานดังกล่าว ส่วนการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าเครื่องชั่งของกลางถูกดัดแปลงแก้ไขนอตยึดแกนล้อถูกเชื่อมพอกให้หนาขึ้นเพื่อเวลาใช้เครื่องชั่งจะทำให้แกนล้อเลื่อนไปมาได้ และทำให้ส่วนที่เชื่อมพอกบนแกนล้อไปหนุนคานรับน้ำหนักใต้แท่นชั่งเมื่อทำการชั่งจะทำให้น้ำหนักที่ชั่งได้ไม่ตรงตามมาตรฐานที่ทางราชการเคยรับรองไว้โดยจะชั่งน้ำหนักได้น้อยกว่าความจริงนั้น ในชั้นพิจารณาโจทก์ก็ไม่มีพยานปากใดเบิกความถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว ฉะนั้น การที่เครื่องชั่งของกลางมีขอห้อยรองรับตุ้มถ่วงปลายคันชั่งชำรุด แม้จะทำให้เครื่องชั่งอยู่ในลักษณะที่จะเพิ่มหรือลดเครื่องชั่งได้ตามความต้องการของผู้ใช้ ก็จะสันนิษฐานให้เป็นผลร้ายว่า จำเลยที่ 1ใช้เครื่องชั่งให้ผิดอัตราไปในทางเพิ่มหรือลดเครื่องชั่งไม่ได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่าเครื่องชั่งของกลางเป็นเครื่องชั่งที่ผิดอัตรา
เมื่อฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัดฯ จึงไม่อาจยึดเครื่องชั่ง ตุ้มน้ำหนักและคานแขวนลูกตุ้มของกลางตามมาตรา 38 ได้ทั้งของกลางดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดและมิใช่ทรัพย์สินซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33
เมื่อฟังไม่ได้ว่ามีการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติมาตราชั่ง ตวง วัดฯ จึงไม่อาจยึดเครื่องชั่ง ตุ้มน้ำหนักและคานแขวนลูกตุ้มของกลางตามมาตรา 38 ได้ทั้งของกลางดังกล่าวไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดและมิใช่ทรัพย์สินซึ่งได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำความผิด จึงไม่อาจริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6403/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จ, ฟ้องเท็จ, การจับกุม, และการไต่สวนมูลฟ้อง: ศาลพิพากษายกฟ้องเนื่องจากพยานหลักฐานเพียงพอ
พฤติการณ์ของโจทก์ทั้งสามเกี่ยวกับการทำสัญญาจะขายที่ดินแก่จำเลยที่ 1 มีเหตุทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจได้ว่าโจทก์ทั้งสามร่วมกันหลอกลวงจำเลยที่ 1 ทั้งข้อความที่จำเลยที่ 1 แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนก็เป็นการแจ้งข้อความไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีมูลความผิดฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา และการที่จำเลยที่ 1 เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องโจทก์ทั้งสามเป็นจำเลยในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ย่อมไม่มีมูลความผิดฐานฟ้องเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาเช่นกัน
เมื่อจำเลยที่ 1 แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสามในข้อหาฉ้อโกง และตามคำแจ้งความร้องทุกข์ของจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ต่าง ๆ ให้เข้าใจได้ว่าโจทก์ทั้งสามร่วมกระทำความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 3 ในฐานะพนักงานสอบสวนรับคำร้องทุกข์ได้ดำเนินการและเมื่อสอบสวนแล้วได้ทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้อง จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจของจำเลยที่ 3 ในฐานะพนักงานสอบสวนที่จะกระทำได้โดยชอบ ส่วนการออกหมายจับโจทก์ทั้งสามนั้นก็เป็นการออกหมายจับหลังจากที่โจทก์ทั้งสามไม่ไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกหลายครั้ง กรณีจึงมีเหตุที่จะออกหมายจับโจทก์ทั้งสามได้ ในการขอออกหมายจับ กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2541 เห็นชอบให้ออกหมายจับโจทก์ที่ 1 ถ้าโจทก์ที่ 1 มิได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินภายในวันที่ 7 กรกฎาคม 2541 ส่วนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ให้สอบสวนต่อไป การที่ต่อมาวันที่ 31 มีนาคม 2542 ซึ่งเป็นเวลาที่โจทก์ที่ 1 ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลที่เกิดเหตุได้ออกหมายจับโจทก์ทั้งสาม จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือผิดระเบียบข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทยดังที่โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้าง การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีมูลความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
การจับโจทก์ที่ 1 ที่บ้านโดยมีหมายจับของเจ้าพนักงานตำรวจและหมายค้นของศาล ทั้งพฤติการณ์ในการตรวจค้นจับกุมก็ปรากฏว่า เจ้าพนักงานตำรวจไปที่บ้านโจทก์ที่ 1 เวลา 18.02 นาฬิกา เมื่อแสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและแสดงหมายค้น โจทก์ที่ 1 ซึ่งยืนอยู่บริเวณด้านในรั้วบ้านได้ปิดล็อกกุญแจรั้วหน้าบ้านแล้ววิ่งหนีเข้าบ้านไปปิดล็อกกุญแจบ้านด้านในอีกชั้นหนึ่งและไม่ยอมเปิดประตูโดยอ้างว่าจะไปมอบตัวในวันหลัง แสดงว่าโจทก์ที่ 1 ไม่ยอมให้เจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปจับกุม การที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปใช้ไม้กระแทกประตูบ้านที่ปิดล็อกกุญแจด้านในไว้จนเปิดออกแล้ว เข้าไปจับโจทก์ที่ 1 จึงเป็นกรณีจำเป็นซึ่งเจ้าพนักงาานตำรวจผู้จัดการตามหมายค้นมีอำนาจกระทำได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 94 วรรคสอง
โจทก์ทั้งสามถูกจับกุมไปที่สถานีตำรวจเมื่อเวลา 23 นาฬิกา เมื่อไปถึง พนักงานสอบสวนซึ่งรับตัวโจทก์ที่ 1 ย่อมจะต้องทำการสอบสวนและทำประวัติโจทก์ที่ 1 กับโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งถูกจับกุมในเวลาต่อมา อีกทั้งในการสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวของโจทก์ทั้งสามยังจะต้องพิจารณาข้อกล่าวหา พยานหลักฐาน พฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีและความน่าเชื่อถือของหลักประกันด้วย ซึ่งจะต้องใช้เวลาตามสมควร การที่เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินการต่าง ๆ ดังกล่าวโดยใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง จึงสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโจทก์ทั้งสามเช่นนี้เป็นการใช้เวลาตามสมควรแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีมูลความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ป.วิ.อ. มาตรา 15 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 104 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น เมื่อปรากฏว่าจากคำเบิกความของโจทก์ที่ 1 ซึ่งแม้จะเบิกความยังไม่จบคำถามค้านของทนายจำเลย ประกอบพยานเอกสารที่คู่ความทั้งสองฝ่ายอ้างส่งศาล ข้อเท็จจริงพอที่จะวินิจฉัยได้แล้ว คดีจึงไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องอีกต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการไต่สวนมูลฟ้อง และศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว
เมื่อจำเลยที่ 1 แจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ทั้งสามในข้อหาฉ้อโกง และตามคำแจ้งความร้องทุกข์ของจำเลยที่ 1 มีพฤติการณ์ต่าง ๆ ให้เข้าใจได้ว่าโจทก์ทั้งสามร่วมกระทำความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 3 ในฐานะพนักงานสอบสวนรับคำร้องทุกข์ได้ดำเนินการและเมื่อสอบสวนแล้วได้ทำความเห็นว่าควรสั่งฟ้อง จึงเป็นเรื่องที่อยู่ในดุลพินิจของจำเลยที่ 3 ในฐานะพนักงานสอบสวนที่จะกระทำได้โดยชอบ ส่วนการออกหมายจับโจทก์ทั้งสามนั้นก็เป็นการออกหมายจับหลังจากที่โจทก์ทั้งสามไม่ไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกหลายครั้ง กรณีจึงมีเหตุที่จะออกหมายจับโจทก์ทั้งสามได้ ในการขอออกหมายจับ กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งลงวันที่ 1 กรกฎาคม 2541 เห็นชอบให้ออกหมายจับโจทก์ที่ 1 ถ้าโจทก์ที่ 1 มิได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินภายในวันที่ 7 กรกฎาคม 2541 ส่วนโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ให้สอบสวนต่อไป การที่ต่อมาวันที่ 31 มีนาคม 2542 ซึ่งเป็นเวลาที่โจทก์ที่ 1 ยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลที่เกิดเหตุได้ออกหมายจับโจทก์ทั้งสาม จึงไม่เป็นการฝ่าฝืนหรือผิดระเบียบข้อบังคับของกระทรวงมหาดไทยดังที่โจทก์ทั้งสามกล่าวอ้าง การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีมูลความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
การจับโจทก์ที่ 1 ที่บ้านโดยมีหมายจับของเจ้าพนักงานตำรวจและหมายค้นของศาล ทั้งพฤติการณ์ในการตรวจค้นจับกุมก็ปรากฏว่า เจ้าพนักงานตำรวจไปที่บ้านโจทก์ที่ 1 เวลา 18.02 นาฬิกา เมื่อแสดงตัวว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและแสดงหมายค้น โจทก์ที่ 1 ซึ่งยืนอยู่บริเวณด้านในรั้วบ้านได้ปิดล็อกกุญแจรั้วหน้าบ้านแล้ววิ่งหนีเข้าบ้านไปปิดล็อกกุญแจบ้านด้านในอีกชั้นหนึ่งและไม่ยอมเปิดประตูโดยอ้างว่าจะไปมอบตัวในวันหลัง แสดงว่าโจทก์ที่ 1 ไม่ยอมให้เจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปจับกุม การที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าไปใช้ไม้กระแทกประตูบ้านที่ปิดล็อกกุญแจด้านในไว้จนเปิดออกแล้ว เข้าไปจับโจทก์ที่ 1 จึงเป็นกรณีจำเป็นซึ่งเจ้าพนักงาานตำรวจผู้จัดการตามหมายค้นมีอำนาจกระทำได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 94 วรรคสอง
โจทก์ทั้งสามถูกจับกุมไปที่สถานีตำรวจเมื่อเวลา 23 นาฬิกา เมื่อไปถึง พนักงานสอบสวนซึ่งรับตัวโจทก์ที่ 1 ย่อมจะต้องทำการสอบสวนและทำประวัติโจทก์ที่ 1 กับโจทก์ที่ 2 และที่ 3 ซึ่งถูกจับกุมในเวลาต่อมา อีกทั้งในการสั่งคำร้องขอปล่อยชั่วคราวของโจทก์ทั้งสามยังจะต้องพิจารณาข้อกล่าวหา พยานหลักฐาน พฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีและความน่าเชื่อถือของหลักประกันด้วย ซึ่งจะต้องใช้เวลาตามสมควร การที่เจ้าพนักงานตำรวจดำเนินการต่าง ๆ ดังกล่าวโดยใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง จึงสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโจทก์ทั้งสามเช่นนี้เป็นการใช้เวลาตามสมควรแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่มีมูลความผิดฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ป.วิ.อ. มาตรา 15 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 104 บัญญัติให้ศาลมีอำนาจเต็มที่ในอันที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบมานั้นเป็นอันเพียงพอให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น เมื่อปรากฏว่าจากคำเบิกความของโจทก์ที่ 1 ซึ่งแม้จะเบิกความยังไม่จบคำถามค้านของทนายจำเลย ประกอบพยานเอกสารที่คู่ความทั้งสองฝ่ายอ้างส่งศาล ข้อเท็จจริงพอที่จะวินิจฉัยได้แล้ว คดีจึงไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องอีกต่อไป ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดการไต่สวนมูลฟ้อง และศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องมานั้นชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6039/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การวินิจฉัยนอกประเด็นฟ้อง และผลของการยกฟ้องในคดีสัญญาซื้อขาย
โจทก์บรรยายคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาเพราะเหตุไม่สามารถจัดหาสถาบันการเงินมารับจดทะเบียนจำนองชุดได้ ส่วนจำเลยที่ 1 ให้การว่า ข้อตกลงในสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดเรื่องการขอกู้เงินจากสถาบันการเงิน เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 อำนวยความสะดวกและเป็นผู้ประสานงานระหว่างโจทก์กับสถาบันการเงินเท่านั้น สถาบันการเงินจะอนุมัติให้โจทก์กู้เงินหรือไม่ต้องเป็นไปตามระเบียบและเงื่อนไขของสถาบันการเงินนั้น ๆ ดังนี้ตามคำฟ้องและคำให้การจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดเพราะเหตุไม่จัดสถาบันการเงินให้โจทก์กู้มาชำระให้แก่จำเลยที่ 1 ในงวดสุดท้ายหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเลยไปถึงประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 1 จะมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและริบเงินที่โจทก์ชำระทั้งหมดได้นั้น จำเลยที่ 1 จะต้องมีหนังสือแจ้งกำหนดเวลาให้โจทก์ชำระหนี้ไม่น้อยกว่า 7 วัน และการที่โจทก์บอกเลิกสัญญาและหลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว จำเลยที่ 1 นำห้องชุดพิพาทไปประมูลขาย ถือว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดโดยปริยาย จำเลยที่ 1 ต้องให้โจทก์กลับสู่ฐานะเดิมและต้องคืนเงินที่จำเลยที่ 1 รับไว้แก่โจทก์ คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าวถือว่าเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นที่โจทก์บรรยายฟ้องไม่ชอบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ถือได้ว่าไม่มีประเด็นที่ว่ากล่าวมาแล้วใน ศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยแล้วพิพากษายืนก็ตาม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 576-577/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาพิพากษายืนลงโทษจำเลยที่ 1-4 แก้เป็นยกฟ้องจำเลยที่ 5-6 และคืนของกลาง
คำให้การชั้นสอบสวนของพยานโจทก์กระทำขึ้นหลังเกิดเหตุไม่นาน ระบุเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียดเป็นขั้นตอนสอดคล้องต้องกันเริ่มตั้งแต่สาเหตุที่เกิดเรื่องจนกระทั่งผู้ตายทั้งสามถูกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกรุมทำร้ายจนสลบแล้วนำตัวขึ้นรถยนต์ปิกอัพออกไปจากที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะ ว. เป็นพยานคนกลางที่ให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนหลังเกิดเหตุเพียง 2 วัน และเป็นเวลาก่อนที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 4จะเข้ามอบตัว ย่อมไม่มีเวลาที่จะคิดไตร่ตรองเพื่อปรักปรำหรือช่วยเหลือฝ่ายใด ส่วน พ. และ ส. ที่มาให้การหลังเกิดเหตุประมาณ 20 วันก็เพราะนายจ้างสั่งห้ามไว้และกลัวจะเกิดอันตรายแก่ตนเนื่องจากจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานตำรวจ จึงไม่ถือเป็นข้อพิรุธ แม้ในชั้นพิจารณาพยานเหล่านี้จะเบิกความถึงข้อความที่ระบุในคำให้การชั้นสอบสวนว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นผู้ร่วมทำร้ายผู้ตายทั้งสามนั้นพนักงานสอบสวนเป็นผู้ทำขึ้นเอง พยานมิได้ให้การเช่นนั้นก็เป็นการเบิกความเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 มากกว่า เพราะการสอบสวนได้กระทำและควบคุมโดยนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายนายขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของพนักงานสอบสวนโดยตรง จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่พนักงานสอบสวนและผู้ควบคุมจะสร้างพยานหลักฐานขึ้นมาเพื่อกลั่นแกล้งปรักปรำผู้ใต้บังคับบัญชา ดังนั้น คำให้การชั้นสอบสวนของพยานเหล่านี้ที่เกี่ยวกับตัวจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 จึงน่าจะเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณา ทั้งจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 ก็นำสืบรับว่าขณะเกิดเหตุทั้งสี่คนได้อยู่ในที่เกิดเหตุด้วยแต่ไม่มีส่วนร่วมทำร้ายผู้ตายทั้งสามเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 เป็นคนร้ายร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายผู้ตายทั้งสามจนสลบแล้วนำร่างของผู้ตายทั้งสามใส่รถยนต์ปิกอัพขับออกไป และแม้ขณะที่ผู้ตายทั้งสามถูกฆ่าจะไม่มีพยานผู้ใดรู้เห็น แต่จากพฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4ที่นำร่างผู้ตายทั้งสามใส่รถยนต์ปิกอัพขับออกไป ต่อมารุ่งเช้ามีผู้พบศพผู้ตายทั้งสามจมน้ำอยู่ในร่องสวนซึ่งมีระยะห่างจากจุดที่นำร่างผู้ตายทั้งสามขึ้นรถยนต์ปิกอัพไม่กี่ชั่วโมง ย่อมเป็นการชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1ถึงที่ 4 กับพวกเป็นผู้ร่วมกันฆ่าผู้ตายทั้งสามจริง
ผู้ตายทั้งสามมีบาดแผลที่บริเวณศีรษะเป็นจำนวนมาก บาดแผลส่วนใหญ่เกิดจากการถูกตีด้วยของแข็งมีน้ำหนักมากจนกะโหลกศีรษะของแต่ละคนแตกกระจายทั่วไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีเนื้อสมองออกมาจากบาดแผล และพบเศษดินโคลนและน้ำในหลอดลม แพทย์ลงความเห็นว่าผู้ตายทั้งสามตายเนื่องจากสมองถูกทำลายจากของแข็งกระทบกระแทกและขาดอากาศหายใจจากการจมน้ำ ชี้ให้เห็นว่าก่อนที่ผู้ตายทั้งสามจะตายได้ถูกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกใช้ของแข็งไม่มีคมทุบตีที่บริเวณศีรษะอย่างรุนแรงหลายครั้งอย่างโหดเหี้ยมจนกะโหลกศีรษะแตกกระจายเนื้อสมองไหลออกมาจากบาดแผล หลังจากนั้นยังถูกนำไปทิ้งน้ำทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกมีเจตนาฆ่าผู้ตายทั้งสามโดยการทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) ประกอบด้วยมาตรา 83
ผู้ตายทั้งสามมีบาดแผลที่บริเวณศีรษะเป็นจำนวนมาก บาดแผลส่วนใหญ่เกิดจากการถูกตีด้วยของแข็งมีน้ำหนักมากจนกะโหลกศีรษะของแต่ละคนแตกกระจายทั่วไปเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีเนื้อสมองออกมาจากบาดแผล และพบเศษดินโคลนและน้ำในหลอดลม แพทย์ลงความเห็นว่าผู้ตายทั้งสามตายเนื่องจากสมองถูกทำลายจากของแข็งกระทบกระแทกและขาดอากาศหายใจจากการจมน้ำ ชี้ให้เห็นว่าก่อนที่ผู้ตายทั้งสามจะตายได้ถูกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกใช้ของแข็งไม่มีคมทุบตีที่บริเวณศีรษะอย่างรุนแรงหลายครั้งอย่างโหดเหี้ยมจนกะโหลกศีรษะแตกกระจายเนื้อสมองไหลออกมาจากบาดแผล หลังจากนั้นยังถูกนำไปทิ้งน้ำทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ แสดงว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 กับพวกมีเจตนาฆ่าผู้ตายทั้งสามโดยการทรมานหรือกระทำทารุณโหดร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(5) ประกอบด้วยมาตรา 83