พบผลลัพธ์ทั้งหมด 69 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1448/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่ชัดแจ้งสภาพแห่งข้อหา ขาดรายละเอียดค่าใช้จ่าย ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา เป็นฟ้องเคลือบคลุม
สัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า "ถ้าปรากฏขึ้นเมื่อใดว่าผู้ได้รับทุนนี้ตกเป็นผู้ผิดสัญญาหรือกระทำการใด ๆ อันนำความเสียหายหรือด้วยประการใด ๆ จนผู้รับทุนตกเป็นลูกหนี้แก่รัฐบาล หรือแก่กรมการแพทย์ผู้รับสัญญา จะเป็นโดยสัญญาหรือโดยเหตุใด ๆ ก็ตาม ข้าพเจ้า (จำเลย)ขอให้สัญญาไว้แก่กรมการแพทย์ผู้รับสัญญาว่าข้าพเจ้า (จำเลย)ยอมรับชดใช้เงินที่ตกเป็นลูกหนี้ดังกล่าวแทนผู้ได้รับทุนรายนี้ทั้งสิ้น ฯลฯ" โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดคือเงินทุนที่ผู้รับทุนได้รับไปตามแผนโคลัมโบที่รัฐบาลแคนาดาให้แก่รัฐบาลไทยซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของรัฐบาลแคนาดาเกี่ยวกับรายการฝึกอบรมของผู้รับทุนเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 247,943.01 บาท โดยมิได้แสดงรายละเอียดว่าค่าใช้จ่ายนั้นเป็นค่าอะไรบ้าง แต่ละอย่างจำนวนเท่าใด อันเป็นสารสำคัญที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี จำเลยย่อมไม่ทราบว่าค่าใช้จ่ายนั้นเป็นค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เพราะจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันมิใช่เป็นผู้รับทุน เมื่อจำเลยไม่เข้าใจข้อหาย่อมไม่อาจให้การต่อสู้ได้ ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่มิได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหา ขาดข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องเคลือบคลุม (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 14/2521)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม – การบรรยายรายละเอียดสภาพแห่งข้อหาไม่ชัดเจน ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าบำเหน็จจากจำเลย โดยบรรยายว่า โจทก์ทำการเป็นตัวแทนนายหน้าขายรถแทร็คเตอร์และอุปกรณ์เป็นเงินสด 628,512 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้โจทก์ร้อยละ 12 เป็นเงิน 75,421.64 บาท และโจทก์เป็นนายหน้าจัดหาผู้เช่าซื้อเข้าทำสัญญาเช่าซื้อรถแทร็คเตอร์และอุปกรณ์จากจำเลยหลายรายรวมเป็นค่าเช่าซื้อ 316,759.60 บาท รวมค่าบำเหน็จนายหน้าทั้งสิ้น 392,181.24 บาท จำเลยชำระให้บ้างแล้วยังค้างอยู่อีก 265,149.64 บาท มิได้บรรยายรายละเอียดโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่า โจทก์ได้กระทำการเป็นตัวแทนขายให้แก่จำเลยตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน โจทก์ได้จัดการชี้ช่องให้ผู้ใดมาเป็นผู้เช่าซื้อรถแทร็คเตอร์และอุปกรณ์ ทำสัญญากันเมื่อใด จำนวนรถกี่คัน ราคาคันละเท่าใด บุคคลใดเป็นผู้เช่าซื้อด้วยราคาเท่าใดและโจทก์ได้เก็บเงินค่าเช่าซื้อส่งมอบให้แก่จำเลยแล้วเท่าใด ทำให้จำเลยเสียเปรียบและต่อสู้คดีได้ไม่ถูกต้องและครบถ้วน เป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องเคลือบคลุม – การบรรยายรายละเอียดสภาพแห่งข้อหาไม่ชัดเจน ทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี
โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าบำเหน็จจากจำเลยโดยบรรยายว่าโจทก์ทำการเป็นตัวแทนนายหน้าขายรถแทร็คเตอร์และอุปกรณ์เป็นเงินสด 628,512 บาทซึ่งจำเลยจะต้องจ่ายค่าบำเหน็จให้โจทก์ร้อยละ 12 เป็นเงิน 75,421.64 บาทและโจทก์เป็นนายหน้าจัดหาผู้เช่าซื้อเข้าทำสัญญาเช่าซื้อรถแทร็คเตอร์และอุปกรณ์จากจำเลยหลายรายรวมเป็นค่าเช่าซื้อ 316,759.60 บาท รวมค่าบำเหน็จนายหน้าทั้งสิ้น 392,181.24 บาท จำเลยชำระให้บ้างแล้วยังค้างอยู่อีก 265,149.64 บาท มิได้บรรยายรายละเอียดโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่า โจทก์ได้กระทำการเป็นตัวแทนขายให้แก่จำเลยตั้งแต่วันไหนถึงวันไหน ขายรถให้ใครกี่คัน ราคาคันละเท่าใดผู้ซื้อได้ชำระราคาให้แก่จำเลยครบถ้วนแล้วหรือไม่ โจทก์ได้จัดการชี้ช่องให้ผู้ใดมาเป็นผู้เช่าซื้อรถแทร็คเตอร์และอุปกรณ์ ทำสัญญากันเมื่อใด จำนวนรถกี่คัน ราคาคันละเท่าใดบุคคลใดเป็นผู้เช่าซื้อด้วยราคาเท่าใดและโจทก์ได้เก็บเงินค่าเช่าซื้อส่งมอบให้แก่จำเลยแล้วเท่าใด ทำให้จำเลยเสียเปรียบและต่อสู้คดีได้ไม่ถูกต้องและครบถ้วนเป็นฟ้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-สภาพแห่งข้อหาต่างกัน แม้คำขอบังคับเหมือนกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีแรก โจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวอ้างว่าจำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจฉบับปลอมไปทำการโอนที่พิพาทเป็นของจำเลย คดีนี้ โจทก์ฟ้องอ้างว่าหลังจากฟ้องคดีแรกแล้วโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยจำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ยอมยกหนี้สินให้จำเลยและยอมถอนฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยอยู่ โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาแล้ว แต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีจึงต่างกัน แม้คำขอบังคับจะเป็นการให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เช่นเดียวกัน ก็มิใช่คำฟ้องเรื่องเดียวกัน ฟ้องของโจทก์ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-สัญญาประนีประนอม: แม้คำขอบังคับเหมือนกัน แต่สภาพแห่งข้อหาต่างกัน ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีแรกโจทก์ฟ้องจำเลยกล่าวอ้างว่า จำเลยใช้หนังสือมอบอำนาจฉบับปลอมไปทำการโอนที่พิพาทเป็นของจำเลยคดีหลังโจทก์อ้างว่าหลังจากฟ้องคดีแรกแล้ว โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยตกลงโอนที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์ยอมยกหนี้สินให้จำเลยและยอมถอนฟ้องคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยอยู่ โจทก์ปฏิบัติตามสัญญาแล้วแต่จำเลยไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ดังนี้ สภาพแห่งข้อหาของโจทก์ทั้งสองคดีจึงต่างกัน แม้คำขอบังคับจะเป็นการให้จำเลยโอนที่พิพาทให้โจทก์เช่นเดียวกัน ก็มิใช่คำฟ้องเรื่องเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีหลังไม่ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา173
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2692/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งไม่จำเป็นต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมาย แต่ต้องแจ้งชัดถึงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ
การบรรยายฟ้องคดีแพ่งนั้นไม่จำต้องใช้ถ้อยคำตามกฎหมายเสมอไป
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมา โดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่ โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
โจทก์บรรยายฟ้องเป็นใจความว่า จำเลยได้เช่าที่ดินจากบิดาโจทก์ เมื่อบิดามารดาโจทก์ถึงแก่กรรมแล้ว โจทก์ได้รับมรดกที่ดินนั้นและให้จำเลยเช่าต่อมา โดยไม่มีกำหนดเวลาเช่า โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยเช่าต่อไป และได้บอกเลิกสัญญาเช่าให้จำเลยรื้อห้องแถวออกไปจากที่ดินที่เช่าแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉยยังคงอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีข้ออ้างตามกฎหมายที่จะอยู่ได้ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดแล้วว่าสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์มีว่าอย่างไร และโจทก์อ้างอะไรเป็นหลักแห่งข้อหา แม้โจทก์มิได้ใช้ถ้อยคำในบทกฎหมายว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ แต่ก็เข้าใจได้จากคำฟ้องของโจทก์ว่าเมื่อสัญญาเช่าระงับไปเพราะการบอกเลิกโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว จำเลยยังคงครอบครองทรัพย์สินของโจทก์อยู่ โดยไม่มีสิทธิอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการจงใจกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมายให้โจทก์เสียหาย คำฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2635/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้ไม่ได้ระบุรายละเอียดการบุกรุก หากแสดงสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับชัดเจน
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลย 1 แปลงอยู่หมู่ที่ 1ตำบลหัวเมือง อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ต่อมาจำเลยเข้ายื้อแย่งบุกรุกทำกินโดยพลการ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ขับไล่ห้ามมิให้เกี่ยวข้อง และเรียกค่าเสียหายนั้น เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ไม่จำต้องบรรยายว่าบุกรุกยื้อแย่งที่ตรงไหน เป็นเนื้อที่เท่าใด และมาทำอะไรกินซึ่งเป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบภายหลังได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1018/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องร้องเรียกเงินกู้และดอกเบี้ย: การแสดงสภาพแห่งข้อหาในคำฟ้อง และการพิสูจน์ข้อตกลง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2507 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ไป 3,000 บาท อัตราชั่งละ 1 บาทต่อเดือน โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองทำหนังสือสัญญาให้โจทก์ไว้ตามสำเนาท้ายฟ้องจำเลยผิดนัดค้างส่งดอกเบี้ยตลอดมา โจทก์ทวงถามก็ไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินต้นและดอกเบี้ย 4,440 บาทพร้อมกับดอกเบี้ยชั่งละ 1 บาทต่อเดือนคิดจากเงินต้น 3,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ใช้แทน และยังปรากฏตามสัญญาข้อ 4 และข้อ 6 ด้วยว่า "ข้าพเจ้ายอมให้ดอกเบี้ยชั่งละบาทต่อเดือนแก่ท่านทุกเดือนไปจนกว่าจะนำเงินต้นส่งให้แก่ท่านจนครบจำนวน แม้ข้าพเจ้าประพฤติผิดสัญญานี้แต่ข้อหนึ่งข้อใดก็ดีข้าพเจ้ายอมให้ท่านฟ้องเรียกเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ข้าพเจ้าตามกฎหมาย" ดังนี้ ฟังได้ว่าฟ้องโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่า จำเลยผิดนัดตามสัญญากู้ที่โจทก์อ้างเป็นหลักแห่งข้อหานั้นแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1018/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุม สัญญาที่ไม่ชัดเจน การแสดงเจตนาทำสัญญา และการพิสูจน์สภาพแห่งข้อหา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2507 จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์ไป 3,000 บาท อัตราชั่งละ 1 บาทต่อเดือน โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน จำเลยทั้งสองทำหนังสือสัญญาให้โจทก์ไว้ตามสำเนาท้ายฟ้องจำเลยผิดนัดค้างส่งดอกเบี้ยตลอดมา โจทก์ทวงถามก็ไม่ชำระ ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ 1 ใช้เงินต้นและดอกเบี้ย 4,440 บาทพร้อมกับดอกเบี้ยชั่งละ 1 บาทต่อเดือนคิดจากเงินต้น 3,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเงินเสร็จหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระให้จำเลยที่ 2 ใช้แทน และยังปรากฏตามสัญญาข้อ 4 และข้อ 6 ด้วยว่า 'ข้าพเจ้ายอมให้ดอกเบี้ยชั่งละบาทต่อเดือนแก่ท่านทุกเดือนไปจนกว่าจะนำเงินต้นส่งให้แก่ท่านจนครบจำนวน แม้ข้าพเจ้าประพฤติผิดสัญญานี้แต่ข้อหนึ่งข้อใดก็ดี ข้าพเจ้ายอมให้ท่านฟ้องเรียกเงินต้นและดอกเบี้ยแก่ข้าพเจ้าตามกฎหมาย' ดังนี้ ฟังได้ว่าฟ้องโจทก์แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาว่า จำเลยผิดนัดตามสัญญากู้ที่โจทก์อ้างเป็นหลักแห่งข้อหานั้นแล้ว ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 981/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความรับผิดทางละเมิดจากความประมาทเลินเล่อ จำเป็นต้องระบุสภาพแห่งข้อหาที่ชัดเจน
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า 'จ. กับจำเลยที่ 1 ได้ตกลงจ้างและรับจ้างทำการขนปอฟอกจากโกดังไปยังเรือเดินสมุทร โดยความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ในเรือฉลอมได้ทำให้เกิดเพลิงไหม้ปอฟอก จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นนายจ้างและลูกจ้างผู้ควบคุมเรือต้องร่วมกันรับผิดในความเสียหายของปอ' ดังนี้ เป็นฟ้องที่มีข้ออ้างให้จำเลยต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 เท่านั้น ไม่มีข้ออ้างให้จำเลยต้องรับผิดตามมาตรา 616 ด้วย