คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สัญชาติ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 123 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119-1120/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างพนักงานรัฐวิสาหกิจเนื่องจากสัญชาติไทย ค่าชดเชย อายุความ และดอกเบี้ย
ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯ ข้อ 46 และ 47 ไม่มีข้อความยกเว้นไว้เป็นกรณีพิเศษมิให้ถือว่าการที่พนักงานรัฐวิสาหกิจต้องออกจากงาน เพราะเหตุม่มีสัญชาติไทยอันเป็นการขาดคุณสมบัติตามข้อบังคับหรือระเบียบมิใช่เป็นการเลิกจ้าง เมื่อนายจ้างสั่งให้ลูกจ้างพ้นจากสภาพความเป็นลูกจ้างเพราะเหตุดังกล่าว จึงต้องถือว่าเป็นการเลิกจ้างอันจะต้องจ่ายค่าชดเชย จำเลยเป็นรัฐวิสาหกิจซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแสวงกำไรจึงมิใช่กิจการทีได้รับยกเว้นมิให้ใช้บังคับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน
ค่าชดเชยเป็นสิทธิของลูกจ้างที่จะได้รับตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานเมื่อกฎหมายมิได้กำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น จึงต้องใช้อายุความตามหลักทั่วไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือ มีกำหนด 10 ปี
ค่าชดเชยเป็นเงินที่นายจ้างต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างตามกฎหมายเมื่อเลิกจ้างเมื่อไม่จ่ายต้องถือว่าผิดนัดนับแต่วันเลิกจ้างโดยมิพักต้องทวงถาม และค่าชดเชยเป็นหนี้เงินเมื่อผิดนัดจึงต้องเสียดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนคำสั่งถอนสัญชาติ: จำเลยที่ 1 ไม่เป็นคู่ความ ศาลไม่อาจบังคับตามคำขอ
โจทก์ฟ้อง ก. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นจำเลยที่ 1 และม.อธิบดีกรมตำรวจเป็นจำเลยที่ 2 ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งของจำเลยที่ 1 ที่ให้ถอนสัญชาติไทยของโจทก์เป็นคำสั่งที่มิชอบด้วยกฎหมายและให้เพิกถอนเสีย ศาลชั้นต้นรับฟ้องเฉพาะเกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ไม่รับฟ้องที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 คำสั่งศาลชั้นต้นถึงที่สุด ดังนี้ คำสั่งถอนสัญชาติของโจทก์เป็นคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรงมหาดไทย แต่คดีคงมีจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นอธิบดีกรมตำรวจเป็นจำเลยแต่ผู้เดียว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมิได้เป็นคู่ความด้วย ไม่มีโอกาสโต้แย้งข้อกล่าวหาของโจทก์ ศาลจึงจะพิพากษาว่าคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมิชอบด้วยกฎหมายและให้เพิกถอนเสียตามคำขอของโจทก์หาได้ไม่ แม้จะสืบพยานต่อไปและข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการถอนสัญชาติด้วย และเป็นผู้เสนอต่อคณะกรรมการถอนสัญชาติว่าควรถอนสัญชาติไทยของโจทก์โดยมิได้สืบสวนข้อเท็จจริงก่อน ก็หาเป็นเหตุให้ศาลอาจพิพากษาบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ไม่ คดีจึงไม่ต้องสืบพยานต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3078/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฐานะนิติบุคคลของหน่วยงานราชการ และการฟ้องคดีสัญชาติ: ศาลฎีกายกฟ้องเนื่องจากจำเลยไม่มีอำนาจฟ้องและพิพากษาเรื่องสัญชาติไม่ได้
ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218 ข้อ 5 กำหนดให้กรมตำรวจมีฐานเป็นนิติบุคคล แต่การแบ่งส่วนราชการในกรมตำรวจออกเป็นกองตามข้อ 31 มิได้กำหนดให้มีฐานะเป็นนิติบุคคล กองตรวจคนเข้าเมืองจำเลยที่ 2 จึงไม่อาจถูกฟ้องเป็นจำเลยในศาลได้แม้จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้ แต่เป็นกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5)
หนังสือของเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้ามืองที่โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนเป็นหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องของโจทก์ ซึ่งโจทก์ขอเป็นคนเข้าเมืองเพื่อมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยได้ โดยเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองแจ้งว่า ได้นำเรื่องเสนอกรมตำรวจพิจารณาแล้ว มีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์เป็นคนเข้าเมืองตามคำร้องขอและแจ้งไปด้วยว่าให้โจทก์รีบเดินทางกลับออกไปนอกราชอาณาจักรโดยด่วน ดังนี้ เท่ากับเป็นการเตือนให้โจทก์ทราบในฐานะที่โจทก์เป็นผู้ถือหนังสือเดินทางของประเทศอื่น และได้รับอนุญาตให้เข้ามาอยู่ในประเทศไทยชั่วคราว ยังถือไม่ได้ว่าเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ เพราะโจทก์ยังมิได้อ้างต่อเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมืองเลยว่าโจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทยและมีสิทธิจะอยู่ในราชอาณาจักรได้ในฐานะที่เป็นคนไทย พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 มาตรา 43 ซึ่งใช้อยู่ในขณะโจทก์เดินทางเข้ามาในประเทศไทย เปิดโอกาสให้โจทก์ยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่หรือร้องขอต่อศาล แต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ใช้สิทธิยื่นขอพิสูจน์สัญชาติต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงยังถือไม่ได้ว่าพนักงานเจ้าหน้าที่หรือกรมตำรวจ จำเลยที่ 1 โต้แย้งเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติของโจทก์ และการที่โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ก็จะถือว่ามีลักษณะเป็นการร้องขอพิสูจน์สัญชาติต่อศาลไม่ได้ จึงไม่อาจวินิจฉัยเรื่องสัญชาติของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเกิดในไทยและสัญชาติ: การเสียสัญชาติด้วยการถือเอกสารคนต่างด้าว
ผู้ร้องเกิดในประเทศไทย จึงได้สัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2408 มาตรา 7(3) การที่ผู้ร้องซึ่งมีสัญชาติเป็นไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทย โดยมีบิดาเป็นคนต่างด้าว จะเสียสัญชาติไทยตามความในมาตรา 21 ก็ต่อเมื่อได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนคนต่างด้าวแล้ว แม้ผู้ร้องได้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักรโดยขอรับใบแสดงหลักฐานการแจ้งออกเพื่อเข้ามาในราชอาณาจักร (แบบ ต.ม.1) ซึ่งเป็นแบบที่เจ้าหน้าที่จะออกให้แก่ผู้ขอที่เป็นคนต่างด้าว แต่เอกสารดังกล่าวนี้หาใช่ใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวตามกฎหมายว่าด้วยการกระทำคนต่างด้าวไม่ ผู้ร้องจึงไม่เสียสัญชาติไทย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 895/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเสียสัญชาติไทยโดยผลของกฎหมายจากการถือใบสำคัญคนต่างด้าว แม้จะไม่ได้สมัครใจรับแต่มีพฤติการณ์แสดงเจตนา
โจทก์ได้สัญชาติไทยโดยการเกิดในราชอาณาจักร มีบิดาเป็นคนต่างด้าว และได้รับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมาแต่ พ.ศ.2491 แล้ว ขณะฟ้องก็ยังถือใบสำคัญดังกล่าวอยู่จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของมาตรา 21 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2508 โจทก์จึงเสียสัญชาติไทยไปโดยผลแห่งกฎหมาย
แม้บิดาโจทก์เป็นผู้จัดการขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวมาให้โจทก์เพื่อไปศึกษายังต่างประเทศ แต่โจทก์ก็ไม่ได้ไป ยังคงถือใบสำคัญต่อมา โจทก์ได้ไปขอเปลี่ยนสมุดใบสำคัญใหม่ใน พ.ศ.2498 ขอต่ออายุใบสำคัญมาจนถึง พ.ศ.2508 อันเป็นเวลาภายหลังจากโจทก์ขอกลับคืนสัญชาติไทยไม่ได้ผลแล้ว จึงไม่ขอต่ออายุใบสำคัญอีก การได้ใบสำคัญทำให้โจทก์ไม่ต้องเข้าตรวจคัดเลือกเพื่อเป็นทหารได้ขอยกเว้นค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบสำคัญเมื่อเข้าทำงานเป็นลูกจ้างสถานทูตแจ้งต่อมหาวิทยาลัยตอนเข้าศึกษาว่าเป็นคนสัญชาติอังกฤษ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์สมัครใจขอรับใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวเป็นคนสัญชาติอังกฤษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2001/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการพิสูจน์สัญชาติ: การแสดงตนเป็นคนต่างด้าวตั้งแต่แรกย่อมไม่อาจอ้างสิทธิพิสูจน์สัญชาติภายหลังได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเป็นคนสัญชาติไทย แต่พี่ชายส่งผู้ร้องไปเรียนหนังสือที่ประเทศจีน ผู้ร้องได้เดินทางกลับเข้ามาในประเทศไทย ต่อมาพนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้จับผู้ร้องในข้อหาอยู่ในราชอาณาจักรไทยโดยมิได้รับอนุญาต ผู้ร้องอ้างว่าเกิดในประเทศไทย มีสัญชาติเป็นคนไทยขอให้ปล่อยตัวพนักงานตรวจคนเข้าเมืองแจ้งให้ผู้ร้องขอพิสูจน์ให้ศาลสั่งว่าเป็นคนไทยเสียก่อน จึงขอให้ศาลมีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นคนสัญชาติไทยตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 มาตรา 43 ได้ความว่าผู้ร้องเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2489 ครั้งยังใช้พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2480 อยู่ ขณะเข้ามาในราชอาณาจักรไทย ผู้ร้องได้แสดงตนเป็นคนต่างด้าวและทำหนังสือสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวไปแล้ว โดยมิได้ขอพิสูจน์ว่าเป็นคนไทยตามมาตรา 28 แต่อย่างใดการมายื่นคำร้องนี้จึงไม่มีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง จะอาศัยอำนาจตามบทกฎหมายดังกล่าวหาได้ไม่ บุคคลใดจะใช้สิทธิทางศาลดังบัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 นั้น ต้องมีกฎหมายสนับสนุนหรือรับรองให้ใช้สิทธิเช่นนั้นไว้ เมื่อกรณีนี้จะอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมืองไม่ได้แล้วผู้ร้องย่อมยังไม่มีสิทธิจะเสนอคดีต่อศาลเช่นนี้ได้ หากผู้ร้องถือว่าตนถูกโต้แย้งสิทธิ ก็ชอบที่จะฟ้องผู้โต้แย้งสิทธิเป็นคดีต่อศาลได้ (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 657/2498)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. - สัญชาติบิดาและอายุ - หลักฐานทะเบียนเป็นเกณฑ์
ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุคคลต่างด้าว แต่ไม่มีหลักฐานทะเบียนบุคคลต่างด้าวประกอบคำร้อง เพียงแต่ได้ยินคนพูดกันว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุตรคนต่างด้าวสัญชาติจีนเท่านั้น ยังไม่พอรับฟังว่าเป็นความจริงตามนั้นได้
ตามหลักฐานทะเบียนโรงเรียนปรากฏว่า ผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ. 2483 แต่หลักฐานในทะเบียนทหารกองเกินปรากฏว่าผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ. 2480 เมื่อผู้ปกครองของผู้ถูกคัดค้านซึ่งนำผู้ถูกคัดค้านไปฝากโรงเรียนยืนยันว่า ได้แจ้งลดอายุลง 3 ปี เพื่อไม่ให้ถูกปรับตามพระราชบัญญัติประถามศึกษา หลังจากลาออกจากโรงเรียนแล้ว ผู้ถูกคัดค้านจึงรู้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง คือวันที่ 21 ตุลาคม 2480 แต่นั้นมาก็ใช้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง เมื่อถึงกำหนดขึ้นทะเบียนทหารกองเกินก็ไปขึ้นทะเบียนทหารตามปกติ จึงไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้ถูกคัดค้านเตรียมทำขึ้นไว้ก่อนแต่อย่างใด ฉะนั้น จึงถึงวันเดือนปีเกิดที่ปรากฏในโรงเรียนเป็นหลักฐานไม่ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส. เรื่องสัญชาติบิดาและอายุ ผู้ร้องต้องมีหลักฐานชัดเจน
ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุคคลต่างด้าว แต่ไม่มีหลักฐานทะเบียนบุคคลต่างด้าวประกอบคำร้อง เพียงแต่ได้ยินคนพูดกันว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุตรคนต่างด้าวสัญชาติจีนเท่านั้น ยังไม่พอรับฟังว่าเป็นความจริงตามนั้นได้
ตามหลักฐานทะเบียนโรงเรียนปรากฏว่า ผู้ถูกคัดค้านเกิดพ.ศ.2483 แต่หลักฐานในทะเบียนทหารกองเกินปรากฏว่าผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ.2480 เมื่อผู้ปกครองของผู้ถูกคัดค้านซึ่งนำผู้ถูกคัดค้านไปฝากโรงเรียนยืนยันว่า ได้แจ้งลดอายุลง 3 ปี เพื่อไม่ให้ถูกปรับตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา หลังจากลาออกจากโรงเรียนแล้ว ผู้ถูกคัดค้านจึงรู้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง คือวันที่ 21 ตุลาคม 2480 แต่นั้นมาก็ใช้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง เมื่อถึงกำหนดขึ้นทะเบียนทหารกองเกินก็ไปขึ้นทะเบียนทหารตามปกติจึงไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้ถูกคัดค้านเตรียมทำขึ้นไว้ก่อนแต่อย่างใด ฉะนั้น จึงถือวันเดือนปีเกิดที่ปรากฏในโรงเรียนเป็นหลักฐานไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์สัญชาติและอายุของผู้สมัครรับเลือกตั้ง สิทธิในการสมัครรับเลือกตั้ง
ผู้ร้องกล่าวอ้างว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุคคลต่างด้าว. แต่ไม่มีหลักฐานทะเบียนบุคคลต่างด้าวประกอบคำร้อง. เพียงแต่ได้ยินคนพูดกันว่าผู้ถูกคัดค้านเป็นบุตรคนต่างด้าวสัญชาติจีนเท่านั้น. ยังไม่พอรับฟังว่าเป็นความจริงตามนั้นได้.
ตามหลักฐานทะเบียนโรงเรียนปรากฏว่า. ผู้ถูกคัดค้านเกิดพ.ศ.2483 แต่หลักฐานในทะเบียนทหารกองเกินปรากฏว่าผู้ถูกคัดค้านเกิด พ.ศ.2480. เมื่อผู้ปกครองของผู้ถูกคัดค้านซึ่งนำผู้ถูกคัดค้านไปฝากโรงเรียนยืนยันว่า. ได้แจ้งลดอายุลง 3 ปี. เพื่อไม่ให้ถูกปรับตามพระราชบัญญัติประถมศึกษา. หลังจากลาออกจากโรงเรียนแล้ว. ผู้ถูกคัดค้านจึงรู้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง คือวันที่ 21 ตุลาคม2480 แต่นั้นมาก็ใช้วันเดือนปีเกิดที่แท้จริง. เมื่อถึงกำหนดขึ้นทะเบียนทหารกองเกินก็ไปขึ้นทะเบียนทหารตามปกติ. จึงไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้ถูกคัดค้านเตรียมทำขึ้นไว้ก่อนแต่อย่างใด. ฉะนั้น จึงถือวันเดือนปีเกิดที่ปรากฏในโรงเรียนเป็นหลักฐานไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงสัญชาติ: ผลของกฎหมายสัญชาติฉบับต่างๆ ต่อผู้เกิดในไทยแต่มีบิดาเป็นต่างด้าว
บุคคลผู้มีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักร แต่บิดาเป็นคนต่างด้าวซึ่งขาดจากสัญชาติไทย.หากได้รับใบสำคัญคนต่างด้าวตามพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ.2495 มาตรา 16 ทวิ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2496 มาตรา 4. แต่เมื่อภายหลังมีพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2499 มาตรา 3 ซึ่งบัญญัติให้บุคคลซึ่งเกิดในราชอาณาจักรไทยได้สัญชาติไทยโดยการเกิด. ย่อมมีผลให้บุคคลผู้ขาดจากสัญชาติไทยตามมาตรา 16 ทวิ ดังกล่าว ได้สัญชาติไทยกลับคืนมาตามเดิมโดยอาศัยพระราชบัญญัติฉบับหลังนี้.(เทียบฎีกาที่ 558/2506).
of 13