พบผลลัพธ์ทั้งหมด 63 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2488
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาตัวแทนค้าต่างไม่ใช่สัญญาซื้อขาย ไม่ต้องเสียอากรแสตมป์
จำเลยทำสัญญาตั้งผู้อื่นเป็นตัวแทนค้าต่าง จำหน่ายสินค้าและเก็บเงินให้ ดังนี้ การส่งมอบสินค้ากับชำระราคาของไม่ใช่เป็นกรณีเรื่องซื้อขายอันจะต้องเสียอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร
โจทก์อ้างเอกสารสัญญาตั้งตัวแทนค้าต่างที่จำเลยทำไว้เป็นพยานซึ่งมีข้อความชัดเจนนั้น โจทก์จะขอสืบพยานแปลข้อความในเอกสารนั้นเป็นอย่างอื่นไม่ได้
โจทก์อ้างเอกสารสัญญาตั้งตัวแทนค้าต่างที่จำเลยทำไว้เป็นพยานซึ่งมีข้อความชัดเจนนั้น โจทก์จะขอสืบพยานแปลข้อความในเอกสารนั้นเป็นอย่างอื่นไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 526/2484
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับสัญญาตัวแทนและการรับผิดชอบเงินที่อยู่ในมือตัวแทน
พฤตติการณ์ที่ถือว่าตัวการอยู่ต่างประเทศ คู่สัญญาฟ้องเรียกเงินตัวแทนไม่ถูกวางแม้เงินที่ตัวแทนได้รับไว้ยังอยู่ในมือตัวแทน ผู้ชำระเงินก็ฟ้องเรียกเงินคืนจากตัวแทนไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3616/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาตัวแทนร่วมกัน ความรับผิดของตัวแทนแต่ละคนต่อการไม่ชำระหนี้ และการลดค่าเสียหายจากเบี้ยปรับ
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเป็นตัวแทนขายกรมธรรม์ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (พ.ร.บ.) กับโจทก์ต้องทำการด้วยตัวเองตาม ป.พ.พ. มาตรา 808 ประกอบกับข้อสัญญาข้อ 8 กำหนดว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจตั้งตัวแทนช่วง ดังนั้นการตั้งตัวแทนช่วงให้ขายกรมธรรม์ พ.ร.บ. ของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำนอกเหนือขอบอำนาจของตัวแทน แม้โจทก์ทราบเรื่องแล้วไม่ทักท้วง ก็เป็นเพียงการให้สัตยาบันต่อการกระทำนอกเหนือขอบอำนาจของตัวแทนอันมีผลทำให้นิติกรรมการขายกรมธรรม์ พ.ร.บ. ของตัวแทนช่วงซึ่งไม่ผูกพันโจทก์กลับเป็นผูกพันโจทก์โดยตรง และทำให้จำเลยที่ 1 หลุดพ้นจากความรับผิดที่มีต่อบุคคลภายนอกตาม ป.พ.พ. มาตรา 823 แต่ในระหว่างตัวการตัวแทนด้วยกัน จำเลยที่ 1 ยังคงต้องรับต่อโจทก์ในความเสียหายที่เกิดขึ้นจากกิจการที่ตนได้กระทำนอกเหนือขอบอำนาจนั้น ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 812 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระค่าเบี้ยประกันภัยที่ขายเพิ่มเติมให้แก่โจทก์ จำเลยที่ 1 จะอ้างเหตุตัวแทนช่วงเป็นผู้ขายกรมธรรม์ พ.ร.บ.มาปฏิเสธความรับผิดหาได้ไม่ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า หากจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดเบี้ยประกันภัยที่ขายเพิ่มเติมจะทำให้โจทก์ได้รับเงินค่าประกันภัยจากการขายกรมธรรม์ พ.ร.บ.ฉบับเดียวกันถึง 2 ครั้ง เพราะโจทก์มีหนังสือแจ้งตัวแทนช่วงของจำเลยที่ 1 ให้ส่งค่าเบี้ยประกันภัยที่ขายให้แก่โจทก์โดยตรง เป็นทำนองตัวแทนช่วงของจำเลยที่ 1 ชำระค่าเบี้ยประกันภัยส่วนนี้แล้วนั้น จำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์จัดส่งหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่ทำเรื่องขอเบิกจ่าย และยังมีตารางกรมธรรม์ประกันภัยค้างอยู่กับฝ่ายจำเลย 147,157 ชุด จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกาว่า ตารางกรมธรรม์ประกันภัยที่เบิกมาอยู่ที่ตัวแทนช่วงทั้งหมด มิได้อยู่ที่จำเลยที่ 1 แม้แต่ฉบับเดียว ตามคำเบิกความของ น. พยานโจทก์ การเบิกตารางกรมธรรม์ประกันภัยจะต้องตรวจสอบว่าไม่มีหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยค้างชำระ แต่ในรอบขายเดือน ก.ค. และเดือน ส.ค. 2551 จำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าเบี้ยประกันภัยตามเช็คธนาคารพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 2,155,704.18 บาท โจทก์คงไม่จัดส่งกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่จำเลยที่ 1 อย่างแน่นอน โดยฎีกาของจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร จึงต้องฟังว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่นำส่งคืนหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่โจทก์ รวม 147,157 ชุด
ส่วนจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในค่าเสียหายเพียงใดนั้น เห็นว่า ข้อตกลงตามสัญญา ข้อ 6.2 ที่ให้ตัวแทนต้องชำระค่าเสียหายกรณีหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยสูญหาย เสียหาย ชำรุดใช้การไม่ได้ หรือไม่สามารถส่งคือให้แก่โจทก์ได้เป็นเงินชุดละ 300 บาท เป็นค่าเสียหายล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง หาใช่ต้องบังคับตามข้อสัญญาโดยเด็ดขาดเมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่ทางได้เสียในเชิงทรัพย์สินแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 หรือตัวแทนช่วงหรือทีมขายของจำเลยที่ 1 ได้นำตารางกรมธรรม์ พ.ร.บ. ที่ไม่ส่งคืนไปขาย หรือมีลูกค้ารายใดเรียกร้องให้โจทก์รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ พ.ร.บ. ดังกล่าว และโจทก์ไม่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเนื่องจากยังไม่มีการขายกรมธรรม์ พ.ร.บ. ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายตามศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 รับผิดเป็นเงินชุดละ 50 บาท นั้น สูงเกินไป เห็นสมควรลดลงเป็นจำนวนพอสมควรกับแนวทางปฏิบัติของโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่คิดค่ายกเลิกตารางกรมธรรม์ พ.ร.บ. และค่าปรับตารางกรมธรรม์ พ.ร.บ. ชำรุด ชุดละ 20 บาท จำนวน 147,157 ชุด เป็นเงิน 2,943,140 บาท
สัญญาที่โจทก์ตกลงแต่งตั้งให้จำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนขายประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 ระบุจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ติดต่อเบิกหน้ากรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถไปขาย และนำส่งค่าเบี้ยประกันภัยพร้อมสำเนาหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยที่ขายได้หรือส่งคืนหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังขาดไม่ได้ให้แก่โจทก์ หากผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสองยินยอมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดแก่โจทก์ มีลักษณะเป็นสัญญาอันเดียว ตัวการคนเดียวตั้งตัวแทนหลายคนเพื่อแก่การอันเดียว ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา 804 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ตัวแทนจะต่างคนต่างทำการนั้น ๆ แยกกันไม่ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนขายประกันภัยรถให้โจทก์แยกต่างหากจากกัน ทั้งยังได้ความจากจำเลยที่ 2 ว่า ในการขายกรมธรรม์ พ.ร.บ. จำเลยที่ 2 มีตัวแทนช่วงหรือทีมงานรับกรมธรรม์ พ.ร.บ. ไปขายให้แก่ลูกค้า โดยจำเลยที่ 1 มิได้ขายเอง แต่เมื่อตัวแทนหรือทีมงานขายได้จะส่งสำเนากรมธรรม์และค่าเบี้ยประกันภัยให้จำเลยที่ 2 รวบรวมส่งต่อให้จำเลยที่ 1 และโจทก์ตามลำดับโดยจำเลยที่ 2 ได้รับค่าใช้จ่ายด้วย ตามพฤติการณ์ถือว่า จำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนร่วมกันผูกพันตนในอันที่จะขายกรมธรรม์ พ.ร.บ. ให้แก่โจทก์ เมื่อเกิดความเสียหายจากการทำหน้าที่ตัวแทน จำเลยทั้งสองก็ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 297
โจทก์จัดส่งหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่จำเลยที่ 1 ตามที่ทำเรื่องขอเบิกจ่าย และยังมีตารางกรมธรรม์ประกันภัยค้างอยู่กับฝ่ายจำเลย 147,157 ชุด จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกาว่า ตารางกรมธรรม์ประกันภัยที่เบิกมาอยู่ที่ตัวแทนช่วงทั้งหมด มิได้อยู่ที่จำเลยที่ 1 แม้แต่ฉบับเดียว ตามคำเบิกความของ น. พยานโจทก์ การเบิกตารางกรมธรรม์ประกันภัยจะต้องตรวจสอบว่าไม่มีหนี้ค่าเบี้ยประกันภัยค้างชำระ แต่ในรอบขายเดือน ก.ค. และเดือน ส.ค. 2551 จำเลยที่ 1 ค้างชำระค่าเบี้ยประกันภัยตามเช็คธนาคารพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) 2,155,704.18 บาท โจทก์คงไม่จัดส่งกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่จำเลยที่ 1 อย่างแน่นอน โดยฎีกาของจำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งว่าคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ว่า ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร จึงต้องฟังว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่นำส่งคืนหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยให้แก่โจทก์ รวม 147,157 ชุด
ส่วนจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดในค่าเสียหายเพียงใดนั้น เห็นว่า ข้อตกลงตามสัญญา ข้อ 6.2 ที่ให้ตัวแทนต้องชำระค่าเสียหายกรณีหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยสูญหาย เสียหาย ชำรุดใช้การไม่ได้ หรือไม่สามารถส่งคือให้แก่โจทก์ได้เป็นเงินชุดละ 300 บาท เป็นค่าเสียหายล่วงหน้าอันมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับ ซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลมีอำนาจลดลงได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง หาใช่ต้องบังคับตามข้อสัญญาโดยเด็ดขาดเมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายไม่ใช่ทางได้เสียในเชิงทรัพย์สินแล้ว ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 หรือตัวแทนช่วงหรือทีมขายของจำเลยที่ 1 ได้นำตารางกรมธรรม์ พ.ร.บ. ที่ไม่ส่งคืนไปขาย หรือมีลูกค้ารายใดเรียกร้องให้โจทก์รับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามกรมธรรม์ พ.ร.บ. ดังกล่าว และโจทก์ไม่ต้องชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเนื่องจากยังไม่มีการขายกรมธรรม์ พ.ร.บ. ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดค่าเสียหายตามศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 1 รับผิดเป็นเงินชุดละ 50 บาท นั้น สูงเกินไป เห็นสมควรลดลงเป็นจำนวนพอสมควรกับแนวทางปฏิบัติของโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่คิดค่ายกเลิกตารางกรมธรรม์ พ.ร.บ. และค่าปรับตารางกรมธรรม์ พ.ร.บ. ชำรุด ชุดละ 20 บาท จำนวน 147,157 ชุด เป็นเงิน 2,943,140 บาท
สัญญาที่โจทก์ตกลงแต่งตั้งให้จำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนขายประกันภัยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ.2535 ระบุจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ติดต่อเบิกหน้ากรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถไปขาย และนำส่งค่าเบี้ยประกันภัยพร้อมสำเนาหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยที่ขายได้หรือส่งคืนหน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยที่ยังขาดไม่ได้ให้แก่โจทก์ หากผิดสัญญาเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยทั้งสองยินยอมชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมดแก่โจทก์ มีลักษณะเป็นสัญญาอันเดียว ตัวการคนเดียวตั้งตัวแทนหลายคนเพื่อแก่การอันเดียว ซึ่ง ป.พ.พ. มาตรา 804 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ตัวแทนจะต่างคนต่างทำการนั้น ๆ แยกกันไม่ได้ เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนขายประกันภัยรถให้โจทก์แยกต่างหากจากกัน ทั้งยังได้ความจากจำเลยที่ 2 ว่า ในการขายกรมธรรม์ พ.ร.บ. จำเลยที่ 2 มีตัวแทนช่วงหรือทีมงานรับกรมธรรม์ พ.ร.บ. ไปขายให้แก่ลูกค้า โดยจำเลยที่ 1 มิได้ขายเอง แต่เมื่อตัวแทนหรือทีมงานขายได้จะส่งสำเนากรมธรรม์และค่าเบี้ยประกันภัยให้จำเลยที่ 2 รวบรวมส่งต่อให้จำเลยที่ 1 และโจทก์ตามลำดับโดยจำเลยที่ 2 ได้รับค่าใช้จ่ายด้วย ตามพฤติการณ์ถือว่า จำเลยทั้งสองเป็นตัวแทนร่วมกันผูกพันตนในอันที่จะขายกรมธรรม์ พ.ร.บ. ให้แก่โจทก์ เมื่อเกิดความเสียหายจากการทำหน้าที่ตัวแทน จำเลยทั้งสองก็ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 297
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9161/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการชำระหนี้จากการซื้อขายหลักทรัพย์ ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่
ก. กับ จำเลยที่ 1 มีนิติสัมพันธ์กันตามสัญญาแต่งตัวแทนและนายหน้าเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งได้กำหนดสิทธิและหน้าที่ระหว่างกันไว้หลายประการอันรวมถึงข้อตกลงที่กำหนดให้ ก. ในฐานะตัวการต้องเปิดบัญชีทดลองจ่ายเพื่อให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนใช้จ่ายในการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนหลักทรัพย์การที่ ก. กับจำเลยที่ 1 มาตกลงกันใหม่ โดยกำหนดให้ ก. ต้องเปลี่ยนระบบการชำระหนี้อันเกิดจากการซื้อขายหลักทรัพย์จากระบบ พี/เอ็น มาร์จิ้นเป็นระบบ แคช มาร์จิ้น จึงเป็นเพียงการตกลงเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข การชำระหนี้ที่เกิดจากสัญญาแต่งตั้งตัวแทนและนายหน้า หาใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสิ่งที่เป็นสาระสำคัญแห่งหนี้อันจะถือได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ที่จะทำให้หนี้เดิมระงับไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 13389/2555
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน, การชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัย, สัญญาตัวแทน, ความรับผิดทางสัญญา
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้วินิจฉัยในประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาตัวแทนหรือไม่ โดยใช้ดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานโจทก์จำเลยทั้งสองแล้ว พยานหลักฐานของโจทก์ที่สืบมาฟังไม่ได้ตามข้อกล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาตัวแทนทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ส่วนประเด็นที่ว่าจำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ได้วินิจฉัยไปตามคำขอของโจทก์ที่ขอให้จำเลยทั้งสองรับผิดชำระเงินตามเช็คแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในมูลหนี้เงินมัดจำตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดิน กรณีจึงต้องวินิจฉัยไปถึงมูลดังกล่าวว่าจำเลยทั้งสองมีหน้าที่ต้องชำระหรือไม่ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดที่ดินที่จะซื้อจะขายไปโดยไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองผิดสัญญาตัวแทน การที่โจทก์ไม่อาจดำเนินการโอนที่ดินให้จำเลยที่ 1 ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินจึงถือได้ว่าเป็นกรณีการชำระหนี้ตกเป็นพ้นวิสัยเพราะพฤติการณ์อันใดอันหนึ่งซึ่งฝ่ายโจทก์ต้องรับผิดชอบ โจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายที่รับผิดจำต้องส่งคืนมัดจำตาม ป.พ.พ. มาตรา 378 (3) โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยที่จำเลยทั้งสองจ่ายเพื่อชำระหนี้เงินมัดจำตามฟ้อง ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยมาทั้งหมด ไม่เป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4973/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาตัวแทนขายและการห้ามบอกเลิกสัญญา ข้อสัญญาต้องเป็นธรรมและไม่จำกัดสิทธิเกินควร
จำเลยมีความประสงค์จะขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ จึงตกลงกับโจทก์ให้โจทก์เป็นฝ่ายขายโดยได้รับบำเหน็จเป็นการตอบแทน การทำสัญญาดังกล่าวไม่ปรากฏว่ามีการบังคับขู่เข็ญ ต่างสมัครใจเข้าทำสัญญา ซึ่งข้อความในสัญญาสามารถอ่านเข้าใจได้ไม่ยาก เมื่อจำเลยสมัครใจเข้าทำสัญญา จึงต้องผูกพันตามข้อสัญญา แม้จะห้ามจำเลยบอกเลิกสัญญาก็ตาม แต่ช่วงระยะเวลาเพียง 10 เดือน ไม่เป็นการจำกัดสิทธิของจำเลยในการขายที่ดินพร้อมทาวน์เฮาส์ตลอดไปหรือภายในระยะเวลายาวนานจนทำให้จำเลยเสียหาย ในทางตรงกันข้ามหากไม่กำหนดข้อสัญญาห้ามจำเลยเลิกสัญญาไว้ อาจเป็นช่องทางให้จำเลยเลิกสัญญาเอาเปรียบโจทก์ได้เนื่องจากโจทก์ได้ลงทุนประกาศขายโดยเขียนป้ายประกาศตามสถานที่ต่าง ๆ ประกาศโฆษณาในสิ่งพิมพ์และทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งปรากฏภาพทาวน์เฮาส์ของจำเลย ผู้พบเห็นทางโฆษณาสามารถเดินทางไปดูสภาพและทำเลได้ ซึ่งอาจพบและพูดคุยกับจำเลยจนตกลงซื้อขายกันโดยไม่ผ่านโจทก์ ก็จะทำให้โจทก์เสียหาย ด้วยเหตุนี้ข้อสัญญาดังกล่าวจึงเป็นธรรมแก่ทั้งโจทก์และจำเลย หาใช่ไม่เป็นธรรมแก่จำเลยแต่อย่างใด
1/1
1/1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4007/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติกรรมอำพราง: สัญญาที่แท้จริงคือสัญญาเงินกู้ แม้มีการอ้างว่าเป็นสัญญาตัวแทน
จำเลยเป็นพนักงานธนาคารย่อมรู้ดีถึงความแตกต่างระหว่างสัญญากู้ยืมเงินและสัญญาตัวแทน หากโจทก์มอบเงิน 300,000 บาท ให้จำเลยเพื่อให้จำเลยไปปล่อยเงินกู้แทนโจทก์โดยจำเลยเพียงมีหน้าที่เก็บดอกเบี้ยจากผู้กู้มาส่งให้โจทก์ตามข้อกล่าวอ้างของจำเลย จำเลยก็สามารถทำสัญญาตัวแทนมอบเป็นหลักฐานให้แก่โจทก์ตรงตามข้อเท็จจริงได้ แต่จำเลยกลับทำเป็นสัญญากู้เงินจำนวนดังกล่าวให้ไว้แก่โจทก์เท่านั้น ย่อมชี้ให้เห็นว่าเป็นการกู้ยืมเงินกันจริง แม้จำเลยนำเงินที่ได้จากโจทก์ไปให้บุคคลอื่นกู้ยืมต่อในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า ก็เป็นเรื่องที่จำเลยได้รับประโยชน์จากส่วนต่างของดอกเบี้ย การที่จำเลยไม่ได้รับชำระหนี้จากบุคคลที่กู้ยืมเงินจากจำเลยก็เป็นเรื่องที่จำเลยต้องเสี่ยงภัยเอาเอง แต่จำเลยยังคงต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินที่ทำให้ไว้แก่โจทก์ กรณีไม่ใช่เรื่องที่จำเลยเป็นตัวแทนของโจทก์แต่อย่างใดข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าสัญญาที่จำเลยทำให้ไว้แก่โจทก์เป็นสัญญากู้ยืมเงินที่แท้จริงไม่ใช่นิติกรรมอำพรางสัญญาตัวแทนระหว่างโจทก์กับจำเลย จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2507/2552 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบอกเลิกสัญญาตัวแทนจำหน่าย สัญญาที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.ข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม การพิสูจน์เหตุบอกเลิกสัญญา
สัญญาตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ ข้อ 11.3 กำหนดเพียงว่า จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้ โดยการบอกกล่าวให้โจทก์ทราบเป็นหนังสือล่วงหน้า 90 วัน และจะมีผลเป็นการเลิกสัญญาเมื่อครบกำหนด 90 วัน นับแต่ได้รับการบอกกล่าวแล้วเท่านั้น หาได้กำหนดเงื่อนไขหรือเหตุที่จะทำให้มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแต่อย่างใดไม่ และข้อ 11.2 ยังกำหนดให้โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยเช่นเดียวกับตามสัญญาข้อ 11.3 เหมือนกัน ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรมฯ มาตรา 4 หรือไม่ ต้องยึดหลักเกณฑ์ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 4 วรรคสาม ว่าเป็นข้อตกลงที่มีลักษณะหรือมีผลให้โจทก์ปฏิบัติหรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติเป็นข้อตกลงที่อาจถือได้ว่าทำให้จำเลยได้เปรียบโจทก์หรือไม่ เช่น เป็นข้อตกลงให้ต้องรับผิดหรือรับภาระมากกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือเป็นข้อตกลงให้สัญญาสิ้นสุดโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือให้สิทธิบอกเลิกสัญญาได้โดยอีกฝ่ายหนึ่งมิได้ผิดสัญญาในข้อสาระสำคัญ เป็นต้น โจทก์จึงไม่ได้ตกอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบหรือจำยอมก่อนจะเข้าทำสัญญากับจำเลยแต่อย่างใด ถือว่าการเข้าทำสัญญากับจำเลยเป็นไปด้วยความสมัครใจของโจทก์และอยู่บนพื้นฐานที่เท่าเทียมกันทั้งสองฝ่าย ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียเปรียบซึ่งกันและกัน ทั้งว่าจำเลยก็ได้นำสืบถึงสาเหตุแห่งการบอกเลิกสัญญา จะถือว่าจำเลยบอกเลิกสัญญาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร หรือบอกเลิกสัญญาโดยที่โจทก์ไม่ได้กระทำด้วยประการใดๆ ที่เป็นการผิดสัญญาหรือผิดข้อตกลงตามสัญญาไม่ได้ ข้อตกลงข้อ 11.3 จึงไม่เป็นข้อตกลงที่มีลักษณะหรือมีผลให้โจทก์ปฏิบัติ หรือรับภาระเกินกว่าที่วิญญูชนจะพึงคาดหมายได้ตามปกติ หรือเป็นข้อตกลงที่อาจถือได้ว่าทำให้จำเลยได้เปรียบโจทก์ จึงไม่เป็นข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7397/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลแรงงาน: กรณีสัญญานอกเหนือสัญญาจ้างแรงงาน (สัญญาตัวแทน) และการส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาเพื่อวินิจฉัยอำนาจ
โจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยว่าอย่างไร มีสิทธิและหน้าที่ต่อกันอย่างไร และจำเลยกระทำการใดอันถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ ส่วนจะเป็นสัญญาประเภทใด ต้องยกกฎหมายใดมาปรับแก่ข้อเท็จจริงนั้นเป็นหน้าที่ของศาลที่จะวินิจฉัยเมื่อศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยมิใช่เป็นนายจ้างลูกจ้างกันตามสัญญาจ้างแรงงานแต่เป็นสัญญาตัวแทนซึ่งเป็นสัญญาแบบหนึ่งที่สามารถใช้บังคับได้ จึงมีปัญหาว่าศาลแรงงานกลางมีอำนาจพิจารณาพิพากษาถึงความรับผิดตามสัญญาตัวแทนหรือไม่ แสดงว่ามีปัญหาว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 8 หรือไม่ ซึ่งเป็นอำนาจของอธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางเป็นผู้วินิจฉัยตามมาตรา 9 วรรคสอง ศาลแรงงานกลางจึงต้องส่งสำนวนให้อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเสียก่อนว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลแรงงานหรือไม่ก่อนจะวินิจฉัยถึงความรับผิดของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5896/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาตัวแทนจำหน่ายและข้อตกลงอนุญาโตตุลาการ: การบังคับใช้สัญญาและการระงับข้อพิพาท
โจทก์กับจำเลยทำสัญญาตัวแทนจำหน่ายสินค้ายาสูบประเภทบุหรี่ ในสัญญาตัวแทนจำหน่ายดังกล่าวมีกรรมการคนหนึ่งของจำเลยลงลายมือชื่อท้ายสัญญาโดยไม่ได้ประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยตามข้อบังคับของบริษัทซึ่งปกติจะไม่มีผลผูกพันจำเลย แต่ปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์ว่าหลังจากทำสัญญาดังกล่าวกับจำเลยแล้ว จำเลยบอกเลิกสัญญาดังกล่าวต่อโจทก์ก่อนครบกำหนด เนื่องจากจำเลยต้องการจำหน่ายสินค้าบุหรี่เอง และปรากฏจากคำร้องของจำเลยที่ให้จำหน่ายคดีนี้เพราะในสัญญาตัวแทนจำหน่ายดังกล่าวมีข้อตกลงให้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ และจำเลยได้ยื่นข้อเรียกร้องต่ออนุญาโตตุลาการของหอการค้านานาชาติให้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว ซึ่งเท่ากับว่า จำเลยได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำของกรรมการผู้มีอำนาจของตน สัญญาตัวแทนจำหน่ายดังกล่าวจึงใช้บังคับได้
แม้ในขณะทำสัญญาตัวแทนจำหน่ายดังกล่าว ยังไม่มีการบัญญัติกฎหมาย พ.ร.บ.ความลับทางการค้าฯ มาใช้บังคับ แต่สิทธิในความลับทางการค้าก็ได้รับการรับรองและคุ้มครองโดยสัญญาระหว่างคู่สัญญา และโดยหลักละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และมาตรา 421 อยู่แล้ว จึงเป็นสิทธิทางแพ่งอย่างหนึ่งที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ โจทก์กับจำเลยจึงสามารตกลงกันในเรื่องข้อมูลความลับทางการค้าในสัญญาดังกล่าวได้
แม้ในขณะทำสัญญาตัวแทนจำหน่ายดังกล่าว ยังไม่มีการบัญญัติกฎหมาย พ.ร.บ.ความลับทางการค้าฯ มาใช้บังคับ แต่สิทธิในความลับทางการค้าก็ได้รับการรับรองและคุ้มครองโดยสัญญาระหว่างคู่สัญญา และโดยหลักละเมิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 และมาตรา 421 อยู่แล้ว จึงเป็นสิทธิทางแพ่งอย่างหนึ่งที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ โจทก์กับจำเลยจึงสามารตกลงกันในเรื่องข้อมูลความลับทางการค้าในสัญญาดังกล่าวได้