พบผลลัพธ์ทั้งหมด 66 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1471/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าเป็นสิทธิเฉพาะตัว สิ้นสุดเมื่อผู้เช่าเสียชีวิต ไม่ตกทอด
การเช่าทรัพย์สินนั้น ปกติฝ่ายผู้ให้เช่าย่อมเพ่งเล็งถึงคุณสมบัติของผู้เช่าว่าจะสมควรได้รับความไว้วางใจในการใช้ทรัพย์ที่เช่าและในการดูแลรักษาทรัพย์ที่เช่าหรือไม่ ฉะนั้นสิทธิของผู้เช่าจึงมีสภาพเป็นการเฉพาะตัว เมื่อผู้เช่าตาย สัญญาเช่าก็เป็นอันระงับ ไม่ตกทอดไปยังทายาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2492 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประทานบัตรเป็นสิทธิเฉพาะตัว การรวมสิทธิมรดกไม่ผูกพันจำเลยในการฟ้องร้องใหม่
สิทธิที่จะยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ย่อมเป็นสิทธิฉะเพาะตัว
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตต์ที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่า เป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิฉะเพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา 147 วรรค 2 ป.ม.วิ.แพ่ง ผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้ โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้วจำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์สิทธิโดยฉะเพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิฉะเพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฎว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสรวมสิทธิยื่นขอประทานบัตร แทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีย์พิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมฤดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่.
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ป.ม.วิ.แพ่ง เสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น.
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตต์ที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่า เป็นที่สาธารณะสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิฉะเพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา 147 วรรค 2 ป.ม.วิ.แพ่ง ผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้ โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้วจำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์สิทธิโดยฉะเพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิฉะเพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฎว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสรวมสิทธิยื่นขอประทานบัตร แทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีย์พิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมฤดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่.
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ป.ม.วิ.แพ่ง เสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 76/2492
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประทานบัตรเป็นสิทธิเฉพาะตัว การอนุมัติสวมสิทธิไม่ถือเป็นการรับมรดกสิทธิเดิม จำเลยมีสิทธิสู้คดีใหม่ได้
สิทธิที่จะยื่นคำขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ย่อมเป็นสิทธิเฉพาะตัว
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิเฉพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา147 วรรคสองประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้ว จำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์เช่นเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นเรื่องสิทธิโดยเฉพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิเฉพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสวมสิทธิยื่นขอประทานบัตรแทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีพิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมรดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น
สามีโจทก์ได้ฟ้องจำเลยหาว่าขัดขวางคัดค้านในการที่สามีโจทก์ขอประทานบัตรทำเหมืองแร่ ในเขตที่สามีโจทก์ได้ขออาชญาบัตรผูกขาดตรวจแร่ไว้แล้ว ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษาว่าเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิจะถืออำนาจเป็นเจ้าของได้ ห้ามไม่ให้จำเลย เข้าไปเกี่ยวข้องขัดขวางในการที่สามีโจทก์ดำเนินการขอประทานบัตร จำเลยฎีกา ในระหว่างฎีกาสามีโจทก์ตาย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิจะยื่นคำขอในการทำเหมืองเป็นสิทธิเฉพาะตัวบุคคล คดีย่อมระงับไปด้วยความมรณะของสามีโจทก์ จึงให้จำหน่ายคดี คดีนั้นย่อมถึงที่สุดเด็ดขาด ตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาสั่งจำหน่ายตามมาตรา147 วรรคสองประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ย่อมผูกพันแก่คู่ความในคดีนั้นเท่านั้นตามมาตรา 145
โจทก์มาฟ้องคดีนี้โดยอ้างว่าได้รับอนุมัติ การขอรับประทานบัตรทำเหมืองแร่รายเดียวกันนี้แล้ว จำเลยมาขัดขวางสิทธิของโจทก์เช่นเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นเรื่องสิทธิโดยเฉพาะตัวของโจทก์อีกต่างหาก เป็นคดีคนละเรื่องกับคดีที่นายซิ่มจั่นสามีโจทก์ฟ้องร้อง ข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ชี้ขาดไว้ในคดีก่อน จึงไม่ปิดปากจำเลยในคดีเรื่องนี้
โดยที่สิทธิขอประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิเฉพาะตัว แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีอนุมัติให้โจทก์เข้าสวมสิทธิยื่นขอประทานบัตรแทนนายซิ่มจั่นผู้สามีได้เป็นกรณีพิเศษ แม้จะทำได้ก็ต้องหมายความได้แต่เพียงว่าให้ถือว่าโจทก์ตั้งต้นสิทธิของโจทก์ในการขอประทานบัตรได้ตั้งแต่วันที่นายซิ่มจั่นได้ลงมือกระทำการในเรื่องนี้มาเท่านั้น จะหมายความถึงกับว่าเป็นคำสั่งให้โจทก์รับมรดกสิทธิของนายซิ่มจั่นหาได้ไม่
คดีฎีกาคำสั่งตามมาตรา 228 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเสียค่าขึ้นศาล 20 บาทเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 520/2488
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิประทานบัตรเหมืองแร่เป็นสิทธิเฉพาะตัว เมื่อผู้ขอเสียชีวิต สิทธิระงับ คดีจำหน่าย
สิทธิที่จะขอประทานบัตรเหมืองแร่เป็นสิทธิฉะเพาะตัวบุคคลพลเมือง เมื่อโจทก์ซึ่งฟ้องขอให้ศาลแสดงสิทธิวายชนม์ลง สิทธินั้นก็ย่อมระงับไปด้วยและจะมีการรับมฤดกความต่อไปก็ไม่ได้กรณีเป็นเรื่องความมรณะของโจทก์ยังให้คดีไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ศาลต้องจำหน่ายคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6729/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ใบอนุญาตสถานบริการเป็นสิทธิเฉพาะตัว โอนไม่ได้ แม้เป็นสินสมรส
ใบอนุญาตประกอบกิจการร้านอาหารและสถานบริการชื่อ บ. คาราโอเกะ และ ป. คันทรีคลับ เป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้ได้รับใบอนุญาต เนื่องจากการจะได้รับอนุญาตหรือไม่ ต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509 มาตรา 4 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สถานบริการ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2546 ซึ่งห้ามมิให้ผู้ใดตั้งสถานบริการ เว้นแต่จะได้รับใบอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยคุณสมบัติของผู้ขอใบอนุญาตต้องเป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 6 หากผู้ใดฝ่าฝืนตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับใบอนุญาตต้องรับโทษตามมาตรา 26 ทั้งไม่มีบทบัญญัติอนุญาตให้มีการโอนใบอนุญาตแก่กันได้ แม้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในใบอนุญาตฯ ซึ่งเป็นทรัพย์สินเพราะเป็นสินสมรสของโจทก์จำเลยที่ประกอบธุรกิจขณะเป็นสามีภริยากัน แต่การที่จำเลยได้รับใบอนุญาตให้ตั้งสถานบริการเป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้รับอนุญาต ตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวที่ไม่ประสงค์ให้โอนใบอนุญาตกัน โจทก์ไม่อาจฟ้องบังคับให้ลงชื่อโจทก์ในใบอนุญาตให้ตั้งสถานบริการดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1483/2559
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลาฎีกาเป็นสิทธิเฉพาะตัว การอนุญาตขยายให้จำเลยรายหนึ่งมิอาจขยายให้จำเลยอีกรายได้
ภายหลังที่ ก. ทนายโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกา และศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตแล้ว เฉพาะโจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาออกไปอีก การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตจึงเป็นการอนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกาแก่โจทก์ที่ 1 เท่านั้น หารวมถึงโจทก์ที่ 2 ด้วยไม่ เพราะสิทธิในการฎีกาเป็นเรื่องเฉพาะตัวของคู่ความแต่ราย ฉะนั้นขณะที่ ม. ทนายโจทก์ทั้งสองคนใหม่ ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาจึงพ้นกำหนดที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกาให้แก่โจทก์ที่ 2 แล้ว ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายเวลาฎีกาแก่โจทก์ที่ 2 ได้ โจทก์ที่ 2 จะต้องอ้างถึงเหตุสุดวิสัยที่ทำให้โจทก์ที่ 2 ไม่สามารถยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาก่อนสิ้นระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นเคยมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกาแก่โจทก์ทั้งสองถึงวันที่ 27 มีนาคม 2558 ตามคำร้องของ ก. ทนายโจทก์ทั้งสองด้วย ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 แต่ตามคำร้อง ม. ทนายโจทก์ทั้งสองคนใหม่ อ้างเพียงว่าเอกสารสำนวนคดีอยู่ที่ทนายโจทก์คนเดิมทั้งหมดซึ่งยังติดต่อไม่ได้ ต้องขอคัดถ่ายเอกสารในสำนวนใหม่ทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถจัดทำฎีกายื่นต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนดได้ อันเป็นการอ้างถึงพฤติการณ์พิเศษที่ทำให้ไม่สามารถยื่นฎีกาได้ภายในกำหนดเท่านั้น แม้ตามคำร้องจะอ้างว่าเหตุดังกล่าวเป็นเหตุสุดวิสัย แต่ก็หาใช่เหตุที่ทำให้โจทก์ที่ 2 ไม่สามารถยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาก่อนสิ้นเวลาที่กำหนดคือวันที่ 27 มีนาคม 2558 ไม่ เพียงแต่เป็นเหตุส่วนตัวของ ม. ทนายโจทก์ทั้งสองคนใหม่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งจากโจทก์ทั้งสองในวันที่ยื่นคำร้องนั้นเอง จึงทำให้ ม. ไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ แทนโจทก์ทั้งสองก่อนที่จะได้รับแต่งตั้งให้เป็นทนายความของโจทก์ทั้งสองได้ เมื่อไม่ปรากฏเหตุสุดวิสัยที่ทำให้โจทก์ที่ 2 ไม่สามารถยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาก่อนสิ้นระยะเวลาที่กำหนดได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาฎีกาแก่โจทก์ที่ 2 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 23 และที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับฎีกาของโจทก์ที่ 2 ในเวลาต่อมาซึ่งเป็นฎีกาที่ยื่นเมื่อพ้นกำหนดยื่นฎีกาแล้ว จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเช่นเดียวกัน และถือได้ว่าเป็นกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ปัญหาข้อนี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 142 (5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5537/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการรับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนเป็นทรัพย์มรดก ไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัวเจ้ามรดก
พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชน พ.ศ.2550 มาตรา 106 บัญญัติว่า "ผู้รับใบอนุญาตผู้ใดประสงค์จะโอนใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในระบบให้บุคคลอื่น ให้ยื่นคำขอต่อผู้อนุญาตตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการกำหนด เมื่อผู้อนุญาตเห็นว่าผู้รับโอนมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 21 หรือมาตรา 22 แล้วแต่กรณี ให้อนุญาตโดยเร็ว" และมาตรา 107 บัญญัติว่า "ในกรณีที่ผู้รับใบอนุญาตตายหรือเป็นคนสาบสูญ และทายาทมีความประสงค์จะดำเนินกิจการโรงเรียนในระบบต่อไป ให้ทายาทซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 21 หรือในกรณีที่มีทายาทหลายคน ให้ทายาทด้วยกันนั้นตกลงตั้งทายาทคนหนึ่งซึ่งมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 21 ยื่นคำขอรับโอนใบอนุญาตต่อผู้อนุญาตภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ผู้รับใบอนุญาตตายหรือสาบสูญหรือภายในระยะเวลาที่ผู้อนุญาตขยายเวลาตามความจำเป็น..." แสดงให้เห็นว่าผู้รับใบอนุญาตอาจโอนโรงเรียนที่ตนได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการโอนระหว่างที่ตนมีชีวิต หรือการโอนทางมรดกเมื่อตนถึงแก่ความตายแล้ว และสิทธิของผู้รับใบอนุญาตซึ่งได้รับใบอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนดังกล่าวไม่ระงับหรือหมดสิ้นไปในทันทีที่ผู้รับใบอนุญาตนั้นถึงแก่ความตาย สิทธิดังกล่าวจึงไม่เป็นสิทธิที่เป็นการเฉพาะตัวของผู้รับใบอนุญาตโดยแท้ ส่วนการที่ทายาทผู้ยื่นคำขอเพื่อรับโอนโรงเรียนต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตาม มาตรา 21 เป็นเรื่องที่ พ.ร.บ.โรงเรียนเอกชนฯ กำหนดไว้เพื่อประโยชน์ในการให้บริการทางการศึกษา ซึ่งมีผลกระทบต่อสังคมส่วนรวมในอันที่จะให้ผู้รับโอนมีทั้งความรู้ความสามารถและมีคุณธรรมในมาตรฐานเช่นเดียวกับผู้รับใบอนุญาต จึงไม่มีผลกระทบต่อสภาพแห่งสิทธิการเป็นผู้รับใบอนุญาตที่ทายาทอาจขอรับโอนได้ตาม มาตรา 107 วรรคหนึ่ง ดังนั้นการได้รับอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียน ส. จึงไม่เป็นการเฉพาะตัวของเจ้ามรดก สิทธิในการรับใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียนเป็นทรัพย์มรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15972/2557
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิรับเงินทดแทนกรณีลูกจ้างเสียชีวิตเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้รับประโยชน์ตามกฎหมาย ไม่ใช่สิทธิที่ตกทอดแก่ทายาท
ในการจ่ายค่าทดแทนสำหรับกรณีที่ลูกจ้างถึงแก่ความตายหรือสูญหายซึ่งกฎหมายบัญญัติให้จ่ายเป็นรายเดือนมีกำหนด 8 ปี ตาม พ.ร.บ.เงินทดแทน พ.ศ.2537 มาตรา 18 (4) นั้น ผู้มีหน้าที่ต้องจ่ายกับผู้มีสิทธิได้รับค่าทดแทนดังกล่าวจะตกลงกันจ่ายค่าทดแทนในคราวเดียวเต็มจำนวนหรือเป็นระยะเวลาอย่างอื่นก็ได้ตามมาตรา 24 แม้ บ. ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 (2) ได้ขอรับค่าทดแทนในคราวเดียวเต็มจำนวนจากจำเลยก็ตาม แต่เมื่อจำเลยพิจารณาแล้วเห็นควรที่จะจ่ายค่าทดแทนให้ บ. คราวเดียวได้ไม่เกินกึ่งหนึ่งของสิทธิที่สมควรได้รับตามแนวปฏิบัติการพิจารณาจ่ายค่าทดแทนตามมาตรา 18 (4) คราวเดียวเต็มจำนวน การที่ บ. ยอมรับค่าทดแทนจากจำเลยส่วนแรกเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งไปก่อนจึงถือเป็นข้อตกลงระหว่างจำเลยกับ บ. เกี่ยวกับการจ่ายค่าทดแทนตามมาตรา 24 มีผลทำให้ค่าทดแทนส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งของ บ. จะถึงกำหนดจ่ายหลังจากได้รับเงินครั้งแรกไปแล้ว 4 ปี
แม้จะปรากฏต่อมาว่าสิทธิในการได้รับค่าทดแทนของ บ. ได้สิ้นสุดลงเพราะ บ. ถึงแก่ความตายไปก่อนที่จะถึงกำหนดจ่ายค่าทดแทนส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งก็ตาม กรณีก็ต้องนำส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งดังกล่าวของ บ. ผู้หมดสิทธิไปเฉลี่ยให้แก่ผู้มีสิทธิอื่นต่อไปตามมาตรา 21 วรรคสอง ดังนั้น สิทธิในการได้รับค่าทดแทนตามมาตรา 18 (4) จึงเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 ไม่เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600 โจทก์ซึ่งแม้จะเป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของ บ. แต่ก็มิใช่ผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 จึงไม่มีสิทธิขอรับค่าทดแทนเมื่อถึงกำหนดจ่ายส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งจากจำเลย
แม้จะปรากฏต่อมาว่าสิทธิในการได้รับค่าทดแทนของ บ. ได้สิ้นสุดลงเพราะ บ. ถึงแก่ความตายไปก่อนที่จะถึงกำหนดจ่ายค่าทดแทนส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งก็ตาม กรณีก็ต้องนำส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งดังกล่าวของ บ. ผู้หมดสิทธิไปเฉลี่ยให้แก่ผู้มีสิทธิอื่นต่อไปตามมาตรา 21 วรรคสอง ดังนั้น สิทธิในการได้รับค่าทดแทนตามมาตรา 18 (4) จึงเป็นสิทธิเฉพาะตัวของผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 ไม่เป็นมรดกตกทอดแก่ทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1600 โจทก์ซึ่งแม้จะเป็นบุตรและผู้จัดการมรดกของ บ. แต่ก็มิใช่ผู้มีสิทธิตามมาตรา 20 จึงไม่มีสิทธิขอรับค่าทดแทนเมื่อถึงกำหนดจ่ายส่วนที่เหลืออีกกึ่งหนึ่งจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6306/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอรับรองสิทธิเฉพาะตัวของผู้ร้องหลังมรณะ: ทายาทไม่อาจเป็นคู่ความแทนได้
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้ร้องเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ส. ผู้ตาย จึงเป็นกรณีที่ผู้ร้องซึ่งมิใช่บิดาโดยชอบด้วยกฎหมายขอให้ศาลพิพากษาว่าผู้ตายเป็นบุตร เป็นการยื่นคำร้องขอให้ศาลรับรองสิทธิเฉพาะตัวของผู้ร้องโดยแท้ เมื่อสิทธิตามคำร้องของผู้ร้องมิใช่สิทธิอันเป็นมรดกที่จะตกทอดแก่ทายาทได้ แม้ต่อมาผู้ร้องถึงแก่ความตายระหว่างไต่สวนคำร้อง และ ภ. ซึ่งเป็นทนายความของ ป. และ ส. ทายาทโดยธรรมของผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ก็ไม่อาจเข้าเป็นคู่ความแทนผู้ร้องที่มรณะได้ ศาลชอบที่จะยกคำร้องของ ภ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 20920/2556
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิขาดไร้อุปการะเป็นสิทธิเฉพาะตัว การทำข้อตกลงของบุตรไม่ได้ผูกพันบิดามารดา
สิทธิในการเรียกร้องค่าขาดไร้อุปการะของ ส. และของโจทก์ซึ่งเป็นบิดาและมารดาของผู้ตายตาม ป.พ.พ. มาตรา 443 วรรคท้าย ถือเป็นสิทธิเฉพาะตัว มิใช่เป็นสิทธิร่วมกันที่กฎหมายกำหนดให้บิดาหรือมารดาคนหนึ่งคนใดสามารถใช้สิทธิเรียกร้องได้เพียงคนเดียว เมื่อโจทก์มิได้มอบอำนาจให้ ส. ทำแทนโจทก์ การที่ ส. บิดาผู้ตาย ทำบันทึกข้อตกลงกับ ท. พนักงานขับรถของจำเลยจากการที่ ท. ทำละเมิดต่อผู้ตายและต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนว่าจะไม่นำคดีไปฟ้องร้องไม่ว่าทางแพ่งหรือทางอาญา อันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ. มาตรา 850 มีผลทำให้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจาก ท. และจำเลย ระงับสิ้นไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 852 จึงไม่ผูกพันโจทก์ สิทธิของโจทก์จึงไม่ระงับสิ้นไป โจทก์จึงฟ้องเรียกค่าขาดไร้อุปการะจากจำเลยได้