พบผลลัพธ์ทั้งหมด 138 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2415/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-เช็คค้ำประกัน: สิทธิโจทก์เกิดเมื่อครบกำหนด 60 วัน แม้เรียกเก็บเงินเกิน 6 เดือน จำเลยยังต้องรับผิด
คดีเดิมศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง เพราะเหตุโจทก์ยังไม่มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์นำเช็คพิพาทไปเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินในขณะที่ยังไม่พ้นระยะเวลา 60 วัน ตามข้อตกลงที่จำเลยเริ่มจะต้องมีความรับผิดต่อโจทก์ ปัจจุบันพ้นกำหนดระยะเวลา 60วัน ตามข้อตกลงที่จำเลยมีต่อโจทก์ โจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้จาก อ. โจทก์มีสิทธินำเช็คพิพาทที่จำเลยออกให้โจทก์ค้ำประกันหนี้ อ.มาฟ้องจำเลยเป็นคดีใหม่ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 เช็คพิพาทที่จำเลยออกให้โจทก์ค้ำประกันการหาเงินชำระหนี้ของ อ.จะมีผลใช้บังคับเมื่ออ.ไม่สามารถหาเงินชำระหนี้โจทก์ภายใน 60 วัน เมื่อครบกำหนด 60 วัน อ.หาเงินชำระหนี้โจทก์ไม่ได้ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกเก็บเงินตามเช็คที่ออกค้ำประกัน อ.ทันที ส่วนโจทก์จะใช้สิทธินำเช็คพิพาทไปเรียกเก็บเงินเมื่อใดก็เป็นสิทธิของโจทก์แม้จะเป็นระยะเวลาเกิน 6 เดือน นับแต่ อ.ไม่สามารถหาเงินชำระหนี้โจทก์ภายใน 60 วัน จำเลยก็ยังต้องมีความผูกพันชำระหนี้ตามเช็คค้ำประกันอยู่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1861/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายอาคารพาณิชย์ตามคำโฆษณา: การนำสืบข้อความในสัญญา และสิทธิของโจทก์เมื่อจำเลยผิดสัญญา
จำเลยโฆษณาขายอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินว่าเป็นศูนย์รวมรถเมล์โรงแรม โรงภาพยนตร์ และตลาดสด โครงการจะสร้างเสร็จภายใน 1 ปีต่อมาโจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินจากจำเลยแม้จะไม่มีข้อความตามคำโฆษณาดังกล่าวในสัญญานั้นก็ตาม แต่แผนผังแนบท้ายสัญญาซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาเป็นแผนผังศูนย์การค้าที่จำเลยจะสร้าง แสดงที่ตั้งของอาคารพาณิชย์ ศูนย์รวมรถเมล์โรงแรม โรงภาพยนตร์ ตลาดสด และอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินที่โจทก์ตกลงจะซื้อ ดังนี้ โจทก์ย่อมมีสิทธินำคำโฆษณาเสนอขายของจำเลยตอนทำสัญญาจะซื้อจะขายมาสืบได้เพราะเป็นการนำสืบอธิบายข้อความในเอกสารสัญญาจะซื้อจะขาย มิใช่การนำสืบเพิ่มเติมตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญา ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ตามสัญญาจะซื้อจะขายอาคารพาณิชย์พร้อมที่ดินระหว่างโจทก์จำเลยจำเลยมีหน้าที่ต้องสร้างศูนย์รวมรถเมล์ โรงแรม โรงภาพยนตร์และตลาดสดในบริเวณศูนย์การค้าภายในเวลา 1 ปี ตราบใดที่จำเลยยังไม่ชำระหนี้โดยไม่สร้างศูนย์การค้าภายในกำหนดเวลาดังกล่าวอันถือว่าผิดสัญญา โจทก์ซึ่งมีหน้าที่ต้องชำระเงินค่าซื้อก็ไม่จำต้องชำระเงินค่าซื้อต่อไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 369 และยังมีสิทธิเลิกสัญญาต่อจำเลยได้ตามมาตรา 387เมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาต่อจำเลยแล้ว จำเลยก็มีหน้าที่ต้องคืนเงินค่าซื้อที่โจทก์ชำระแล้วให้โจทก์ตามมาตรา 391
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2222/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีไม่ใช่สัญญากู้ยืม แต่เป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีมิใช่สัญญากู้ยืมเงิน แต่เป็นสัญญาชนิดหนึ่งที่กฎหมายมิได้บัญญัติให้ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้เบิกเงินเกินบัญชีมาแสดงจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้ฉะนั้น แม้สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจะมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้กู้หรือผู้ให้กู้ก็บังคับกันได้ เมื่อปรากฏว่าจำเลยผู้กู้ตกลงที่จะชำระหนี้เป็นการหักทอนกันทางบัญชีกับโจทก์ผู้ให้กู้ และโจทก์ยอมให้จำเลยเดินสะพัดทางบัญชีกับโจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญาและแม้ภายหลังวันครบอายุสัญญาก็ยังมีการเดินสะพัดทางบัญชี และมีการตัดทอนบัญชีหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยหักกลบลบกันเรื่อยมาตามบัญชีกระแสรายวันซึ่งเป็นการปฏิบัติต่อกันตามประเพณีของธนาคารอันมีลักษณะเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัด ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856 โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามมาตรา 655 วรรคสอง เมื่อมีการเดินสะพัดทางบัญชีหลังจากสัญญาสิ้นสุด ก็ต้องถือว่าโจทก์จำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญามีเจตนาทำสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาและโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไปได้จนกว่าจะมีการบอกเลิกสัญญาต่อกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 142/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโจทก์ถอนฟ้องคดีความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด
คดีความผิดต่อส่วนตัว โจทก์ยื่นคำร้องระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาว่าโจทก์ไม่ประสงค์จะดำเนินคดีกับจำเลยต่อไป ขอให้ศาลมีคำสั่งจำหน่ายคดี พอแปลได้ว่าโจทก์มีความประสงค์ขอถอนฟ้องเมื่อจำเลยไม่คัดค้าน ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิโจทก์ถอนฟ้องคดีความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด แม้จำเลยหลบหนี
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ก่อนสอบคำให้การจำเลยที่ ๑ หลบหนี ศาลชั้นต้นออกหมายจับและสั่ง จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑ ชั่วคราว ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ ๒ ไม่คัดค้าน เมื่อคดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใด ก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ แม้จำเลยที่ ๑ ยังมิได้ให้การ และอยู่ระหว่าง หลบหนี เมื่อไม่มีการคัดค้าน ศาลฎีกาก็อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลย ทั้งสองได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๓๙(๒) จำหน่ายคดีจาก สารบบความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัวก่อนคดีถึงที่สุด สิทธิโจทก์และผลกระทบ
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องก่อนสอบคำให้การจำเลยที่ 1 หลบหนี ศาลชั้นต้นออกหมายจับและสั่งจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1 ชั่วคราว ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาโจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 2 ไม่คัดค้านเมื่อคดีนี้เป็นคดีความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ แม้จำเลยที่ 1 ยังมิได้ให้การ และอยู่ระหว่างหลบหนี เมื่อไม่มีการคัดค้าน ศาลฎีกาก็อนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยทั้งสองได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) จำหน่ายคดีจากสารบบความ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5952/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้บางส่วนและการคิดดอกเบี้ย: โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยแม้จำเลยเสนอชำระหนี้บางส่วนไม่ได้
จำเลยทั้งสองค้างชำระค่าสินค้าแก่โจทก์ 161,973.60 บาท หนี้ครบกำหนดชำระแล้ว จำเลยที่ 1 จะบังคับให้โจทก์รับชำระหนี้แต่เพียงบางส่วน 65,331 บาท ไม่ได้ การที่โจทก์ไม่ยอมรับชำระจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ผิดนัด โจทก์คงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในต้น เงิน 65,331บาท จากจำเลยทั้งสองได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4762/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฉ้อฉลเจ้าหนี้โดยการทำนิติกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิเพิกถอนนิติกรรมได้
จำเลยที่ 3 รู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้ของโจทก์และโจทก์มีสิทธิในตึกแถวพิพาท โดยจำเลยที่ 1 นำสิทธิการเช่าช่วงตึกแถวพิพาทไปให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันหนี้การที่จำเลยที่ 3 ได้ไปติดต่อกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 แล้วได้ไปทำการจดทะเบียนยกเลิกสัญญาเช่าช่วงตึกแถวพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ได้จดทะเบียนให้จำเลยที่ 3 เช่าช่วงโดยจำเลยที่ 4 ให้ความยินยอมนั้น พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยทั้งสี่กระทำไปทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของจำเลยที่ 1 เสียเปรียบ การกระทำของจำเลยทั้งสี่ดังกล่าวเป็นการฉ้อฉลโจทก์ โจทก์มีสิทธิเพิกถอนนิติกรรมที่จำเลยทั้งสี่กระทำลงไปในนั้นได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3901/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องไม่เคลือบคลุม - สัญญาเงินกู้เบิกเกินบัญชี - ดอกเบี้ยเพิ่ม - สิทธิของโจทก์ในการบังคับชำระหนี้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 โดยถือเอาบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 13777 ของจำเลยที่มีไว้กับโจทก์เพื่อเดินสะพัดบัญชีกับโจทก์ถึงวันที่ 23 พฤษภาคม 2526 จำเลยเป็นหนี้โจทก์จำนวน 3,256,239.21 บาท จำเลยได้จำนองที่ดินและเครื่องจักรเป็นประดับหนี้ดังกล่าว หนี้ถึงกำหนดแล้วแต่จำเลยยังไม่ชำระให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้หากไม่ชำระให้ครบ ให้ยึดทรัพย์ที่จำนองออกขายทอดตลาด หากได้เงินยังไม่ชำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้โจทก์จนครบ คำฟ้องดังกล่าวถือว่าโจทก์ได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำของบีงคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้าหาครบถ้วนสมบูรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้ว ฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
ข้อตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นสัญญาในทางแพ่งซึ่งทำขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น มิได้มีผลผูกพันถึงบุคคลภายนอก และวัตถุประสงค์ของสัญญาก็ไม่ต้องห้ามโดยกฎหมายแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวใช้บังคับได้
่
ข้อตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยเพิ่มตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นสัญญาในทางแพ่งซึ่งทำขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลย ซึ่งเป็นคู่สัญญาเท่านั้น มิได้มีผลผูกพันถึงบุคคลภายนอก และวัตถุประสงค์ของสัญญาก็ไม่ต้องห้ามโดยกฎหมายแต่อย่างใด สัญญาดังกล่าวใช้บังคับได้
่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3454/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจะซื้อขายมีผลผูกพันเมื่อชำระราคาแล้ว การซื้อขายโดยไม่สุจริตกระทบต่อสิทธิโจทก์
จำเลยที่ 1 ได้ตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์โดยชำระราคาที่ดินกันเรียบร้อยและจะไปจดทะเบียนโอนให้โจทก์ภายหลัง ซึ่งเป็นลักษณะของสัญญาจะซื้อขาย ไม่ใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อได้ชำระราคากันแล้วก็ย่อมมีผลบังคับได้โดยไม่จำต้องทำสัญญาเป็นหนังสือ จำเลยที่ 2 ได้รู้เรื่องการจะซื้อขายที่พิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 แล้วก่อนที่จะจดทะเบียนซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง อันเป็นการไม่สุจริต ทำให้โจทก์เสียเปรียบ โจทก์จึงขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยทั้งสองได้.