คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หน้าที่นำสืบ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 257 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 633/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบประเด็นเจ้าของรถยนต์ที่ถูกริบ และขอบเขตการสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
ข้อที่ว่าผู้ร้องเคยไปติดต่อขอรับรถยนต์ของกลางคืนในชั้นสอบสวนหรือไม่นั้นเป็นข้อเท็จจริงอันหนึ่งสำหรับประกอบการวินิจฉัยประเด็นที่ว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของอันแท้จริงของรถยนต์ที่ศาลได้สั่งริบไปนั้นหรือไม่ ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้ร้องมีหน้าที่นำสืบ ไม่ว่าผู้ร้องจะได้เคยไปติดต่อขอรับรถยนต์ของกลางคืนแล้วหรือว่าไม่เคยไปโดยมีเหตุผลที่น่ารับฟังก็ตาม ทนายผู้ร้องก็ควรซักถามให้ผู้ร้องเบิกความไว้ให้ปรากฏ เมื่อผู้ร้องไม่ได้เบิกความถึงเลย ครั้นโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายนำพยานมาสืบภายหลังได้ซักถามพยานโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนและพยานปากนี้เบิกความว่าไม่มีผู้ใดไปร้องต่อพยานว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางนี้ดังนี้ จะถือว่าโจทก์มิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 หาได้ไม่เพราะไม่ใช่กรณีที่โจทก์สืบพยานเพื่อหักล้างหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขถ้อยคำพยานของฝ่ายผู้ร้องที่นำสืบก่อนในข้อความทั้งหลายซึ่งพยานผู้ร้องเป็นผู้รู้เห็นทั้งไม่ใช่การสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อความอย่างใดอย่างหนึ่งอันเกี่ยวกับการกระทำหรือถ้อยคำหรือหนังสือซึ่งพยานผู้ร้องได้กระทำขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลวินิจฉัยนอกประเด็นหน้าที่นำสืบที่ศาลกำหนดไว้ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แม้โจทก์มิได้โต้แย้ง
ศาลชั้นต้นชี้สองสถานและกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบ โดยมิได้กำหนดประเด็นค่าเสียหายไว้ ซึ่งเป็นการกำหนดประเด็นหน้าที่นำสืบขาดตกบกพร่อง เป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องรักษาผลประโยชน์ของตนโดยการคัดค้านหรือโต้แย้ง เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งทักท้วงประเด็นและหน้าที่นำสืบก็ต้องเป็นไปตามที่ศาลกำหนด
การที่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดประเด็นเรื่องค่าเสียหายไว้แต่กลับพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีเกี่ยวกับค่าเสียหายให้ จึงเป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นที่กำหนดไว้ไม่ชอบด้วยมาตรา 183 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และแม้ปัญหาข้อนี้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอ้างอิงในฎีกาและมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2418/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: โจทก์มีหน้าที่นำสืบพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นธรรม โดยอ้างว่าโจทก์ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และการสอบสวนฟังว่าโจทก์มีมลทินมัวหมองส่อทุจริตซึ่งความจริงโจทก์มิได้กระทำผิดดังที่ถูกกล่าวหา จำเลยให้การว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายข้อบังคับฯ เพราะโจทก์มีมลทินมัวหมองในเรื่องทุจริตต่อหน้าที่อันเป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังนี้ ประเด็นที่ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้กระทำผิดวินัยตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่เสียก่อน ซึ่งข้อนี้โจทก์มีภาระหน้าที่นำสืบตามที่กล่าวอ้าง ลำพังแต่ คำฟ้อง คำให้การ คำแถลงรับของคู่ความและพยานเอกสารที่คู่ความอ้างส่งต่อศาล ข้อเท็จจริงยังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าโจทก์ได้กระทำผิดวินัยตามที่ถูกกล่าวหาจริงหรือไม่แต่ได้ความว่าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าโจทก์กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง แต่ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันแน่ชัดถึงชั้นทุจริตต่อหน้าที่อันจะไล่ออกจากงานได้ จึงมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานฐานมีมลทินมัวหมองในเรื่องทุจริต่อหน้าที่ตามข้อบังคับฯ ฉะนั้น ที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกเอกสารคำให้การของ ธ.ที่ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนแต่ผู้เดียวมาวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้กระทำผิดและไม่มีมลทินมัวหมอง ทั้งๆ ที่ไม่มีการสืบพยานหักล้างข้อเท็จจริงผลการสอบสวนให้เห็นเป็นอย่างอื่น จึงไม่ชอบด้วยการพิจารณาว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐาน แม้ข้อนี้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ และโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างมีหน้าที่นำสืบแถลงไม่สืบพยาน เช่นนี้ โจทก์จึงไม่มีทางชนะคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2418/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องพิสูจน์ความผิดทางวินัยของลูกจ้าง โจทก์มีหน้าที่นำสืบพยาน
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นธรรม โดยอ้างว่าโจทก์ถูกกล่าวหาว่าปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และการสอบสวนฟังว่าโจทก์มีมลทินมัวหมองส่อทุจริตซึ่งความจริงโจทก์มิได้กระทำผิดดังที่ถูกกล่าวหา จำเลยให้การว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยชอบด้วยข้อบังคับฯ เพราะโจทก์มีมลทินมัวหมองในเรื่องทุจริตต่อหน้าที่อันเป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรง ดังนี้ ประเด็นที่ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่นั้น จะต้องพิจารณาข้อเท็จจริงว่าโจทก์ได้กระทำผิดวินัยตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่เสียก่อน ซึ่งข้อนี้โจทก์มีภาระหน้าที่นำสืบตามที่กล่าวอ้างลำพังแต่ คำฟ้อง คำให้การ คำแถลงรับของคู่ความและพยานเอกสารที่คู่ความอ้างส่งต่อศาล ข้อเท็จจริงยังฟังเป็นยุติไม่ได้ว่าโจทก์ได้กระทำผิดวินัยตามที่ถูกกล่าวหาจริงหรือไม่ แต่ได้ความว่าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าโจทก์กระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาจริง แต่ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันแน่ชัดถึงขั้นทุจริตต่อหน้าที่อันจะไล่ออกจากงานได้ จึงมีคำสั่งให้โจทก์ออกจากงานฐานมีมลทินมัวหมองในเรื่องทุจริตต่อหน้าที่ตามข้อบังคับฯ ฉะนั้น ที่ศาลแรงงานกลางหยิบยกเฉพาะคำให้การของ ธ.ที่ให้การต่อคณะกรรมการสอบสวนแต่ผู้เดียวมาวินิจฉัยว่าโจทก์มิได้กระทำผิดและไม่มีมลทินมัวหมอง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีการสืบพยานหักล้างข้อเท็จจริงผลการสอบสวนให้เห็นเป็นอย่างอื่นจึงไม่ชอบด้วยการพิจารณาว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐาน แม้ข้อนี้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนี้เมื่อข้อเท็จจริงยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ และโจทก์ซึ่งเป็นฝ่ายกล่าวอ้างมีหน้าที่นำสืบแถลงไม่สืบพยาน เช่นนี้ โจทก์จึงไม่มีทางชนะคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบในคดีครอบครองปรปักษ์: โจทก์ผู้กล่าวอ้างกรรมสิทธิ์ต้องนำสืบก่อน
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาทอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตามโฉนดจำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครอง จำเลยให้การต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นที่ดินในสิทธิครอบครองของจำเลย ปรากฏตามฟ้องว่าโฉนดของโจทก์ทับที่ของจำเลยอยู่เป็นเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ โฉนดดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะมิได้ดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนแห่งระเบียบและกฎหมายโดยจำเลยไม่เคยทราบเรื่องเลย เป็นการต่อสู้ในเรื่องสิทธิในที่พิพาท และโต้เถียงว่าโฉนดที่โจทก์อ้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย. ไม่มีผลให้โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินจำเลย จากฟ้องและคำให้การดังกล่าวข้อเท็จจริงฟังได้ว่าขณะพิพาทที่พิพาทอยู่ในความครอบครองของจำเลยปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า โฉนดตามฟ้องถูกต้องตามกฎหมาย ที่ดินตามโฉนดเป็นของโจทก์มิใช่ของจำเลย การออกโฉนดได้กระทำถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายหรือไม่ ซึ่งโจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างจะต้องนำสืบให้เห็นว่าความจริงเป็นดังที่อ้าง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1501/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนสมรส: หน้าที่การนำสืบข้อเท็จจริงเรื่องคู่สมรสเดิมของผู้ร้อง
ผู้ร้องขอให้จดทะเบียนสมรส เท่ากับอ้างว่าขณะนี้ต่างไม่มีคู่สมรสนายอำเภอคัดค้านปฏิเสธว่าผู้ร้องต่างมีคู่สมรสอยู่ผิดเงื่อนไขการสมรสในรายงานกระบวนพิจารณาผู้คัดค้านแถลงว่าผู้คัดค้านไม่ทราบว่าผู้ร้องมีคู่สมรสอยู่หรือไม่ ต่างไม่สืบพยาน ดังนี้ ผู้คัดค้านมิได้รับข้อเท็จจริงว่าผู้ร้องต่างไม่มีคู่สมรส และมิได้ตกลงสละประเด็นข้อนี้ ผู้ร้องยังมีหน้าที่นำสืบอยู่เมื่อผู้ร้องไม่สืบพยานผู้ร้องต้องแพ้คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 714/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองที่ดินโดยไม่แจ้งการซื้อขาย และหน้าที่การนำสืบของผู้ถือกรรมสิทธิ์แทน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินแทนโจทก์ทั้งแปลงจำเลยให้การว่าจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวแทนโจทก์เพียงครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งเป็นของจำเลย เมื่อจำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินดังกล่าว ย่อมต้องด้วยข้อสันนิษฐานไว้ก่อนว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1373 โจทก์จึงต้องมีหน้าที่นำสืบก่อน
ที่จำเลยให้การว่า โจทก์จำเลยตกลงแบ่งที่ดินตามโฉนดกันคนละครึ่งโดยให้ทิศเหนือเป็นของจำเลย ทิศใต้เป็นของโจทก์นั้นแม้ข้อตกลงนี้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือแต่เมื่อโจทก์นำสืบมิได้ตามที่กล่าวอ้างคดีก็จะต้องฟังว่าที่ดินดังกล่าวเป็นของโจทก์และจำเลยคนละครึ่งตามที่จำเลยยอมรับดังนั้น จึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่า จำเลยจะมีสิทธินำสืบถึงข้อตกลงแบ่งที่ดินดังกล่าวได้หรือไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 293/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรส, การครอบครองปรปักษ์, และหน้าที่การนำสืบเมื่ออ้างว่าทรัพย์สินเป็นของผู้อื่น
เมื่อที่ดินเป็นสินสมรส ตึกแถวซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินจึงตกเป็นสินสมรสด้วย
ข้อสันนิษฐานตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1466 วรรคท้ายใช้เฉพาะกรณีที่โต้เถียงกันว่าทรัพย์นั้นเป็นสินเดิม สินส่วนตัว หรือสินสมรสเท่านั้น จะนำมาใช้ในกรณีที่มีข้อโต้เถียงว่าเป็นทรัพย์ของบุคคลอื่นไม่ได้
โจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนด เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าถือกรรมสิทธิ์แทนผู้อื่น จึงเป็นหน้าที่โจทก์ที่จะต้องนำสืบก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแถลงไม่ติดใจสืบพยานโดยมีเงื่อนไข และหน้าที่นำสืบของคู่ความ ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาได้
โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน ในเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบตามประเด็น เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน เป็นคำแถลงไม่ติดใจสืบพยานโดยมีเงื่อนไข เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเป็นการไม่ชอบต้องให้คู่ความสืบพยานต่อไป จึงไม่ต้องด้วยเงื่อนไขที่โจทก์แถลงต่อศาล โจทก์ย่อมนำพยานเข้าสืบตามประเด็นได้
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในเรื่องหน้าที่นำสืบที่ว่าเป็นหน้าที่จำเลยต้องนำสืบก่อนให้ได้ความตามข้อต่อสู้ ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยกล่าวถึงวิธีพิจารณาที่ควรจะเป็นสำหรับรูปคดี ไม่ใช่คำชี้ขาดในคดี ไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอในคำฟ้องอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 169/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแถลงไม่ติดใจสืบพยานโดยมีเงื่อนไข และหน้าที่นำสืบพยานของคู่ความ ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้
โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน ในเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยไม่มีสิทธินำพยานเข้าสืบตามประเด็น เป็นเหตุให้ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเป็นคำแถลงไม่ติดใจสืบพยานโดยมีเงื่อนไข เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานเป็นการไม่ชอบต้องให้คู่ความสืบพยานต่อไปจึงไม่ต้องด้วยเงื่อนไขที่โจทก์แถลงต่อศาล โจทก์ย่อมนำพยานเข้าสืบตามประเด็นได้
คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในเรื่องหน้าที่นำสืบที่ว่าเป็นหน้าที่จำเลยต้องนำสืบก่อนให้ได้ความตามข้อต่อสู้ซึ่งเป็นคำวินิจฉัยกล่าวถึงวิธีพิจารณาที่ควรจะเป็นสำหรับรูปคดีไม่ใช่คำชี้ขาดในคดีไม่เป็นการพิพากษาเกินคำขอในคำฟ้องอุทธรณ์
of 26