คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อุทธรณ์ฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 120 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 317/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์ฎีกาในคดีละเมิดรวม พิจารณาตามทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละราย
โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานละเมิดโดยโจทก์ที่ 1 เรียกค่าเสียหาย 50,000 บาท โจทก์ที่ 2 เรียกค่าเสียหาย7,000 บาท ดังนี้ ถึงแม้จะฟ้องรวมเป็นคดีเดียวกัน สิทธิอุทธรณ์ฎีกาก็ต้องถือตามจำนวนทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนที่ฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1488/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านคำสั่งศาลระหว่างพิจารณาต้องทำตามขั้นตอน หากไม่จดบันทึกคำสั่งเป็นหลักฐาน สิทธิอุทธรณ์ฎีกาจึงไม่สมบูรณ์
หากศาลชั้นต้นมีคำสั่งระหว่างพิจารณาด้วยวาจา และจำเลยเห็นว่าคำสั่งนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยก็ชอบที่จะคัดค้านคำสั่งเพื่อให้ศาลชั้นต้นจดคำสั่ง และสภาพแห่งการคัดค้านลงไว้ในรายการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 26 จำเลยอ้างมาในอุทธรณ์ว่า ในระหว่างการพิจารณาจำเลยนำเอกสารถามค้านต่อโจทก์และขอส่งเอกสารนั้นต่อศาล แต่ศาลชั้นต้นไม่รับและไม่อนุญาตให้จำเลยถามค้านเกี่ยวกับเอกสารดังกล่าวคำสั่งของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เมื่อไม่มีคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นหลักฐาน ก็ไม่อาจถือได้ว่ามีคำสั่งของศาลชั้นต้นในอันที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3852/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ฟ้องและการถอนฟ้องแย้งที่ถึงที่สุดแล้ว ไม่อาจนำมาอุทธรณ์ฎีกาได้อีก
จำเลยที่ 3 ทราบก่อนแล้วว่า บริษัท ส. จดทะเบียนเลิกบริษัท และตั้งผู้ชำระบัญชีและโจทก์จะขอแก้ฟ้อง โดยแถลงต่อศาลว่าไม่คัดค้านที่ของแก้ฟ้องจากบริษัทส. เป็นผู้ชำระบัญชี จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอให้เรียกผู้ชำระบัญชีของบริษัท ส.(จำเลยที่ 1) เข้ามาด้วยแล้ว ต่อมาเมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ฟ้องชื่อจำเลยที่ 1เป็นนายรมย์ไชยเสนาผู้ชำระบัญชีบริษัทส.ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตโดยไม่ได้ส่งสำเนาคำร้องให้จำเลยที่ 3 ทราบจำเลยที่ 3 ก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องดังกล่าวแต่อย่างใด คำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 3 ไม่ได้โต้แย้งไว้ก็อุทธรณ์ฎีกาคำสั่งดังกล่าวไม่ได้
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์คำสั่งที่จำเลยที่ 1 ขอถอนฟ้องแย้งโดยมิได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 3 ต่อศาลอุทธรณ์ครั้งหนึ่งแล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ถอนฟ้องแย้งได้คดีถึงที่สุด จำเลยที่ 3 จะอุทธรณ์ฎีกาปัญหานี้อีกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2505/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกาคดีเช่าและสัญญาจองซื้อที่ไม่สมบูรณ์
คดีที่โจทก์ฟ้องและจำเลยฟ้องแย้ง จะอุทธรณ์ฎีกาได้เพียงใดหรือไม่ต้องแยกพิจารณาคนละส่วน
สัญญาจองอาคารพาณิชย์ของโจทก์ ก็คือสัญญาซึ่ง จำเลยมีเจตนาจะเช่าอาคารพาณิชย์ของโจทก์อันเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์
โจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะทำสัญญาจองตึกแถวกันเป็นหนังสือเมื่อข้อความแห่งสัญญาอันเป็นสาระสำคัญยังไม่ได้ตกลงกันหมดทุกข้อ และสัญญายังมิได้ทำเป็นหนังสือตามที่ตกลงกัน ย่อมนับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 จำเลยจะอ้างว่า มีสัญญาจองอาคารพาณิชย์ระหว่างโจทก์จำเลยและอ้างสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญานั้นหาได้ไม่
เมื่อพยานจำเลยเท่าที่นำสืบมากระจ่างชัดแล้ว แม้จะให้สืบพยานจำเลยต่อไปก็ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องของจำเลยดีกว่าจำเลยเอง คดีจึงไม่มีประโยชน์อย่างใดที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยเพิ่มเติม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2505/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกาในคดีเช่าทรัพย์สิน และการไม่มีผลผูกพันตามสัญญาจองที่ไม่สมบูรณ์
คดีที่โจทก์ฟ้องและจำเลยฟ้องแย้ง จะอุทธรณ์ฎีกาได้เพียงใดหรือไม่ต้องแยกพิจารณาคนละส่วน
สัญญาจองอาคารพาณิชย์ของโจทก์ ก็คือสัญญาซึ่ง จำเลยมีเจตนาจะเช่าอาคารพาณิชย์ของโจทก์อันเป็นการเช่าอสังหาริมทรัพย์
โจทก์จำเลยมีเจตนาที่จะทำสัญญาจองตึกแถวกันเป็นหนังสือเมื่อข้อความแห่งสัญญาอันเป็นสาระสำคัญยังไม่ได้ตกลงกันหมดทุกข้อ และสัญญายังมิได้ทำเป็นหนังสือตามที่ตกลงกัน ย่อมนับว่ายังมิได้มีสัญญาต่อกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 366 จำเลยจะอ้างว่า มีสัญญาจองอาคารพาณิชย์ระหว่างโจทก์จำเลยและอ้างสิทธิอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญานั้นหาได้ไม่
เมื่อพยานจำเลยเท่าที่นำสืบมากระจ่างชัดแล้ว แม้จะให้สืบพยานจำเลยต่อไปก็ไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริงในเรื่องของจำเลยดีกว่าจำเลยเอง คดีจึงไม่มีประโยชน์อย่างใดที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานจำเลยเพิ่มเติม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าเช่าที่ดิน และผลกระทบต่อการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ของโจทก์ โดยอ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนจะไม่ปรากฏว่าที่ดินที่พิพาทกันในขณะที่ยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้เกินเดือนละ 2,000 บาท หรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาถึงที่ตั้ง จำนวนเนื้อที่ ราคา และสภาพทั่วๆ ไปของที่พิพาทแล้วอาจให้เช่าได้ในขณะที่ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ก็ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 และ 248 แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็ไม่มีผล คดีได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2838/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับค่าเช่าที่ดินเกิน 2,000 บาท/เดือน เป็นอุทธรณ์ฎีกาที่ต้องห้ามตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ของโจทก์ โดยอ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แม้ข้อเท็จจริงตามสำนวนจะไม่ปรากฏว่าที่ดินที่พิพาทกันในขณะที่ยื่นฟ้องอาจให้เช่าได้เกินเดือนละ 2,000 บาทหรือไม่ แต่เมื่อพิจารณาถึงที่ตั้ง จำนวนเนื้อที่ ราคา และสภาพทั่ว ๆไปของที่พิพาทแล้วอาจให้เช่าได้ในขณะที่ยื่นฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาท ก็ต้องห้ามอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 และ 248 แม้ศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็ไม่มีผลคดีได้ยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2143/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อนและอำนาจศาลในการวินิจฉัยเรื่องผู้ปกครองบุตร
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอหย่าโดยอาศัยความยินยอมหย่าที่โจทก์จำเลยทำเป็นหนังสือกันไว้เป็นข้ออ้างส่วนคดีหลังโจทก์อ้างว่าจำเลยจงใจละทิ้งร้างโจทก์ไปเกินกว่าหนึ่งปีและจำเลยทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงสภาพแห่งข้อหาตลอดจนประเด็นในคดีทั้งสองต่างกัน ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนอันต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173
ปัญหาว่าบิดาหรือมารดาควรเป็นผู้ปกครองบุตรมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนเมื่อมิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นจะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ฎีกามิได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 344/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการพิจารณาคำร้องปล่อยตัวผู้ถูกควบคุมตามคำสั่ง คปถ. และสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกา
คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 22 ไม่ตัดอำนาจศาลที่จะวินิจฉัยว่า บุคคลผู้ถูกควบคุมนั้นมีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อสังคมจริงหรือไม่ โดยเฉพาะในคำสั่งก็ไม่มีข้อความระบุว่าให้อำนาจในการจับกุมและควบคุมของเจ้าพนักงานเป็นที่สุด หรือห้ามบุคคลใด ๆ นำกรณีดังกล่าวไปฟ้องร้องต่อศาล ศาลจึงมีอำนาจวินิจฉัยว่าบุคคลใดมีพฤติการณ์ที่เป็นภัยต่อสังคมจริงหรือไม่ อันจะนำข้อเท็จจริงไปสู่ข้อวินิจฉัยว่าการที่เจ้าพนักงานควบคุมบุคคลผู้นั้น เป็นการควบคุมโดยชอบหรือผิดกฎหมาย
เมื่อมีคำร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 และศาลได้หมายเรียกเจ้าพนักงานหรือบุคคลซึ่งก่อให้เกิดการควบคุมหรือขังเข้ามาในคดีแล้ว ย่อมถือว่ามีข้อพิพาทระหว่างผู้ร้องกับเจ้าพนักงานหรือบุคคลซึ่งเป็นผู้คัดค้าน และเป็นคู่ความ เมื่อศาลพิจารณาและมีคำสั่งอย่างไร หากผู้ร้องหรือผู้คัดค้านไม่เห็นด้วยตามคำสั่ง ก็ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2379/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลในการกำหนดวันอ่านคำพิพากษาและการอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณา
การที่ศาลจะพิพากษาคดี หรืออ่านคำพิพากษาเมื่อใดเป็นดุลพินิจของศาลภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 182
เมื่อศาลสั่งนัดอ่านคำพิพากษาวันเวลาใด คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จ-สำนวน โจทก์จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งนั้นโดยมิได้อุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษษอันเป็นประเด็กสำคัญด้วยหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196
of 12