คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เสียเปรียบ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 144 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1051/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์สินหนีเจ้าหนี้: เพิกถอนนิติกรรมได้หากผู้โอนและผู้รับทราบดีว่าทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 2 ทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบและจำเลยที่ 2 ผู้รับโอนได้รู้เท่าถึงความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ต้องเสียเปรียบนั้นด้วย โจทก์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนดังกล่าวได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 384/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบในคดีแพ่ง: โจทก์กล่าวอ้างต้องนำสืบก่อน การให้จำเลยนำสืบก่อนอาจเสียเปรียบ
จำเลยให้การตอนแรกปฏิเสธว่าสามีจำเลยไม่เคยกู้ยืมเงิน โจทก์สัญญากู้ยืมโจทก์ทำปลอมขึ้น เท่ากับจำเลยปฏิเสธว่าไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์ เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าสามีจำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินไป โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบข้อเท็จจริงตามที่กล่าวอ้าง
จำเลยให้การตอนหลังว่าสามีตนเคยลงลายมือชื่อในสัญญากู้ยืมซึ่งไม่ได้กรอกข้อความให้โจทก์ยึดถือไว้เพื่อเป็นประกันการชำระค่าเช่านา จะเป็นฉบับเดียวกับสัญญากู้ยืมเงินที่โจทก์นำมาฟ้องหรือไม่ จำเลยไม่ได้ให้การยอมรับ และตอนสุดท้ายก็ยืนยันว่าสัญญานี้เป็นเอกสารปลอม เพราะลายมือชื่อในช่องผู้กู้ไม่ใช่ลายมือชื่อของสามีจำเลย คำให้การเช่นนี้มีประเด็นที่จำเลยจำนำสืบได้
เมื่อหน้าที่นำสืบตกอยู่แก่ฝ่ายโจทก์ การจะให้จำเลยนำสืบอาจเป็นเหตุให้จำเลยเสียเปรียบได้. เมื่อจำเลยไม่นำพยานเข้าสืบก่อนตามคำสั่งศาลชั้นต้นจึงจะถือว่าจำเลยไม่ประสงค์สืบพยานหาได้ไม่ เพราะจำเลยได้คัดค้านไว้แล้ว และเมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จจำเลยก็แถลงขอสืบพยานแต่ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต ถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยการพิจารณากรณีมีเหตุสมควรให้พิจารณาคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2716/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายทรัพย์สินที่ทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบและการรับช่วงสิทธิจำนอง
โจทก์ยอมถอนการยึดทรัพย์พิพาทที่ยึดไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาก็เพื่อให้จำเลยนำไปขายแก่บุคคลทั่วไป มิได้เจาะจงให้ขายแก่ผู้ร้องเพื่อนำเงินมาชำระแก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และผู้ร้องรู้อยู่ก่อนทำสัญญาซื้อขายทรัพย์พิพาทจากจำเลยว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การที่จำเลยตกลงขายทรัพย์พิพาทให้ผู้ร้อง โดยโจทก์มิได้ยินยอมให้ผู้ร้องหักหนี้ที่จำเลยเป็นหนี้ผู้ร้องอยู่ก่อนจนเหลือเงินไม่พอชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการที่จำเลยได้ขายทรัพย์พิพาทให้ผู้ร้องทั้งรู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบและผู้ร้องได้รู้เท่าถึงความจริงโจทก์ชอบที่จะขอให้เพิกถอนเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
การที่ผู้ร้องได้ชำระหนี้ให้ธนาคาร ก. แทนจำเลยเป็นการไถ่ถอนจำนองทรัพย์พิพาทจนเป็นที่พอใจของธนาคาร ก. และธนาคาร ก.ได้จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองให้จำเลยแล้ว ผู้ร้องย่อมเข้ารับช่วงสิทธิจำนองของธนาคาร ก. ที่มีอยู่เหนือทรัพย์พิพาทในอันที่จะได้รับชำระหนี้จากทรัพย์พิพาทก่อนหนี้รายอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 226, และ 229(2)
แม้ตามคำร้องและคำให้การของโจทก์จะมีประเด็นเพียงว่าผู้ร้องและจำเลยสมคบกันโอนทรัพย์พิพาทให้พ้นจากการถูกยึดขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์เท่านั้น แต่การที่ผู้ร้องและจำเลยสมคบกันโอนทรัพย์พิพาทให้พ้นจากการถูกยึดขายทอดตลาดชำระหนี้ให้โจทก์นั้น ย่อมมีความหมายอยู่ในตัวว่าทำให้โจทก์เสียเปรียบ ศาลย่อมวินิจฉัยถึงปัญหาดังกล่าวได้ ไม่เป็นการนอกประเด็น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2084/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนมรดกที่เป็นทางเสียเปรียบต่อผู้มีสิทธิเรียกร้องในมรดก โดยการโอนนั้นมีค่าตอบแทนและสุจริตหรือไม่
การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ตกได้แก่จำเลยที่ 1 และโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อนต้องเสียเปรียบ การโอนดังกล่าวจึงอาจถูกเพิกถอนได้ เว้นแต่จะเป็นการโอนอันมีค่าตอบแทนซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริต กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่กรณีเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2084/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนทรัพย์มรดกที่เป็นทางเสียเปรียบแก่ผู้มีสิทธิได้รับมรดก การเพิกถอนนิติกรรมเมื่อผู้รับโอนไม่สุจริต
การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งเป็นทรัพย์มรดกที่ตกได้แก่จำเลยที่ 1 และโจทก์ให้แก่จำเลยที่ 2 ทำให้โจทก์ผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิได้อยู่ก่อนต้องเสียเปรียบ การโอนดังกล่าวจึงอาจถูกเพิกถอนได้ เว้นแต่จะเป็นการโอนอันมีค่าตอบแทนซึ่งผู้รับโอนกระทำการโดยสุจริต กรณีเช่นนี้เป็นเรื่องการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์เป็นทางเสียเปรียบแก่บุคคลผู้อยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อนตามมาตรา 1300 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่กรณีเพิกถอนการฉ้อฉลตามมาตรา 237

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2010/2525

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเนื่องจากผิดสัญญาประนีประนอมยอมความและรู้ถึงความเสียเปรียบของเจ้าหนี้
การที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่พิพาทให้แก่จำเลยที่ 2และ ที่ 3โดยไม่โอนขายให้โจทก์ก่อนตามข้อตกลงในสัญญาประนีประนอมยอมความ ย่อมเป็นการทำนิติกรรมทั้งที่รู้อยู่ว่าเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 รู้เท่าถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบนั้นด้วย โจทก์ย่อมมีสิทธิร้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่พิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 237 และขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1945/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การระบุพยานเพิ่มเติมต้องมีเหตุสมควร หากไม่มีเหตุผลรองรับ ศาลย่อมต้องห้ามมิให้รับฟัง
เมื่อไม่มีเหตุสมควรที่จะอนุญาตให้จำเลยระบุพยานเพิ่มเติมตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคสาม แม้ศาลชั้นต้นได้สืบพยานที่ระบุ เพิ่มเติมไปแล้ว ก็ย่อมต้องห้าม มิให้รับฟัง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายเนื่องจากฉ้อฉลและการเสียเปรียบของเจ้าหนี้
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยที่1 ผิดสัญญาไม่ยอมจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์โจทก์มิได้ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินให้แต่ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 เรียกเงินมัดจำกับค่าปรับ และศาลได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้ กล่าวอ้างว่าภายหลังที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์และจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ยอมจดทะเบียนโอนขายที่ดินให้โจทก์แล้ว ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 โดยร่วมกันฉ้อฉล ทั้งที่จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าโจทก์เป็นคู่สัญญาจะซื้อที่ดินจากจำเลยที่ 1 ซึ่งจำเลยที่ 1 จะต้องโอนขายที่ดินให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ให้คืนเงินมัดจำและชำระค่าปรับ แต่จำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดจะชำระหนี้ให้โจทก์ได้นอกจากที่ดินแปลงดังกล่าวแปลงเดียว ทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาจะซื้อขาย ดังนี้หากข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 อาจเป็นการฉ้อฉล อันจะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยทั้งสองได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2074/2522

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินกรรมสิทธิ์รวมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล และการเพิกถอนนิติกรรมกรณีผู้รับซื้อรู้ข้อเท็จจริงทำให้เสียเปรียบ
จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดาผู้แทนโดยชอบธรรมของจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาจะขายที่พิพาทซึ่งจำเลยทั้งสองมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันทั้งส่วนของตนและส่วนของจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์ โดยไม่ได้ขออนุญาตศาลขายส่วนของจำเลยที่ 2 สัญญาจะซื้อขายดังกล่าวไม่ผูกพันจำเลยที่ 2 คงผูกพันเฉพาะจำเลยที่ 1 ต่อมาเมื่อจำเลยที่ 2บรรลุนิติภาวะแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้โอนขายที่พิพาทให้จำเลยที่ 3 ซึ่งรับซื้อไว้โดยรู้ข้อความจริงที่ทำให้โจทก์ผู้ทำสัญญาจะซื้อขายไว้ก่อนเสียเปรียบ โจทก์ย่อมขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมระหว่างจำเลยที่ 1 กับที่ 3 เสียได้
เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่พิพาทส่วนของจำเลยที่ 2 ให้แก่โจทก์โดยไม่มีอำนาจที่จะทำได้และโจทก์ไม่อาจบังคับตามสัญญาให้จำเลยขายที่พิพาทส่วนของจำเลยที่ 2 ได้ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดใช้ ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์
เรื่องค่าเสียหายนี้แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาคัดค้าน แต่เมื่อโจทก์จะได้รับ โอนที่พิพาทครึ่งแปลง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจลดค่าเสียหายลงได้ตามส่วน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 399/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เพิกถอนจำนองที่ดิน: เจ้าหนี้ซื้อที่ดินจากลูกหนี้ แล้วลูกหนี้จำนองที่ดินนั้นให้ผู้อื่น โดยผู้รับจำนองทราบถึงการเสียเปรียบของเจ้าหนี้
จำเลยที่ 1 จัดสรรที่ดิน โจทก์ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งไว้จึงอยู่ในฐานะเจ้าหนี้ที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามสัญญาซื้อขาย เมื่อจำเลยที่ 1 เอาที่ดินแปลงที่ขายให้โจทก์ไปจำนองแก่จำเลยที่ 2 ทั้งที่รู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ และจำเลยที่ 2 รับจำนองที่ดินไว้โดยทราบแล้วว่าจำเลยที่ 1 จัดสรรขายให้บุคคลอื่นไปแล้ว ซึ่งเป็นการรู้ถึงข้อความจริงอันเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบนั้นด้วย โจทก์จึงชอบที่จะร้องขอให้ศาลเพิกถอนเสียได้ซึ่งนิติกรรมจำนองดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237
ก่อนครบหนึ่งปีนับแต่วันที่โจทก์ทราบถึงการจำนอง ได้มีคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติให้อายัดที่ดินของจำเลยที่ 1 และให้ตกเป็นของรัฐ แต่ให้โจทก์มีสิทธิยื่นเอกสารต่อเจ้าหน้าที่แสดงสิทธิในที่ดินของโจทก์ได้ เมื่อโจทก์ได้ยื่นเอกสารแสดงสิทธิของโจทก์แล้ว ย่อมถือเสมือนหนึ่งว่าโจทก์ทำการอื่นใดอันนับว่ามีผลเป็นอย่างเดียวกับการฟ้องคดี อายุความย่อมสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173
of 15