พบผลลัพธ์ทั้งหมด 152 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาการร้องทุกข์สำคัญกว่าการฟ้องเอง การแจ้งความต้องประสงค์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี
การร้องทุกข์ที่ชอบด้วยกฎหมายจะต้องเป็นการแจ้งความในลักษณะของการกล่าวหาโดยมีเจตนาให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี เมื่อบันทึกการแจ้งความมีข้อความแสดงชัดว่าในขณะที่แจ้งโจทก์ไม่มีเจตนาให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลย ซึ่งถือว่าไม่เป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย การที่โจทก์มาฟ้องคดีเองในภายหลัง ก็หามีผลให้คำร้องทุกข์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวกลับกลายเป็นชอบด้วยกฎหมายขึ้นมาไม่ โจทก์แจ้งความว่า จึงมอบอำนาจให้ผู้แจ้งมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อประสงค์ให้จำเลยได้รับโทษตามกฎหมายและโจทก์ประสงค์ขอรับเช็คของกลางคืนไปเพื่อดำเนินการฟ้องร้องกับจำเลยและผู้เกี่ยวข้องในทางศาลเองต่อไป โดยไม่ขอมอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการแต่อย่างใด ดังนี้แม้แจ้งความดังกล่าวมีข้อความว่า มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อประสงค์ให้จำเลยรับโทษตามกฎหมาย แต่ก็มีข้อความต่อไปว่าโจทก์ขอรับเช็คคืนเพื่อดำเนินการฟ้องร้องเองจึงเห็นเจตนาของโจทก์ได้ว่าไม่ประสงค์ให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนดำเนินคดีแก่จำเลย แจ้งความดังกล่าวจึงไม่ใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(7)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคืนภาษีอากรศุลกากร: ต้องฟ้องภายใน 2 ปีนับแต่วันนำของเข้า และแจ้งความก่อนส่งมอบ
พระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 มาตรา 10 วรรคห้า มีความหมายว่าสิทธิในการเรียกร้องหรือในการฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนเงินอากรเพราะเหตุที่ได้เสียไว้เกินจำนวนที่พึงต้องเสียนั้น จะต้องฟ้องเสียภายในสองปีนับแต่วันที่นำของเข้า และถ้าเป็นการเรียกร้องหรือฟ้องคดีเพื่อขอคืนอากรเพราะเหตุอันเกี่ยวกับชนิด คุณภาพ ปริมาณ น้ำหนักหรือราคาแห่งของใด ๆ หรือเกี่ยวกับอัตราอากรสำหรับของใด ๆ นอกจากจะต้องเรียกร้องหรือฟ้องคดีภายในสองปีแล้ว กฎหมายยังบัญญัติไว้อีกว่าจะต้องแจ้งความไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบว่าจะยื่นคำเรียกร้องด้วย
โจทก์นำของเข้ามาในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2521อ้างว่าเจ้าหน้าที่ศุลกากรสั่งเพิ่มราคาของให้สูงขึ้น เพื่อประเมินเรียกเก็บภาษีอากรแต่โจทก์ฟ้องคดีเรียกคืนภาษีอากรที่เสียเพิ่มขึ้นดังกล่าว เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2529 ดังนี้ แม้โจทก์จะได้แจ้งความต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบของว่าจะยื่นคำเรียกร้องขอคืนอากร คดีของโจทก์ก็ขาดอายุความตาม มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 แล้ว.
โจทก์นำของเข้ามาในราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2521อ้างว่าเจ้าหน้าที่ศุลกากรสั่งเพิ่มราคาของให้สูงขึ้น เพื่อประเมินเรียกเก็บภาษีอากรแต่โจทก์ฟ้องคดีเรียกคืนภาษีอากรที่เสียเพิ่มขึ้นดังกล่าว เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2529 ดังนี้ แม้โจทก์จะได้แจ้งความต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ก่อนการส่งมอบของว่าจะยื่นคำเรียกร้องขอคืนอากร คดีของโจทก์ก็ขาดอายุความตาม มาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พุทธศักราช 2469 แล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐานไม่ถือเป็นคำร้องทุกข์ คดีจึงขาดอายุความ
ในคดีความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค คำแจ้งความที่ว่า มาแจ้งความร้องทุกข์เพื่อที่จะให้ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาให้ถึงที่สุด แต่ในชั้นนี้ผู้แจ้งยังไม่ขอมอบคดี โดยจะขอไปติดตามทวงถามด้วยตนเองอีก ถ้าได้รับการปฏิเสธการใช้เงินจะกลับมามอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการถึงที่สุด จึงขอลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานนั้น เห็นได้ว่าในวันที่มีการลงบันทึกประจำวัน เป็นการแจ้งไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น บันทึกดังกล่าวจึงมิใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (7)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 314/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐานยังไม่ถือเป็นคำร้องทุกข์ อายุความจึงยังไม่เริ่มนับ
ในคดีความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คคำแจ้งความที่ว่ามาแจ้งความร้องทุกข์เพื่อที่จะให้ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องหาให้ถึงที่สุดแต่ในชั้นนี้ผู้แจ้งยังไม่ขอมอบคดีโดยจะขอไปติดตามทวงถามด้วยตนเองอีกถ้าได้รับการปฏเสธการใช้เงินจะกลับมามอบคดีให้พนักงานสอบสวนดำเนินการถึงที่สุด.จึงขอลงประจำวันไว้เป็นหลักฐานนั้นเห็นได้ว่าในวันที่มีการลงบันทึกประจำวันเป็นการแจ้งไว้เป็นหลักฐานเท่านั้นบันทึกดังกล่าวจึงมิใช่คำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา2(7).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2390/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความดำเนินคดีโดยสุจริต ไม่ถือเป็นการละเมิด และอายุความฟ้องเรียกทรัพย์คือ 10 ปี
จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้เลี่ยมกรอบพระเครื่องให้4องค์แต่ไม่ไปรับพระเครื่องที่โจทก์เลี่ยมกรอบเสร็จแล้วคืนโจทก์จึงขายพระเครื่องไปเช่นนี้การที่จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ฐานยักยอกทรัพย์โดยไม่ได้ความว่าจำเลยจงใจกลั่นแกล้งกล่าวหาย่อมถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริตและการที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาควบคุมตัวและดำเนินการสอบสวนโจทก์จนกระทั่งพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ต่อศาลจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ การฟ้องเรียกทรัพย์คืนหรือให้ใช้ราคาทรัพย์ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้จึงต้องถืออายุความ10ปีตามป.พ.พ.มาตรา164.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2390/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความดำเนินคดีอาญาโดยสุจริตไม่เป็นละเมิด และอายุความฟ้องเรียกทรัพย์สินคืน 10 ปี
จำเลยว่าจ้างโจทก์ให้เลี่ยมกรอบพระเครื่องให้4องค์แต่ไม่ไปรับพระเครื่องที่โจทก์เลี่ยมกรอบเสร็จแล้วคืนโจทก์จึงขายพระเครื่องไปเช่นนี้การที่จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ฐานยักยอกทรัพย์โดยไม่ได้ความว่าจำเลยจงใจกลั่นแกล้งกล่าวหาย่อมถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริตและการที่พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาควบคุมตัวและดำเนินการสอบสวนโจทก์จนกระทั่งพนักงานอัยการฟ้องโจทก์ต่อศาลจึงเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการการกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์. การฟ้องเรียกทรัพย์คืนหรือให้ใช้ราคาทรัพย์ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้จึงต้องถืออายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164.(ที่มา-ส่งเสิรมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4785/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความของจำเลยไม่ทำให้เกิดละเมิดต่อโจทก์ แม้รถยนต์ถูกยึดจากการสอบสวนเรื่องการไม่ต่อทะเบียน
จำเลยที่ 1 ขายรถยนต์คันพิพาทให้โจทก์ รับชำระราคาแล้วบางส่วน ตกลงกันว่าจะโอนทะเบียนกันเมื่อชำระราคาหมดแล้ว โจทก์มอบรถยนต์ ดังกล่าวให้ห้าง ฯ ย. จัดจำหน่าย และห้าง ฯ ย. ให้ ค. เช่าซื้อไป ต่อมา จำเลยที่ 1 พา ค.ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า ค. เช่าซื้อรถ มาจากห้าง ฯ ย. แล้วเกิดการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในรถระหว่างโจทก์ กับจำเลยที่ 1 พนักงานสอบสวนได้ยึดรถยนต์คันพิพาทไป แต่เหตุที่พนักงานสอบสวนยึดรถยนต์ก็เนื่องจากสอบสวนได้ความว่ารถยนต์เป็นของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ต่อทะเบียน จึงดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2 อันเป็นเรื่องอยู่ในอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของพนักงานสอบสวนโดยเฉพาะ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 กระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4785/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความของจำเลยที่ 1 ไม่ทำให้โจทก์เสียหายจากการยึดรถยนต์ของพนักงานสอบสวน จึงไม่เป็นการละเมิด
จำเลยที่ 1 ขายรถยนต์คันพิพาทให้โจทก์รับชำระราคาแล้วบางส่วน ตกลงกันว่าจะโอนทะเบียนกันเมื่อชำระราคาหมดแล้วโจทก์มอบรถยนต์ ดังกล่าวให้ห้างฯ ย. จัดจำหน่าย และห้างฯย.ให้ค.เช่าซื้อไปต่อมาจำเลยที่1พาค.ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า ค. เช่าซื้อรถ มาจากห้างฯย. แล้วเกิดการโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในรถระหว่างโจทก์ กับจำเลยที่ 1 พนักงานสอบสวนได้ยึดรถยนต์คันพิพาทไป แต่เหตุที่พนักงานสอบสวนยึดรถยนต์ก็เนื่องจากสอบสวนได้ความว่ารถยนต์เป็นของจำเลยที่ 2 ไม่ได้ต่อทะเบียน จึงดำเนินคดีกับจำเลยที่ 2 อันเป็นเรื่องอยู่ในอำนาจหน้าที่และดุลพินิจของพนักงานสอบสวนโดยเฉพาะ ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1กระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 391/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความชะลอการดำเนินคดีไม่ถือเป็นการร้องทุกข์ ทำให้ฟ้องคดีเกินอายุความ
ในคดียักยอก ข้อความที่ว่า นำความมาแจ้งเพื่อชะลอการดำเนินคดีไว้ก่อน ถ้าหากจำเลยไม่ชำระเงินจะได้มาแจ้งดำเนินคดีต่อไปอีก จึงนำความมาแจ้งไว้เป็นหลักฐานดังนี้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการร้องทุกข์ตามกฎหมาย เพราะขณะแจ้งยังไม่ประสงค์จะให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดี ครั้นพ้นกำหนด 3 เดือน นับแต่รู้เรื่องความผิด และรู้ตัวผู้กระทำผิด ผู้เสียหายจึงได้มาแจ้งความให้ดำเนินคดีกับจำเลยคดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3443/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา: ผู้พ้นตำแหน่ง ไวยาวัจกร ไม่มีสิทธิเรียกร้องความเสียหายจากการแจ้งความหายของสมุดบัญชีวัด
โจทก์พ้นจากตำแหน่งไวยาวัจกร และทางวัดได้เพิกถอนอำนาจของ โจทก์ในการสั่งจ่าย-ถอนเงินของวัดแล้ว ขณะเกิดเหตุโจทก์ไม่ ได้เป็นไวยาวัจกรของวัด ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเงินหรือ สมุดฝากเงินของวัดแล้ว การที่จำเลยผู้เป็นเจ้าอาวาส แจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าสมุดเงินฝากของวัดตกหาย จึงไม่ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง