คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
โจทก์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,033 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดิน: โจทก์มีสิทธิครอบครองก่อน จำเลยครอบครองโดยอาศัยสิทธิโจทก์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทในฐานะที่โจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครอง และไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองอยู่ในที่ดินพิพาทอีกต่อไป จำเลยทั้งสองโต้แย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสอง คำฟ้องของโจทก์จึงมิได้อาศัยสิทธิตามสัญญาเช่า เป็นแต่เพียงกล่าวอ้างถึงมูลเหตุที่จำเลยทั้งสองเข้าอยู่และทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทให้ปรากฏเท่านั้น จำเลยทั้งสองอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยทั้งสองหักร้างถางพงทำกินจึงได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท แต่ตามทางพิจารณาจำเลยทั้งสองไม่สามารถนำสืบหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ว่าที่ดินพิพาทโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครอง ดังนั้นแม้จำเลยทั้งสองจะแสดงปรากฏออกมาแก่บุคคลภายนอกดังที่อ้างก็ตาม สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยทั้งสองย่อมไม่เกิดมีขึ้น และเมื่อจำเลยทั้งสองอ้างว่าตนเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท จึงไม่มีประเด็นข้อโต้แย้งในเรื่องการแย่งการครอบครองเพราะการแย่งการครอบครองที่จะได้สิทธิครอบครองจะมีได้แต่เฉพาะในที่ดินที่ไม่ใช่ของจำเลยทั้งสองเท่านั้น ส่วนการที่จำเลยทั้งสองอ้างว่าที่ดินพิพาทเป็นคนละแปลงกับที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้แต่แรกคงเป็นเพียงคำกล่าวอ้างลอย ๆ ศาลฎีกาไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1593/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำเลยออกเช็คก่อนถูกบังคับชำระหนี้แทนโจทก์ ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. เช็ค
โจทก์จดทะเบียนจำนองที่ดินไว้ต่อธนาคาร ก. เพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่มีต่อธนาคาร ก. ต่อมาจำเลยได้สั่งจ่ายเช็คธนาคาร ก. ให้แก่โจทก์เพื่อนำไปเบิกเงินและไถ่ถอนจำนอง แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน หลังจากนั้นโจทก์ได้ถูกธนาคาร ก. ฟ้องบังคับจำนองคดีถึงที่สุดโดยศาลพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี ขณะที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คโจทก์จึงยังมิได้ถูกธนาคารซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของจำเลยฟ้องบังคับจำนองหรือโจทก์ได้ชำระหนี้จำนองให้แก่ธนาคารแล้ว ณ ขณะนั้นจำเลยไม่มีหนี้ที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลย อันเนื่องจากโจทก์ถูกธนาคารบังคับชำระหนี้แทนจำเลย ฉะนั้น เมื่อจำเลยสั่งจ่ายเช็ค โดยยังไม่มีหนี้ซึ่งอาจบังคับได้ที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยจึงไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534มาตรา 4

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีแพ่งที่จำหน่ายคดีเนื่องจากล้มละลาย ศาลต้องคืนค่าขึ้นศาลเพื่อบรรเทาภาระแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความเนื่องจากจำเลยถูกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย ศาลชั้นต้นต้องมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตาม ป.วิ.พ. มาตรา 167 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้ศาลมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมด้วย บทบัญญัติของกฎหมายในมาตราดังกล่าวมีเจตนารมณ์ให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามที่เห็นสมควร ซึ่งต่างจากกรณีที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลต้องมีคำสั่งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมด หรือในกรณีที่มีการถอนคำฟ้องหรือได้มีการ ตัดสินให้ยกคำฟ้องโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องคดีใหม่ หรือเมื่อคดีได้เสร็จเด็ดขาดลงโดยสัญญาหรือ การประนีประนอม ยอมความ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 151 วรรคสอง บัญญัติให้ศาลมีอำนาจที่จะสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือบางส่วนแก่คู่ความได้ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์ทั้งสองกับ จำเลยทั้งหกเป็นพับจึงชอบแล้ว
อย่างไรก็ตาม การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโจทก์ออกจากสารบบความ ซึ่งเกิดจากเหตุที่จำเลยทั้งหก ถูกศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดนั้น โจทก์ทั้งสองก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายอีกด้วย ตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจไม่คืน ค่าธรรมเนียมให้โจทก์ทั้งสองเลยนั้น น่าจะเป็นภาระแก่โจทก์ทั้งสองที่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมซ้ำซ้อน คือ ค่าธรรมเนียมในการยื่นฟ้องคดีนี้และค่าธรรมเนียมในการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย ซึ่งเป็นหนี้จำนวนเดียวกันที่โจทก์ทั้งสองเรียกร้อง ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งคืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นทั้งหมดแก่โจทก์ทั้งสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1182/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นคำฟ้องไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ศาลไม่ชอบวินิจฉัยเอง โจทก์มีสิทธิฟ้องใหม่เพื่อเรียกค่าเสียหาย
โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระเงินตามสัญญาจ้างเหมาก่อสร้างโดยถือว่าสัญญายังไม่เลิกกัน คำฟ้องจึงไม่มีประเด็นเกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายของโจทก์อันเกิดแต่การที่จำเลยบอกเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 605 และโจทก์ย่อมไม่อาจนำสืบถึงความเสียหายของโจทก์ดังกล่าวได้ เนื่องจากเป็นเรื่องนอกประเด็นตามคำฟ้อง เมื่อคดีนี้ไม่มีประเด็นและคู่ความก็มิได้นำสืบกันมา ศาลจะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยเอาเองโดยไม่มีข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานสนับสนุนย่อมเป็นการไม่ชอบ และมีเหตุสมควรให้โอกาสโจทก์ไปฟ้องเป็นคดีใหม่ให้ตรงกับความเป็นจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9858/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตอำนาจศาล: เหตุแห่งการฟ้องเกิดขึ้นนอกเขตศาลชั้นต้น ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
มูลคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 4 (1) หมายถึงต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้แย้งสิทธิอันจะทำให้เกิดอำนาจฟ้องร้องตามสิทธิ
ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดอุดรธานี โจทก์กับหุ้นส่วนผู้จัดการของจำเลย ได้ตกลงว่าจ้างโจทก์ให้ทวงหนี้จากลูกหนี้จำเลย และให้เป็นทนายความโดยตกลงกันทางโทรศัพท์ และจำเลยได้จัดส่งเอกสารต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ และได้โอนเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายผ่านธนาคารในจังหวัดอุดรธานี เพื่อเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารซึ่งอยู่ในเขตบางรัก กรุงเทพมหานคร โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ชำระเงิน 154,925 บาท โดยอาศัยเหตุที่จำเลยได้ปรึกษาโจทก์และว่าจ้างโจทก์เป็นทนายความติดตามทวงถามหนี้ และให้โจทก์เป็นทนายความฟ้องลูกหนี้ของจำเลยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ แต่ต้นเหตุอันเป็นที่มาแห่งการโต้สิทธิอันจะทำให้เกิดอำนาจฟ้องร้องตามสิทธิเกิดขึ้น นอกเขตอำนาจของศาลแขวงดุสิตซึ่งเป็นศาลชั้นต้นโจทก์จึงไม่มีอำนาจเสนอคำฟ้องนี้ต่อศาลแขวงดุสิต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8875/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่เคลือบคลุม แม้มีการระบุชื่อโจทก์ผิดในคำขอท้ายฟ้อง หากจำเลยยังเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้
คำฟ้องของโจทก์ได้ระบุถึงตัวบุคคลซึ่งเป็นโจทก์ผู้ยื่นคำฟ้องไว้โดยแจ้งชัดว่า คือ ธ. มิใช่ธนาคารและบรรยายถึงสภาพแห่งข้อหาว่า เป็นเรื่องกู้ยืมเงินโดยโจทก์เป็นผู้ให้จำเลยกู้เงินไปและกล่าวถึงข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้นว่า จำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยคืนโจทก์จึงมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยก็สามารถให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้อง และจำเลยทราบดีอยู่ว่าโจทก์มีสภาพเป็นบุคคลธรรมดามิใช่เป็นนิติบุคคลมาแต่ต้น การที่คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีคำว่าธนาคารโจทก์อยู่ด้วยเป็นเพียงการพิมพ์ผิดพลาดไป ไม่ทำให้จำเลยถึงกับไม่เข้าใจคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์แต่อย่างใด คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กฎหมายยกเลิกแล้ว ศาลไม่สามารถใช้ลงโทษจำเลยได้ แม้โจทก์อ้าง
ความผิดฐานประกอบโรคศิลปะสาขาเวชกรรมโดยฝ่าฝืนกฎหมาย ตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 มาตรา 11 มีบัญญัติไว้แล้วในพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2511 มาตรา 21 จึงถือว่าความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะพ.ศ. 2479 ในส่วนที่เกี่ยวกับสาขาเวชกรรมถูกยกเลิกแล้วโดยพระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2511 การที่โจทก์อ้างกฎหมายที่ถูกยกเลิกแล้วมาขอให้ลงโทษจำเลย มีผลเท่ากับโจทก์ไม่ได้อ้างกฎหมายอันใดมาเลย ไม่ใช่เรื่องอ้างบทกฎหมายผิด ศาลจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8599/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเนื่องจากโจทก์ขาดนัด และคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ที่ถูกห้ามตามกฎหมาย
คำร้องของโจทก์ที่โต้แย้งคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นตาม ป.วิ.พ. มาตรา 197 วรรคสอง และมาตรา 201 วรรคหนึ่ง (เดิม) มิได้กล่าวอ้างว่า ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาโดยผิดระเบียบ หรือฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายใด คงอ้างแต่เพียงว่า กรณีมีเหตุสุดวิสัยที่โจทก์ไม่สามารถมาศาลได้ โจทก์ไม่มีเจตนาที่จะละเลยไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือคำสั่งของศาล ขอให้ไต่สวนและกำหนดนัดสืบพยานโจทก์ต่อไป เท่ากับเป็นการกล่าวอ้างว่าโจทก์มิได้จงใจขาดนัดพิจารณา จึงถือได้ว่าคำร้องของโจทก์ดังกล่าวเป็นคำขอให้พิจารณาคดีนี้ใหม่ จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 วรรคหนึ่ง ชอบที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์เสียได้ โดยไม่ต้องทำการไต่สวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7563/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิด พ.ร.บ.ควบคุมกิจการเทปฯ มิใช่ความผิดอันยอมความได้ แม้ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ สิทธิฟ้องคดีของโจทก์ยังคงอยู่
ความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่าเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ควบคุมกิจการเทปและวัสดุโทรทัศน์ พ.ศ. 2530 มิใช่เป็นความผิดอันยอมความกันได้ แม้ผู้เสียหายจะถอนคำร้องทุกข์ก็ไม่ตัดสิทธิพนักงานอัยการที่จะฟ้องคดีนั้นตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 26 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 126 วรรคสอง สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่าเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้ รับอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมายจึงไม่ระงับไป การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความโดยรวมถึงความผิดฐานดังกล่าวไปด้วยจึงไม่ชอบ
การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีของโจทก์ออกจากสารบบความในความผิดฐานประกอบกิจการให้เช่าเทปและวัสดุโทรทัศน์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนตามกฎหมายเพราะผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ เป็นการมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 45 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 และ ป.วิ.พ. มาตรา 243 (1) ศาลฎีกาให้ย้อนสำนวนให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศพิพากษาใหม่ในความผิดฐานดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7412/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่โจทก์นำสืบพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดจำเลย แม้จำเลยรับสารภาพก็ต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุน
ในคดีอาญา เมื่อจำเลยให้การปฏิเสธแล้วก็เป็นหน้าที่ของโจทก์โดยตรงที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนฟ้องและพิสูจน์ให้ได้ความชัดแจ้งว่า จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดตามฟ้อง เพราะแม้ในคดีที่จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องในความผิดที่กฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไปหรือโทษสถานหนักกว่านั้น โจทก์ก็ยังมีหน้าที่นำพยานหลักฐานเข้าสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยให้ศาลรับฟังได้จนเป็นที่พอใจว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงจะลงโทษจำเลยตามฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 วรรคหนึ่งแม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134จะบัญญัติไว้ว่าถ้อยคำของจำเลยหรือผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนอาจใช้เป็นพยานหลักฐานยันจำเลยในชั้นพิจารณาได้ก็ตามแต่ถ้อยคำหรือคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนก็เป็นเพียงพยานหลักฐานของโจทก์อย่างหนึ่งที่โจทก์จะนำสืบสนับสนุนฟ้องเท่านั้น ดังนั้น ลำพังแต่คำรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น จึงไม่อาจที่จะยกขึ้นมายันลงโทษจำเลยได้
of 104