คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
โทษจำคุก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 507 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5539/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ รอการลงโทษคดีประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย – ชดใช้ค่าเสียหาย & ไม่เคยต้องโทษ
รายงานการสืบเสาะและพินิจของพนักงานคุมประพฤติถือเป็นรายงานของเจ้าพนักงานที่ปฏิบัติไปตามคำสั่งของศาล ไม่เป็นพยานหลักฐานของโจทก์หรือจำเลยในคดี ข้อเท็จจริงตามรายงานดังกล่าวที่ว่าผู้ตายมีส่วนประมาทด้วย จึงมิใช่ข้อเท็จจริงที่จำเลยได้ยกขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ไม่จำต้องรับวินิจฉัยให้
ผู้กระทำความผิดในฐานะกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและหลบหนีไม่แจ้งเหตุ ไม่ถือว่าเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง เมื่อตามรายงานของพนักงานคุมประพฤติปรากฏว่ามารดาของผู้ตายและ บ. ได้รับชดใช้ค่าเสียหายเป็นที่พอใจและต่างไม่ติดใจที่จะดำเนินการในทางแพ่งอีก ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรรอการลงโทษจำคุกให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4758/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายยาเสพติด และผลกระทบต่อโทษจำคุกและปรับของจำเลย
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2545 มารตรา 8 และมาตรา 19 ยกเลิกความในมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่ง พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และให้ใช้ข้อความใหม่แทน โดยในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ทั้งตามกฎหมายเดิมและกฎหมายที่แก้ไขใหม่ในมาตรา 15 วรรคหนึ่ง คงใช้ข้อความทำนองเดียวกัน จึงต้องใช้กฎหมายเดิมบังคับ สำหรับคดีนี้เมทแอมเฟตามีนที่จำเลยจำหน่ายไปมีจำนวน 1 เม็ด น้ำหนัก 0.094 กรัม โดยไม่ปรากฏว่ามีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้เท่าใด ต้องด้วยบทกำหนดโทษตามมาตรา 66 วรรคหนึ่งที่แก้ไขใหม่มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงสิบห้าปี หรือปรับตั้งแต่แปดหมื่นบาทถึงสามแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แตกต่างจากที่กำหนดไว้ในกฎหมายเดิม มาตรา 66 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ห้าหมื่นบาทถึงห้าแสนบาท กรณีโทษจำคุกต้องถือว่ากฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณมากกว่า จึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดบังคับแก่จำเลย ส่วนโทษปรับทั้งกฎหมายเดิมและกฎหมายใหม่ต่างเป็นคุณต่อผู้กระทำความผิด กล่าวคือ โทษขั้นสูงตามกฎหมายที่แก้ไขใหม่เป็นคุณกว่า ส่วนโทษขั้นต่ำตามกฎหมายเดิมเป็นคุณกว่า ถ้าจะลงโทษปรับขั้นสูงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่เพราะเป็นคุณกว่า ถ้าจะลงโทษปรับขั้นต่ำต้องใช้กฎหมายเดิมเพราะเป็นคุณกว่า พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว คดีนี้โทษปรับที่จะลงแก่จำเลยให้ใช้กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4593/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงโทษจากจำคุกเป็นฝึกอบรมในสถานพินิจฯ และข้อจำกัดในการฎีกาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83,340 วรรคหนึ่ง จำคุกคนละ 3 ปี ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งจำเลยทั้งสองไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลางคนละ 1 ปี ศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคแรก และมาตรา 391 การกระทำเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 309 วรรคแรก ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ส่วนจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309วรรคแรก ให้ส่งตัวจำเลยทั้งสองไปรับการฝึกอบรมยังสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกลางมีกำหนดคนละ 1 เดือน กรณีเป็นการแก้เฉพาะบทลงโทษและแก้ไขระยะเวลาการฝึกและอบรมซึ่งไม่ใช่โทษตามกฎหมาย จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยและต้องถือว่าศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองไม่เกินคนละห้าปี ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 มาตรา 124
ฎีกาของโจทก์ที่ว่า พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองถือได้แล้วว่าจำเลยทั้งสองกับพวกร่วมกันลักทรัพย์ผู้เสียหายทั้งสอง โดยใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์และยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้ อันเป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์ และเป็นการกระทำเพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยเจตนาทุจริต เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวที่ฟังว่า การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาทุจริตไม่เป็นความผิดฐานปล้นทรัพย์จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3826/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ละเมิดลิขสิทธิ์เพื่อการค้าและการลงโทษที่ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาแก้ไขโทษปรับและยืนยันโทษจำคุก
การกระทำของจำเลยแม้จะเป็นเรื่องที่ละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศ แต่ก็มีผลกระทบกระเทือนต่อความเชื่อมั่นในการบังคับใช้กฎหมายในด้านทรัพย์สินทางปัญญาของชาติต่อประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมเป็นภาคีอนุสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย เพราะกระทบกระเทือนต่อเศรษฐกิจของชาติโดยตรงประกอบกับจำนวนเครื่องจักรผลิตแผ่นซีดีแผ่นแม่พิมพ์ซีดี(แผ่นแสตมเปอร์)และจำนวนแผ่นซีดีที่ได้ผลิตไว้แล้วมีจำนวนมาก ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษให้แก่จำเลยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีแล้ว
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยกับพวกร่วมกันละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสร้างสรรค์ประเภทศิลปกรรมซึ่งเกี่ยวกับภาพยนตร์ และสิ่งบันทึกเสียงซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของผู้เสียหาย ด้วยการนำภาพของศิลปินและภาพในภาพยนตร์ต่าง ๆ มาทำซ้ำ พิมพ์ลงบนแผ่นฟิล์มและแผ่นสกรีนเพื่อนำไปใช้เป็นแม่พิมพ์โดยใช้วิธีการทางการพิมพ์ทำซ้ำให้ปรากฏลงแผ่นซีดี ซึ่งจำเลยกับพวกรู้อยู่แล้วว่างานศิลปกรรมดังกล่าวเป็นงานที่ได้ทำขึ้นโดยละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้เสียหายและโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เสียหายเท่านั้นแต่ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำเพื่อการค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ มาตรา 28(1),69 วรรคหนึ่งมิใช่วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3762/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหักวันคุมขังก่อนศาลพิพากษาในคดีทรัพย์สินทางปัญญา แม้คำพิพากษาไม่ได้ระบุ
การที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ศาลซึ่งรายงานว่าไม่ต้องหักวันคุมขังให้แก่จำเลยที่ 2 แล้วแจ้งให้ทนายจำเลยทราบโดยไม่ได้สั่งแก้ไขหมายจำคุกระหว่างอุทธรณ์ฎีกา เท่ากับให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2 โดยเห็นด้วยกับรายงานของเจ้าหน้าที่ศาล จำเลยที่ 2 จึงอุทธรณ์คำสั่งได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ถูกคุมขังในคดีนี้ตามหมายขังระหว่างพิจารณาตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2544 โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ถือได้ว่าตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2544 ถึงวันที่ 11 ตุลาคม 2544 ซึ่งเป็นวันที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ พิพากษาจำเลยที่ 2 ถูกคุมขังมาก่อนศาลพิพากษา เมื่อคำพิพากษาไม่ได้ระบุว่าไม่ให้หักวันคุมขังให้แก่จำเลยที่ 2 จึงต้องหักวันคุมขังดังกล่าวออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษาให้แก่จำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 22

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงโทษซ้ำซ้อนในคดีละเมิดลิขสิทธิ์: ศาลฎีกายกประเด็นโทษจำคุกเป็นสองเท่า แม้ไม่มีการอุทธรณ์
จำเลยกระทำผิดในคดีนี้เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2544 และจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้ลงโทษปรับในความผิดต่อ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2544 แสดงว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ก่อนที่จะต้องคำพิพากษาให้ลงโทษในคดีดังกล่าว ดังนั้น จำเลยจึงมิใช่ผู้กระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 ซึ่งได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วยังไม่ครบห้าปีกลับมากระทำความผิดอีกตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 73 แห่ง พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 จึงไม่อาจระวางโทษจำเลยเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ในคดีนี้ได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2377/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความคดีก่อสร้างอาคารผิดกฎหมาย เริ่มนับจากก่อสร้างเสร็จ โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปีอายุความ 5 ปี
ความผิดฐานก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารฯ มาตรา 21 เกิดเป็นความผิดขึ้นเริ่มแต่วันทำการก่อสร้างอาคารติดต่อเนื่องกันไปจนถึงวันทำการก่อสร้างอาคารเสร็จ อายุความฟ้องร้องจึงเริ่มนับถัดจากวันที่การก่อสร้างอาคารเสร็จลง การที่จำเลยดำเนินการก่อสร้างอาคารพิพาทโดยไม่ได้รับอนุญาตตั้งแต่ปี 2532 จนถึงปี 2535 การกระทำของจำเลยจึงเกิดเป็นความผิดเริ่มตั้งแต่ปี 2532 ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2535 ซึ่งเป็นปีที่การก่อสร้างอาคารเสร็จ อายุความฟ้องร้องจึงเริ่มนับถัดจากปี 2535 เป็นต้นไป เมื่อฐานความผิดดังกล่าวมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี อายุความฟ้องร้องจึงมีกำหนด 5 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 95 ดังนั้น การที่โจทก์ฟ้องและได้ตัวจำเลยมาส่งศาลในเดือนธันวาคม 2538คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1770/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษมาบวกกับโทษใหม่ ต้องมีหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยยอมรับการเคยต้องโทษในคดีก่อน
การที่จะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกของจำเลยที่ศาลพิพากษาในคดีหลังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58 นั้น ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่ความปรากฏแก่ศาลเองหรือความปรากฏตามคำแถลงของโจทก์หรือเจ้าพนักงานก็ตาม จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยยอมรับหรือไม่คัดค้านในข้อที่เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนให้ลงโทษจำคุกและโทษจำคุกนั้นศาลให้รอการลงโทษไว้เสียก่อน ศาลจึงจะนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีก่อนมาบวกเข้ากับโทษจำคุกในคดีหลังได้ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การว่าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องทุกประการ อันเป็นเพียงการยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำฟ้องเท่านั้นมิได้เป็นการยอมรับว่าเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้อง ทั้งโจทก์ไม่สืบพยานให้ปรากฏความในเรื่องนี้ จึงไม่อาจฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกและโทษจำคุกนั้นศาลรอการลงโทษไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองนำโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้มาบวกเข้ากับโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีนี้จึงไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขได้เองแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1576/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีต่อกระทง ทำให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเป็นไปไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ลงโทษจำคุกกระทงละ 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 เป็นจำคุก 15 ปี และลดโทษให้ตาม ป.อ. มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9629/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดหลายกรรมต่างกันจากการครอบครองและใช้เครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาต และการพิจารณาโทษจำคุก
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันตามจำนวนเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลางที่จำเลยมีและใช้โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากเจ้าพนักงานรวม 5 กรรม ซึ่งสามารถแยกการกระทำจากกันเป็นราย ๆ ไปได้ จำเลยให้การรับสารภาพ ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดแยกเป็นราย ๆ ไป การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันรวม 5 กระทง
of 51