พบผลลัพธ์ทั้งหมด 369 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2644/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริตและอำนาจฟ้อง ผู้ซื้อทราบว่ามีผู้ครอบครองอยู่แล้ว
ในการซื้อขายที่พิพาทกันซึ่งมีชื่อบ. เป็นผู้ถือสิทธิครอบครองคงมีแต่โจทก์ต. บ. และป. เท่านั้นที่ได้เจรจาต่อรองกันไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามได้รู้เห็นยินยอมหรือร่วมเจรจาอยู่ด้วยแต่ต. กลับเป็นผู้รับรองต่อโจทก์ว่าบุตรทุกคนยินยอมให้ขายที่พิพาทได้และรับว่าหากโจทก์ต้องการใช้ประโยชน์ในที่พิพาทเมื่อใดก็จะจัดการให้รื้อบ้านออกไปและก่อนซื้อโจทก์ได้ไปดูที่พิพาทและเห็นจำเลยปลูกบ้านพักอาศัยอยู่ในที่พิพาทในลักษณะมั่นคงถาวรอยู่ก่อนแล้วแต่ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ซักถามจำเลยหรือแม้แต่บ. และต.ให้ได้ความชัดเจนว่าจำเลยปลูกบ้านอาศัยอยู่ในที่พิพาทได้ด้วยเหตุใดการที่โจทก์ซื้อที่พิพาทไว้ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วว่าจำเลยปลูกบ้านอยู่อาศัยอันเป็นการใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทอยู่ถือไม่ได้ว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตเมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องขับไล่จำเลยในพฤติการณ์เช่นนี้เป็นกรณีที่โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2546/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง: ไม่จำเป็นต้องสุจริตในการเริ่มครอบครอง
การได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ไม่จำเป็นว่าผู้ครอบครองจะต้องไม่รู้ว่าทรัพย์สินที่ตนครอบครองเป็นของผู้อื่น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1695/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีโดยไม่สุจริตและการคืนเงินจากการบังคับคดี
ก่อนที่จำเลยจะฟ้อง ว.และโจทก์ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันตามคดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530 ของศาลชั้นต้น จำเลยรู้อยู่ก่อนแล้วว่า ว.ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาท เมื่อจำเลยซื้อรถยนต์พิพาทจาก ว.จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์และไม่อาจนำรถยนต์พิพาทออกให้เช่าซื้อได้ตามป.พ.พ.มาตรา 572 ดังนั้น เมื่อจำเลยนำรถยนต์พิพาทออกให้เช่าซื้อ โดยโจทก์เป็นผู้ค้ำประกันสัญญาเช่าซื้อ สัญญาค้ำประกันดังกล่าวจึงไม่ผูกพันโจทก์ การที่จำเลยฟ้องให้ ว.และโจทก์รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน ตามคดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530 ของศาลชั้นต้น ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า จำเลยไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทที่แท้จริง จึงถือได้ว่าจำเลยใช้สิทธิในการฟ้องคดีโดยไม่สุจริตอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ เมื่อจำเลยดำเนินการบังคับคดีเอาแก่โจทก์โดยอายัดเงินเดือนและเงินโบนัสของโจทก์จากการประปานครหลวง จำเลยจึงต้องรับผิดชำระเงินที่ได้รับจากการบังคับคดีในคดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530ของศาลชั้นต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยคืนแก่โจทก์
คดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530 ของศาลชั้นต้น จำเลยฟ้องโจทก์ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันในฐานะโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน จึงมีประเด็นพิพาทว่าโจทก์ผิดสัญญาหรือไม่ และเมื่อโจทก์แพ้คดีดังกล่าว ต่อมาโจทก์ทราบจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2536 ว่า ในขณะที่ทำสัญญาเช่าซื้อ จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ที่เช่าซื้อ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยอ้างว่าจำเลยใช้สิทธิฟ้องคดีเดิมไม่สุจริตพร้อมกับเรียกเงินที่ได้จากการบังคับคดีของโจทก์คืน ประเด็นพิพาทในคดีนี้จึงมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินที่ได้รับจากการบังคับคดีคืนแก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งการฟ้องคดีนี้มิได้ฟ้องโดยอาศัยข้อผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันแต่อย่างใด ดังนั้นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามิได้เป็นอย่างเดียวกันกับคดีก่อนประเด็นที่วินิจฉัยมิใช่โดยอาศัยเหตุเดียวกัน และมิใช่ฟ้องคดีในเรื่องเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คดีหมายเลขแดงที่ 14473/2530 ของศาลชั้นต้น จำเลยฟ้องโจทก์ให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันในฐานะโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน จึงมีประเด็นพิพาทว่าโจทก์ผิดสัญญาหรือไม่ และเมื่อโจทก์แพ้คดีดังกล่าว ต่อมาโจทก์ทราบจากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 964/2536 ว่า ในขณะที่ทำสัญญาเช่าซื้อ จำเลยไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ที่เช่าซื้อ โจทก์จึงมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยอ้างว่าจำเลยใช้สิทธิฟ้องคดีเดิมไม่สุจริตพร้อมกับเรียกเงินที่ได้จากการบังคับคดีของโจทก์คืน ประเด็นพิพาทในคดีนี้จึงมีว่า จำเลยจะต้องรับผิดชำระเงินที่ได้รับจากการบังคับคดีคืนแก่โจทก์หรือไม่ ซึ่งการฟ้องคดีนี้มิได้ฟ้องโดยอาศัยข้อผูกพันตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันแต่อย่างใด ดังนั้นข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหามิได้เป็นอย่างเดียวกันกับคดีก่อนประเด็นที่วินิจฉัยมิใช่โดยอาศัยเหตุเดียวกัน และมิใช่ฟ้องคดีในเรื่องเดียวกัน ฟ้องของโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1218/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิใช้ทางจำเป็น - การใช้สิทธิโดยไม่สุจริต - ทางพิพาท - การยินยอมทำทาง
บันทึกเอกสารหมาย จ.9 มีข้อความเพียงว่า จำเลยที่ 1สัญญาว่าจะให้ทางเดินเข้าออกกว้าง 3.50 เมตร แก่ที่ดินโฉนดเลขที่ 182541ถึง 182547 บันทึกดังกล่าวไม่มีคู่สัญญา แต่มี อ.ลงชื่อในฐานะพยานไว้ จึงเป็นเพียงบันทึกอนุญาตหรือให้ความยินยอมแก่เจ้าของที่ดินด้านในผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1ได้เท่านั้น และไม่เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก
การที่จำเลยที่ 1 ได้ทำบันทึกยินยอมให้โจทก์และเจ้าของที่ดินที่อยู่ด้านใน ทำทางเข้าออกผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้ ทั้งโจทก์ก็ได้ร่วมกันออกเงินเป็นค่าใช้จ่ายทำทางพิพาทผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 และได้ใช้ทางพิพาทตลอดมาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ปิดกั้นทางพิพาทมิให้โจทก์ทั้งห้าใช้ประโยชน์จากทางพิพาทจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตาม ป.พ.พ.มาตรา 5 จำเลยที่ 2และที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ทราบเรื่องนี้และปิดกั้นทางพิพาท จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสามต้องเปิดทางพิพาทให้โจทก์ทั้งห้าใช้ประโยชน์ได้ตามปกติ
การที่จำเลยที่ 1 ได้ทำบันทึกยินยอมให้โจทก์และเจ้าของที่ดินที่อยู่ด้านใน ทำทางเข้าออกผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้ ทั้งโจทก์ก็ได้ร่วมกันออกเงินเป็นค่าใช้จ่ายทำทางพิพาทผ่านที่ดินของจำเลยที่ 1 และได้ใช้ทางพิพาทตลอดมาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว การที่จำเลยที่ 1 ปิดกั้นทางพิพาทมิให้โจทก์ทั้งห้าใช้ประโยชน์จากทางพิพาทจึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตาม ป.พ.พ.มาตรา 5 จำเลยที่ 2และที่ 3 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ทราบเรื่องนี้และปิดกั้นทางพิพาท จึงเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสามต้องเปิดทางพิพาทให้โจทก์ทั้งห้าใช้ประโยชน์ได้ตามปกติ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6747/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการโอนทรัพย์ก่อนล้มละลายและการขอรับชำระหนี้ของผู้รับโอนที่ไม่สุจริต
เมื่อการโอนทรัพย์พิพาทถูกเพิกถอนแล้วผู้คัดค้านจะเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้ได้หรือไม่ย่อมเป็นไปตามกฎหมายการที่ศาลไม่ได้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้มิใช่เป็นการตัดสิทธิของผู้คัดค้านแต่อย่างใดนอกจากนี้บุคคลผู้ได้รับความเสียหายเพราะการโอนถูกเพิกถอนตามพระราชบัญญัติ ล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา114เป็นบุคคลผู้ไม่สุจริตขอรับชำระหนี้ไม่ได้เพราะเป็นกรณีนอกเหนือจากที่กฎหมายบัญญัติไว้ที่ศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งให้ผู้คัดค้านเป็นเจ้าหนี้มีสิทธิขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ได้จึงชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6515/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยไม่สุจริตและผลกระทบต่อกรรมสิทธิ์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวมาโดยไม่สุจริต ไม่ได้เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยไม่สุจริต กล่าวคือ โจทก์อ้างว่าซื้อที่ดินมาตามโฉนด แต่โจทก์ไม่ได้มาดูที่ดินหรือสอบถามเสียก่อนว่ามีอาณาเขตจากไหนถึงไหน มียุ้งฉางอยู่ก่อนโดยอาศัยสิทธิอย่างไรและมีการล้อมรั้วลวดหนามเป็นอย่างไร ซึ่งผิดวิสัยของบุคคลที่จะซื้อที่ดิน อันเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดถึงการได้มาซึ่งที่ดินดังกล่าวโดยไม่สุจริตของโจทก์ คำให้การของจำเลยดังกล่าวชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 177 วรรคสองจึงมีประเด็นที่จำเลยจะสืบตามข้อสู้ได้ว่าโจทก์ได้สิทธิมาโดยไม่สุจริต ตาม ป.พ.พ.1299 วรรคสอง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีมา ย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6515/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริตและผลกระทบต่อการครอบครองปรปักษ์ ศาลฎีกาวินิจฉัยการงดสืบพยาน
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทจนได้กรรมสิทธิ์แล้วโจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวมาโดยไม่สุจริตไม่ได้เสียค่าตอบแทนและจดทะเบียนโดยไม่สุจริตกล่าวคือโจทก์อ้างว่าซื้อที่ดินมาตามโฉนดแต่โจทก์ไม่ได้มาดูที่ดินหรือสอบถามเสียก่อนว่ามีอาณาเขตจากไหนถึงไหนมียุ้งฉางอยู่ก่อนโดยอาศัยสิทธิอย่างไรและมีการล้อมรั้วลวดหนามเป็นอย่างไรซึ่งผิดวิสัยของบุคคลที่จะซื้อที่ดินอันเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดถึงการได้มาซึ่งที่ดินดังกล่าวโดยไม่สุจริตของโจทก์คำให้การของจำเลยดังกล่าวชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจึงมีประเด็นที่จำเลยจะสืบตามข้อสู้ได้ว่าโจทก์ได้สิทธิมาโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1299วรรคสองศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยและพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีมาย่อมเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6383/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การก่อสร้างรุกล้ำที่ดินโดยประมาทเลินเล่อและไม่สุจริต เจ้าของที่ดินมีสิทธิเรียกร้องให้รื้อถอนได้
เมื่อจำเลยทั้งสามไม่พบหลักเขตที่ดินด้านที่ติดต่อกับที่ดินของโจทก์ทั้งสองก่อนหรือขณะทำการก่อสร้างอาคาร จำเลยทั้งสามก็ไม่เคยยื่นคำขอรังวัดสอบเขตที่ดินหรือแจ้งแก่เจ้าของที่ดินข้างเคียงให้ไประวังแนวเขตที่ดิน การที่จำเลยทั้งสามปลูกสร้างอาคารถาวรลงในที่ดินของตนรุกล้ำที่ดินของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและถือว่าไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5979/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิกถอนการซื้อขายที่ดินที่เป็นสินสมรสโดยไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรส และผลกระทบต่อผู้รับโอนที่ไม่สุจริต
โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ที่ดินพิพาทมาเมื่อ พ.ศ.2529 อันเป็นเวลาภายหลังที่บทบัญญัติบรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ.ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519ใช้บังคับแล้ว ที่ดินพิพาทจึงไม่เป็นสินบริคณห์ แต่เป็นสินสมรสตามบทบัญญัติที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่ได้ที่ดินพิพาทมา เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากันไว้ในเรื่องทรัพย์สินเป็นพิเศษก่อนสมรส การที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินพิพาทซึ่งมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของแก่จำเลยที่ 2 โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ นิติกรรมการซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าว จึงไม่ชอบด้วยบทบัญญัติบรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ.ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519 มาตรา 1476 (1) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ.(ฉบับที่ 10) พ.ศ.2533 มาตรา 10 อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะทำนิติกรรมนั้น และเมื่อจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินพิพาทดังกล่าวได้ตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่ง ป.พ.พ.ที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 1480 และการเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายดังกล่าวจะต้องเพิกถอนนิติกรรมนั้นทั้งหมด จะเพิกถอนเฉพาะส่วนโจทก์หาได้ไม่ แต่เมื่อโจทก์ขอมาเพียงเฉพาะส่วนของโจทก์เท่านั้นศาลก็มิอาจพิพากษาให้เกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5453/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาจ้างทำของไม่จำเป็นต้องทำเป็นหนังสือ การรับฟังพยานหลักฐานการส่งมอบสินค้า และการต่อสู้คดีที่ไม่สุจริต
กิจการที่ ล.ตัวแทนเชิดของจำเลยจ้างโจทก์ผลิตฟองน้ำวิทยาศาสตร์ให้จำเลยโดยใช้สัมภาระที่โจทก์จัดหาให้นั้นเป็นสัญญาจ้างทำของซึ่ง ป.พ.พ.บรรพ 3 ลักษณะ 7 มิได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือแต่อย่างใดการที่ ล.เป็นตัวแทนจำเลยหรือไม่ จึงไม่จำต้องมีหลักฐานที่ทำเป็นหนังสือมาแสดง
โจทก์ส่งผลิตภัณฑ์ตามสัญญาจ้างให้แก่จำเลยรับไว้ครบถ้วนแล้วหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานใด ๆ มาสืบได้ภายใต้บังคับ ป.วิ.พ.หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐานตามที่ ป.วิ.พ. มาตรา 85 บัญญัติไว้ เมื่อ ณ และ ก พยานบุคคลของโจทก์เป็นผู้รู้เห็นในเรื่องที่โจทก์ได้ส่งผลิตภัณฑ์ตามสัญญาจ้างให้แก่จำเลย ตามที่ให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง ย่อมไม่ต้องห้ามรับฟัง ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีใบส่งของที่ผู้รับของลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารมาแสดง ดังนั้น การสืบพยานบุคคลว่าจำเลยได้รับของตามใบส่งของดังกล่าวไว้ครบถ้วนแล้ว โดยที่ใบส่งของดังกล่าวไม่มีลายมือชื่อผู้รับของลงไว้ ก็ไม่ต้องห้ามตามป.วิ.พ.มาตรา 94 (ข)
จำเลยต่อสู้คดีโดยไม่สุจริต การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจตามป.วิ.พ. 142(6) พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15ต่อปี นับแต่วันฟ้อง จึงเป็นการสมควรแล้ว
โจทก์ส่งผลิตภัณฑ์ตามสัญญาจ้างให้แก่จำเลยรับไว้ครบถ้วนแล้วหรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งโจทก์มีสิทธิที่จะนำพยานหลักฐานใด ๆ มาสืบได้ภายใต้บังคับ ป.วิ.พ.หรือกฎหมายอื่นอันว่าด้วยการรับฟังพยานหลักฐานและการยื่นพยานหลักฐานตามที่ ป.วิ.พ. มาตรา 85 บัญญัติไว้ เมื่อ ณ และ ก พยานบุคคลของโจทก์เป็นผู้รู้เห็นในเรื่องที่โจทก์ได้ส่งผลิตภัณฑ์ตามสัญญาจ้างให้แก่จำเลย ตามที่ให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง ย่อมไม่ต้องห้ามรับฟัง ทั้งปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าว ไม่มีกฎหมายบังคับให้ต้องมีใบส่งของที่ผู้รับของลงลายมือชื่อไว้ในเอกสารมาแสดง ดังนั้น การสืบพยานบุคคลว่าจำเลยได้รับของตามใบส่งของดังกล่าวไว้ครบถ้วนแล้ว โดยที่ใบส่งของดังกล่าวไม่มีลายมือชื่อผู้รับของลงไว้ ก็ไม่ต้องห้ามตามป.วิ.พ.มาตรา 94 (ข)
จำเลยต่อสู้คดีโดยไม่สุจริต การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจตามป.วิ.พ. 142(6) พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละ 15ต่อปี นับแต่วันฟ้อง จึงเป็นการสมควรแล้ว