พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3112/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างมาตรากฎหมายในคำพิพากษา: ศาลอุทธรณ์ไม่ต้องระบุซ้ำหากศาลชั้นต้นระบุไว้แล้ว
แม้ศาลอุทธรณ์ได้พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยไม่ได้ระบุมาตราที่ยกขึ้นปรับก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดโดยระบุมาตรานั้นไว้แล้วจึงเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ได้ระบุอ้างมาตราที่ยกขึ้นปรับแก่คดีโดยชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 186(7) ประกอบมาตรา 214 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3053/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอายัดที่ดินตามประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 83 คุ้มครองสิทธิผู้มีส่วนได้เสีย จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเพิกถอนหรือมีคำพิพากษาถึงที่สุด
การที่ประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 83 ให้ผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินอันอาจจะฟ้องร้องบังคับให้มีการจดทะเบียนหรือให้มีการเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนยื่นคำขออายัดที่ดินต่อเจ้าพนักงานที่ดินได้มีกำหนด 60 วัน ก็เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้มีส่วนได้เสียไว้ก่อนมีการฟ้องคดีต่อศาล และเมื่อผู้มีส่วนได้เสียฟ้องผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียน และแสดงหลักฐานการยื่นฟ้องพร้อมกับสำเนาคำฟ้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินผู้รับอายัดภายในกำหนดเวลาที่อายัดแล้วบทบัญญัติมาตราดังกล่าวก็ให้ความคุ้มครองต่อไปโดยให้การอายัดนั้นมีผลต่อไปจนกว่าศาลในคดีที่ผู้ขออายัดได้ยื่นฟ้องไว้จะสั่งให้ถอนการอายัดหรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุด เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลในคดีที่ ป. ผู้ขออายัดเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้ซึ่งเป็นผู้มีชื่อเป็นเจ้าของในทะเบียนกับพวกเป็นจำเลยได้มีคำสั่งถอนการอายัดที่ดินดังกล่าวหรือมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดแล้วแต่อย่างใดศาลก็ไม่อาจมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานที่ดินอำเภอเมืองเพชรบูรณ์จดทะเบียนโอนสิทธิที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ที่ 1 ตามคำพิพากษาในคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3045/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความกับการบังคับคดี: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำพิพากษาไม่ขัดแย้งกัน แม้มีการถอนการยึดทรัพย์
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้โจทก์นำเงินค่าที่ดินมาวางศาลภายในกำหนด 3 เดือน นับแต่วันทำยอมแล้วจำเลยจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้โจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันชำระเงิน แต่เมื่อล่วงเลยกำหนดเวลาวางเงินแล้ว โจทก์ยื่นคำร้องขอไม่วางเงินอ้างว่าที่ดินพิพาทถูก น. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยอีกคดีหนึ่งยึดไว้ ทำให้จำเลยไม่สามารถโอนที่ดินให้แก่โจทก์ได้ ศาลฎีกามีคำพิพากษาถึงที่สุดว่ากรณีเป็นการแก้ไขคำพิพากษาตามยอมไม่อาจสั่งให้โจทก์ไม่วางเงินได้ ดังนี้แม้จะปรากฏว่าในคดีแพ่งที่ น. เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลย โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ถอนการยึดที่ดินพิพาทและศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่า การที่โจทก์ยังไม่ได้วางเงินเพราะจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญายอมได้ เนื่องจากน. ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินพิพาทไว้ก่อน จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญายอม และโจทก์มีสิทธิตามคำพิพากษาตามยอมที่จะบังคับให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้ก่อนจึงให้ถอนการยึดที่ดินพิพาทในคดีดังกล่าวก็ตาม แต่คำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองเรื่องนี้ก็ไม่ขัดกันเพราะประเด็นในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องวางเงินภายในกำหนดเวลาตามคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ แต่ประเด็นตามคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวนั้นเป็นเรื่องถอนการยึดทรัพย์ แม้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวจะกล่าวอ้างว่าโจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญายอมก็ตาม แต่ก็เป็นเพียงกล่าวอ้างถึงเหตุอันสมควรถอนการยึดที่ดินพิพาทเท่านั้น กรณีจึงมีประเด็นพิพาทต่างกัน และผลแห่งคำพิพากษาศาลฎีกาทั้งสองคดีก็เป็นคนละเรื่องกัน หาขัดแย้งกันไม่ โจทก์จึงไม่ชอบที่จะนำคำพิพากษาศาลฎีกาคดีดังกล่าวมาอ้างในคดีนี้เพื่อขอวางเงินตามคำพิพากษาตามยอมในคดีนี้ได้อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3043/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่ง แม้มีการฟ้องล้มละลาย จำเลยยังคงเป็นหนี้
เมื่อคดีแพ่งที่พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ต่อโจทก์ถึงที่สุดแล้ว โจทก์และจำเลยทั้งสองซึ่งเป็นคู่ความในคดีดังกล่าวจะต้องผูกพันตามคำพิพากษานั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 คือต้องฟังว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามจำนวนตามคำพิพากษา ดังกล่าวไม่มีกฎหมายบัญญัติยกเว้นไว้ว่า คดีล้มละลายนั้นคู่ความไม่ต้องผูกพันในผลของคดีแพ่งซึ่งถึงที่สุดแล้ว การที่จำเลยในคดีล้มละลายมีสิทธินำสืบว่าตนไม่มีหนี้สินล้นพ้นตัวและไม่สมควรเป็นบุคคลล้มละลายตามที่จำเลยกล่าวอ้างนั้นเป็นเพียงสิทธินำสืบทั่ว ๆ ไปของจำเลยเท่านั้น ไม่ถึงกับนำสืบหักล้างผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3030/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดเพื่อคัดค้านคำพิพากษาเรื่องหนี้มรดก ต้องยื่นระหว่างพิจารณาคดี ไม่ใช่หลังมีคำพิพากษา
กรณีตามคำร้องของผู้ร้องสอดเป็นการขอให้เพิกถอนคำพิพากษาในส่วนที่เกี่ยวกับความรับผิดของจำเลยที่ 3 ซึ่งมิใช่กรณีที่จะร้องสอดในชั้นบังคับคดีเพราะผู้ร้องมิได้เป็นคู่ความในคดีมาแต่ต้น ผู้ร้องเป็นทายาทของ ป. เช่นเดียวกับจำเลยที่ 3การร้องสอดของผู้ร้องมีลักษณะเข้ามาเพื่อให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิในการรับมรดกของตนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1)ซึ่งเป็นการเข้ามาต่อสู้คดีกับโจทก์ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ผู้ร้องจึงต้องยื่นคำร้องดังกล่าวขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น หาใช่มายื่นภายหลังศาลชั้นต้นพิพากษาคดีแล้วไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3029/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา การออกหมายบังคับคดีชอบด้วยกฎหมาย แม้ผู้ถูกบังคับคดีจะออกจากที่พิพาทแล้ว
ศาลได้มีคำพิพากษาให้จำเลยและผู้ร้องสอดกับบริวารออกจากที่ดินและตึกพิพาท ให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะ ออกไปจากที่ดินและตึกพิพาท กับให้ร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืนผู้ร้องสอดได้รับทราบคำพิพากษา ของ ศาลฎีกาและศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้ผู้ร้องสอด ปฏิบัติ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วด้วย ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดตามคำบังคับ โจทก์ยื่นคำขอให้ออกหมายบังคับคดีอ้างว่าผู้ร้องสอดยังไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ การที่ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271หากผู้ร้องสอดได้ออกไปจากตึกพิพาทก่อนนี้แล้วก็ไม่ต้องบังคับในส่วนนี้คงบังคับในส่วนอื่นตามคำพิพากษาเช่นค่าเสียหายหรือค่าฤชาธรรมเนียม ต่อไปเพราะการที่ผู้ร้องสอดออกไปจากตึกพิพาทไม่อาจจะลบล้างค่าเสียหายที่ยังค้างชำระก่อนนี้ได้ผู้ร้องสอดออกจากที่พิพาทหรือยังเป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์ยังไม่ยอมรับ และแถลงในคำขอว่าผู้ร้องสอดไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ จึงต้องออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2937/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำคดีล้มละลาย: การอ้างหนี้เดิมเพิ่มเติมหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลาย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าจำเลยสามารถชำระหนี้ได้ คดีถึงที่สุด โจทก์ฟ้องคดีล้มละลายนี้โดยอ้างว่ามีพยานหลักฐานเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนหนี้สินของจำเลย แต่เป็นหนี้สินที่จำเลยมีอยู่แล้วในขณะที่โจทก์ฟ้องคดีก่อนซึ่งโจทก์ชอบที่จะอ้างและนำสืบได้ คำฟ้องโจทก์คดีนี้อาศัยข้อเท็จจริงในจำนวนหนี้ของจำเลยที่มีอยู่จริงซ้ำกับคดีก่อนจึงเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2829/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นต่อคำสั่งทุเลาการบังคับและการงดการขายทอดตลาด
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งถอนการยึดที่ดินที่โจทก์นำยึดศาลชั้นต้นสั่งผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหายตามคำร้องขอของผู้คัดค้านร่วม ผู้ร้องมิได้วางเงิน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผุ้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งว่าเป็นเรื่องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้อง ให้งดดำเนินการเกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทระหว่างอุทธรณ์ผู้คัดค้านร่วมฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องที่โต้แย้งคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นนั้น ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งพิพากษาแล้ว โดยพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นและมิได้กล่าวถึงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้งดดำเนินการเกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวที่ผู้คัดค้านร่วมฎีกาขึ้นมาย่อมเป็นอันยกเลิกไปในตัว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 264 วรรคสองประกอบมาตรา 260 (1) จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดคัานร่วม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2829/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งคุ้มครองประโยชน์ระหว่างอุทธรณ์ยกเลิกเมื่อศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาถึงที่สุดในคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้มีคำสั่งถอนการยึดที่ดินที่โจทก์นำยึด ศาลชั้นต้นสั่งผู้ร้องวางเงินประกันความเสียหายตามคำร้องขอของผู้คัดค้านร่วม ผู้ร้องมิได้วางเงิน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์คำสั่งและยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์สั่งว่าเป็นเรื่องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ร้อง ให้งดดำเนินการเกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาทระหว่างอุทธรณ์ ผู้คัดค้านร่วมฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าอุทธรณ์ของผู้ร้องที่โต้แย้งคำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นนั้น ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งพิพากษาแล้ว โดยพิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นและมิได้กล่าวถึงคำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้งดดำเนินการเกี่ยวกับการขายทอดตลาดทรัพย์พิพาท คำสั่งของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวที่ผู้คัดค้านร่วมฎีกาขึ้นมาย่อมเป็นอันยกเลิกไปในตัวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264 วรรคสองประกอบมาตรา 260(1) จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของผู้คัดค้านร่วม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2764/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีล้มละลาย: คำพิพากษาเดิมเป็นหลักฐาน
โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามคำพิพากษา ศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2524 โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีล้มละลายวันที่ 2 พฤศจิกายน 2533 ยังไม่เกินกำหนดเวลา 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 168(เดิม)และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ