พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย: จำเลยถูกรุมทำร้ายจึงใช้ปืนยิงเพื่อป้องกันตนเอง ศาลฎีกาตัดสินให้ยกฟ้อง
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยถูกรุมทำร้ายด้วยอาวุธในเวลากลางคืน จำเลยเข้าใจว่าทั้งถูกตีและถูกฟันไม่อาจรู้ได้ว่าจะเป็นอันตรายสักเพียงไหน จำเลยจึงใช้ปืนยิงไปยังกลุ่มคนที่ทำร้าย กระสุนถูกผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งจำเลยเองก็ไม่รู้ว่ากระสุนปืนถูกผู้ใด ดังนี้ถือได้ว่าจำเลยกระทำการป้องกันตัวในการที่คนกลุ่มนั้นทำร้าย และไม่มีอาวุธอื่นใช้ต่อสู้ได้ การป้องกันของจำเลยที่ใช้ปืนยิง เป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ จำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวจากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธ ศาลพิพากษายืนตามอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง
ผู้ตายเงื้อมีดพร้าเข้าไปหาจำเลย จำเลยถอยหลังหนี ผู้ตายยังตามเข้าไป พอจำเลยถอยไปสะดุดคันนา ผู้ตายยกมีดพร้าขึ้นจะฟัน จำเลยจึงใช้มีดพร้าฟันผู้ตาย 1 ทีถูกที่คอขาด การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 321/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวจากการถูกทำร้ายด้วยอาวุธ ศาลฎีกายืนยันการยกฟ้อง
ผู้ตายเงื้อมีดพร้าเข้าไปหาจำเลย จำเลยถอยหลังหนีผู้ตายยังตามเข้าไปพอจำเลยถอยไปสะดุดคันนาผู้ตายยกมีดพร้าขึ้นจะฟันจำเลยจึงใช้มีดพร้าฟันผู้ตาย 1 ทีถูกที่คอขาดการกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1697/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อถูกข่มขู่ด้วยอาวุธมีด ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง
ผู้ตายและจำเลยโต้เถียงกันด้วยเรื่องที่จำเลยทวงเงินจากผู้ตาย จนจำเลยออกปากไล่ผู้ตายซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่าให้ไปเสียให้พ้น ผู้ตายก็ลุกพรวดพราดชักมีดออกจากเอวห่างจำเลย 1 วา เช่นนั้น ย่อมเป็นเหตุการณ์ที่มีเหตุสมควรจะให้บุคคลในฐานะเช่นจำเลยตกใจกลัวว่าผู้ตายจะเข้ามาฟันหรือแทงจำเลย ซึ่งเป็นการจวนตัวเป็นอันตรายที่ใกล้จะถึงตัวเต็มที จำเลยจึงชักปืนยิงไปที่ผู้ตาย 1 นัด โดยนั่งยิงอยู่ตรงนั้นเอง แล้วจำเลยก็วิ่งโดดนอกชานเรือนหนีไป ดังนี้ เป็นการที่จำเลยป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 จำเลยจึงไม่มีความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1633/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความคลาดเคลื่อนวันเกิดเหตุในฟ้อง ไม่ถึงเหตุให้ยกฟ้อง หากพยานเบิกความสอดคล้องโดยรวม
จำเลยฎีกาว่าพยานโจทก์เบิกความวันเกิดเหตุแตกต่างกับวันที่โจทก์กล่าวในฟ้องศาลต้องยกฟ้อง ได้ความว่าโจทก์ฟ้องว่าเหตุเกิดวันที่ 3 กรกฎาคม 2508 ซึ่งตรงกับวันขึ้น 5 ค่ำ เดือน 8 ในชั้นพิจารณาจำเลยคนหนึ่งและพยานของจำเลยผู้ฎีกาเบิกความรับว่าเหตุเกิดตรงกับวันที่โจทก์กล่าวในฟ้อง จำเลยเองก็เบิกความรับว่าเหตุเกิดที่บ้านนายช่วงนางพุ่มซึ่งมีงานบวชนาค จำเลยกับผู้ตายต่างไปที่บ้านงาน และรับว่าเหตุเกิดตรงตามเวลาที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ เห็นได้ว่าการที่พยานโจทก์บางคนเบิกความถึงวันเกิดเหตุว่าเหตุเกิดวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 8 ผิดพลาดไปจากที่กล่าวในฟ้องนั้น อาจเนื่องจากจำผิดพลาดก็ได้ ฎีกาจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2509 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ศาลสูงมีอำนาจกำหนดโทษกระทงเบาได้ แม้กระทงหนักถูกยกฟ้อง
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร ตามมาตรา 357 และพกพาอาวุธไปในที่ชุมชนตามมาตรา 371 แต่ให้ลงโทษกระทงหนักตามมาตรา 357 และจำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์เฉพาะข้อฐานรับของโจร นั้น ความผิดของจำเลยฐานพกพาอาวุธไปในที่ชุมนุมชนตามมาตรา 371 ที่ยุติแล้ว ก็ยังคงมีอยู่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลสูง(ศาลอุทธรณ์)พิพากษายกฟ้องฐานรับของโจรอันเป็นกระทงหนัก ศาลสูง(ศาลอุทธรณ์)ก็มีอำนาจกำหนดโทษในความผิดกระทงเบาฐานพกพาอาวุธไปในที่ชุมชนที่ยังมีอยู่นั้นได้ ไม่เป็นการนอกเหนือกฎหมาย ตามนัยฎีกาที่ 1196/2502 และเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดโทษ ศาลฎีกาก็กำหนดโทษไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์กำหนดได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2509
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลสูงในการกำหนดโทษกระทงเบาหลังยกฟ้องกระทงหนัก และการยุติของความผิดที่ยังคงมีอยู่
กรณีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรตามมาตรา 357 และพกพาอาวุธไปในที่ชุมชนตามมาตรา 371แต่ให้ลงโทษกระทงหนักตามมาตรา 357 และจำเลยฝ่ายเดียวอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานรับของโจร นั้น ความผิดของจำเลยฐานพกพาอาวุธไปในที่ชุมนุมชนตามมาตรา 371 ที่ยุติแล้ว ก็ยังคงมีอยู่ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลสูง(ศาลอุทธรณ์) พิพากษายกฟ้องฐานรับของโจรอันเป็นกระทงหนัก ศาลสูง (ศาลอุทธรณ์) ก็มีอำนาจกำหนดโทษในความผิดกระทงเบาฐานพกพาอาวุธไปในที่ชุมชนที่ยังมีอยู่นั้นได้ ไม่เป็นการนอกเหนือกฎหมาย ตามนัยฎีกาที่ 1196/2502 และเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดโทษ ศาลฎีกาก็กำหนดโทษไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์กำหนดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งทำสัญญาเช่า: ศาลพิจารณาแล้วยกฟ้อง หากจำเลยไม่มีทางชนะคดี แม้ข้อเท็จจริงเป็นไปตามฟ้องแย้ง
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 131(2),133,139 นั้น เมื่อจำเลยยื่นคำให้การฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า ......ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยนั้น ศาลได้พิจารณาแล้ว........จึงพร้อมกันมีคำสั่งให้ยกฟ้องแย้งเสียค่าธรรมเนียมเป็นพับ เช่นนี้ เป็นปริยายว่าศาลชั้นต้นพิจารณาเสร็จแล้วจึงชี้ขาดฟ้องแย้งโดยทำเป็นคำสั่งให้ยกฟ้องแย้ง ไม่ใช่สั่งให้คืนไปหรือไม่รับ ตามมาตรา 18
ฟ้องแย้งว่า โจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยไปพบเพื่อรับคำบอกกล่าวขับไล่ หรือทำสัญญาเช่าแล้วแต่กรณี จำเลยได้ทำหนังสือขอทำสัญญาเช่าแต่โจทก์เรียกเงินกินเปล่า 30,000 บาท กับชำระค่าเช่าที่ค้าง จำเลยขอให้ 25,000 บาท จึงไม่ตกลงกัน เช่นนี้ นับว่ามิได้มีสัญญาต่อกันจำเลยไม่มีอำนาจแห่งมูลหนี้ที่จะฟ้องแย้งให้โจทก์ทำสัญญาเช่า ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่าเมื่อศาลเห็นว่า แม้เป็นจริงดังฟ้องแย้ง จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดีตามฟ้องแย้ง ศาลยกฟ้องแย้งเสียเลยได้.
(เฉพาะปัญหาที่ 2 เป็นมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2508).
ฟ้องแย้งว่า โจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยไปพบเพื่อรับคำบอกกล่าวขับไล่ หรือทำสัญญาเช่าแล้วแต่กรณี จำเลยได้ทำหนังสือขอทำสัญญาเช่าแต่โจทก์เรียกเงินกินเปล่า 30,000 บาท กับชำระค่าเช่าที่ค้าง จำเลยขอให้ 25,000 บาท จึงไม่ตกลงกัน เช่นนี้ นับว่ามิได้มีสัญญาต่อกันจำเลยไม่มีอำนาจแห่งมูลหนี้ที่จะฟ้องแย้งให้โจทก์ทำสัญญาเช่า ศาลฎีกาโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่าเมื่อศาลเห็นว่า แม้เป็นจริงดังฟ้องแย้ง จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดีตามฟ้องแย้ง ศาลยกฟ้องแย้งเสียเลยได้.
(เฉพาะปัญหาที่ 2 เป็นมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2508).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 996/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งทำสัญญาเช่า: ศาลพิจารณาแล้วยกฟ้อง หากแม้ข้อเท็จจริงเป็นจริงก็ไม่มีทางชนะคดี
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(2),133,139 นั้นเมื่อจำเลยยื่นคำให้การฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า......ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยนั้นศาลได้พิจารณาแล้ว.......จึงพร้อมกันมีคำสั่งให้ยกฟ้องแย้งเสีย ค่าธรรมเนียมเป็นพับ เช่นนี้ เป็นปริยายว่าศาลชั้นต้นพิจารณาเสร็จแล้ว จึงชี้ขาดฟ้องแย้งโดยทำเป็นคำสั่งให้ยกฟ้องแย้งไม่ใช่สั่งให้คืนไปหรือไม่รับ ตามมาตรา 15
ฟ้องแย้งว่า โจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยไปพบเพื่อรับคำบอกกล่าวขับไล่ หรือทำสัญญาเช่าแล้วแต่กรณี จำเลยได้ทำหนังสือขอทำสัญญาเช่าแต่โจทก์เรียกเงินกินเปล่า 30,000 บาท กับชำระค่าเช่าที่ค้าง จำเลยขอให้ 25,000 บาท จึงไม่ตกลงกัน เช่นนี้นับว่ามิได้มีสัญญาต่อกัน จำเลยไม่มีอำนาจแห่งมูลหนี้ที่จะฟ้องแย้งให้โจทก์ทำสัญญาเช่า ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อศาลเห็นว่าแม้เป็นจริงดังฟ้องแย้ง จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดีตามฟ้องแย้ง ศาลยกฟ้องแย้งเสียเลยได้ (เฉพาะปัญหาที่ 2 เป็นมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2508)
ฟ้องแย้งว่า โจทก์มีหนังสือขอให้จำเลยไปพบเพื่อรับคำบอกกล่าวขับไล่ หรือทำสัญญาเช่าแล้วแต่กรณี จำเลยได้ทำหนังสือขอทำสัญญาเช่าแต่โจทก์เรียกเงินกินเปล่า 30,000 บาท กับชำระค่าเช่าที่ค้าง จำเลยขอให้ 25,000 บาท จึงไม่ตกลงกัน เช่นนี้นับว่ามิได้มีสัญญาต่อกัน จำเลยไม่มีอำนาจแห่งมูลหนี้ที่จะฟ้องแย้งให้โจทก์ทำสัญญาเช่า ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อศาลเห็นว่าแม้เป็นจริงดังฟ้องแย้ง จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดีตามฟ้องแย้ง ศาลยกฟ้องแย้งเสียเลยได้ (เฉพาะปัญหาที่ 2 เป็นมติที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 14/2508)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 894/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องอาญาที่ไม่ชัดเจนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ถูกยักยอก ทำให้จำเลยไม่เข้าใจข้อหา และศาลต้องยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทุจริตเบียดบังยักยอมเงินประเภทต่าง ๆ ไป มิได้บรรยายว่าจำเลยได้รับเงินประเภทใดมาเท่าใด ยักยอกเงินประเภทนั้นไปเท่าใด ไม่ปรากฏว่าผู้มีหน้าที่รับผิดชอบได้ตรวจพบอะไร บรรยายว่าได้เบียดบังยักยอกเงินค่าดวงตราไปรษณีย์หรือดวงตราไปรษณีย์เป็นสองแง่ก็ไม่มีทางทราบว่าจำเลยยักยอกอะไร ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158
(อ้างฎีกาที่ 175/2497)
(อ้างฎีกาที่ 175/2497)