คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ยาเสพติด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,473 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4547/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปรับบทลงโทษยาเสพติด: เปลี่ยนจาก พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ฯ เป็น พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ ตามกฎหมายที่คุ้มครองจำเลย
จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง มิได้มีไว้ในครอบครองเพื่อขาย จึงมิได้อยู่ในความหมายของความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดตามมาตรา 3 แห่งพ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534และไม่อยู่ในบังคับตามมาตรา 10 ที่ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยและปรับบทลงโทษจำเลยตามพ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534มาตรา 10 มาด้วยนั้นยังไม่ถูกต้อง แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในปัญหานี้ แต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้อง โดยไม่ปรับลงโทษจำเลยตามบทบัญญัติดังกล่าว
ขณะจำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ 0.773 กรัม เกินกว่าปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ เป็นการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ต้องรับโทษตาม มาตรา 106 ทวิ ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท ต่อมาเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุข ระบุให้เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522เท่านั้น จึงมีผลให้การมีเมทแอมเฟตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เพียง 0.773 กรัมไม่ถึง 20 กรัม เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 67ซึ่งระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาทเท่านั้น ไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518อีกต่อไป และเมื่อ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 67 ระวางโทษเบากว่าระวางโทษตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518มาตรา 106 ทวิ ซึ่งใช้อยู่ในขณะจำเลยกระทำความผิด จึงเป็นกฎหมายส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลย ต้องปรับบทลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษพ.ศ.2522 มาตรา 67 ตาม ป.อ.มาตรา 3 ปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามป.วิ.อ.มาตรา 225 ประกอบมาตรา 195

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4547/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงกฎหมายระหว่างการพิจารณาคดี และการปรับบทลงโทษตามกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลยในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด
ขณะที่จำเลยกระทำความผิดการที่จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท2คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์0.773กรัมเกินกว่าปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้เป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯต้องรับโทษตามมาตรา106ทวิระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาทต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศกระทรวงสาธารณสุขระบุให้เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท1ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯเท่านั้นจึงมีผลให้การมีเมทแอมเฟตามีนคำนวนเป็นสารบริสุทธิ์เพียง0.773กรัมไม่ถึง20กรัมเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษมาตรา67ซึ่งระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงหนึ่งแสนบาทไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯอีกต่อไปและเมื่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯมาตรา67ระวางโทษเบากว่าระวางโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทฯมาตรา106ทวิซึ่งใช้อยู่ในขณะจำเลยกระทำความผิดจึงเป็นกฎหมายส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยต้องปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯมาตรา67ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา3ปัญหานี้แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา225ประกอบมาตรา195

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4500/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงสถานะทางกฎหมายของเมทแอมเฟตามีนจาก พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท เป็น พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ และผลกระทบต่อความผิด
ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาได้มีประกาศกระทรวง-สาธารณสุข ฉบับที่ 97 (พ.ศ.2539) เรื่องระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุออกฤทธิ์ตามความใน พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518ให้ยกเลิกประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุ-ออกฤทธิ์ ตามความใน พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518เดิมทุกฉบับ และให้วัตถุออกฤทธิ์ที่ระบุชื่อในบัญชีท้ายประกาศดังกล่าวเป็นวัตถุออกฤทธิ์ตามความใน พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518ซึ่งตามบัญชีท้ายประกาศกระทรวงสาธารณสุขดังกล่าวไม่มีระบุว่าเมทแอมเฟตามีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์อีกต่อไป แต่ได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135(พ.ศ.2539) เรื่องระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ระบุให้เมทแอมเฟตามีนเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1ดังนั้น ขณะศาลฎีกาพิจารณาพิพากษาคดีนี้การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 106 ทวิอีกต่อไป แต่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 67ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยตาม ป.อ.มาตรา 3 ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4183/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งบรรจุเฮโรอีนเป็นส่วนย่อยเพื่อสะดวกในการจำหน่าย ถือเป็นการ 'ผลิต' ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด
เจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเฮโรอีนบรรจุในหลอดกาแฟจำนวน28หลอดอยู่ในกล่องพลาสติกที่จำเลยถืออยู่และยังมีหลอดกาแฟเปล่าขนาดเดียวกันที่ตัดไว้โดยเปิดด้านหนึ่งอยู่อีกถึง33หลอดประกอบกับในชั้นจับกุมจำเลยรับสารภาพว่าซื้อเฮโรอีนมาแบ่งบรรจุในหลอดกาแฟและแสดงท่าบรรจุเฮโรอีนในหลอดกาแฟเปล่าให้เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับดูด้วยทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยก็รับว่าหลอดกาแฟเปล่าเตรียมไว้เพื่อบรรจุเฮโรอีนพฤติการณ์ของจำเลยที่แบ่งเฮโรอีนออกเป็นส่วนย่อยและบรรจุลงในหลอดกาแฟดังกล่าวและยังมีหลอดกาแฟเปล่าขนาดเดียวกันจำนวนมากแม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นขั้นตอนที่จำเลยทำการแบ่งบรรจุใส่ในหลอดกาแฟแต่ก็เป็นที่เห็นได้ว่าจำเลยกระทำเพื่อความสะดวกในการจัดจำหน่ายนั่นเองจึงฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดฐานผลิตเฮโรอีน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3943/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นคำคัดค้านการริบทรัพย์: ระยะเวลาและผลของการถอนคำร้อง
พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 วรรคสอง เป็นบทบัญญัติให้โอกาสบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินยื่นคำร้องเข้ามาในคดีที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้สั่งริบทรัพย์สิน แต่บุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์สินจะต้องยื่นคำร้องเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในคดีที่พนักงานอัยการยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งริบทรัพย์สิน
พนักงานอัยการยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งริบรถยนต์ของกลางอันเป็นทรัพย์ที่ใช้เป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดหรือใช้เป็นอุปกรณ์ให้ได้รับผลในการกระทำความผิด ผู้ร้องยื่นคำร้องคัดค้านขอให้ศาลมีคำสั่งคืนทรัพย์ของกลางดังกล่าว แม้ในระหว่างที่ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องของโจทก์ ผู้ร้องได้ขอถอนคำร้องคัดค้านขอคืนรถยนต์กระบะของกลางและศาลชั้นต้นอนุญาต ส่วนโจทก์แถลงว่า คดีนี้ยังไม่มีคำพิพากษาอาจจะมีผู้คัดค้านเข้ามาได้ใหม่อีกจึงขอให้งดการไต่สวนไว้ชั่วคราวจนกว่าศาลจะพิพากษาคดีแล้ว ศาลชั้นต้นอนุญาต และสั่งให้โจทก์แถลงเมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วเพื่อยกคดีขึ้นไต่สวนต่อไป ต่อมาโจทก์แถลงว่าศาลได้มีคำพิพากษาแล้ว จึงขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องขอริบทรัพย์ของโจทก์ต่อไป ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องคัดค้านเข้ามาอีก ก็ชอบที่ศาลชั้นต้นจะต้องรับคำร้องของผู้ร้องและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป ศาลชั้นต้นจะสั่งยกคำร้องด้วยเหตุว่า คำร้องคัดค้านที่ผู้ร้องยื่นไว้แล้วและขอถอนไปนั้น ย่อมลบล้างผลแห่งการยื่นคำร้องคัดค้านดังกล่าว ทำให้กลับสู่ฐานะเดิม เสมือนมิได้มีการยื่นคำร้องคัดค้านไว้เลย เมื่อผู้ร้องนำคำร้องคัดค้านมายื่นใหม่หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามแล้วย่อมล่วงพ้นเวลาตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 30 วรรคสอง หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3862/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายยาเสพติดไม่สำเร็จ การพิพากษาความผิดฐานพยายามจำหน่าย และการใช้พยานหลักฐานจากสายลับ
โจทก์กับเจ้าพนักงานตำรวจผู้รู้เห็นเหตุการณ์ร่วมกับสายลับย่อมเป็นพยานโดยตรงอยู่แล้ว หาจำต้องนำสายลับมาเป็นพยานอีกไม่ เพราะโดยลักษณะความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษย่อมจะต้องใช้สายลับเป็นผู้ล่อซื้อ จึงมีความจำเป็นต้องปกปิดตัวสายลับเพื่อความปลอดภัย อีกทั้งเพื่อประโยชน์ด้านการปฏิบัติงานครั้งต่อ ๆ ไปด้วยการไม่นำสายลับมาเป็นพยานหาทำให้พยานหลักฐานของโจทก์น้ำหนักลดน้อยลงไม่
การที่สายลับเข้าทำการล่อซื้อฝิ่นจากจำเลยทั้งสอง ยังไม่มีการชำระเงินและส่งมอบฝิ่นของกลางให้แก่กัน แต่จำเลยทั้งสองถูกจับพร้อมด้วยฝิ่นของกลางเสียก่อนดังนั้นการซื้อขายยังไม่เสร็จบริบูรณ์ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงเป็นความผิดฐานร่วมกันมีฝิ่นไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และพยายามจำหน่ายฝิ่นโดยผิดกฎหมายเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 31/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีจำหน่ายยาเสพติดจำนวนมาก ศาลฎีกายืนโทษเนื่องจากพฤติการณ์ร้ายแรงและจำเลยไม่สำนึกผิด
เมทแอมเฟตามีนและอีเฟดรีนของกลางมีจำนวนมากซึ่งตามสภาพและลักษณะแห่งความผิดนับเป็นมหันตภัยต่อมวลมนุษยชาติอีกทั้งสามารถทำลายทรัพยากรมนุษย์บั่นทอนความสงบสุขของสังคมและเศรษฐกิจของชาติสุดคณานับประกอบกับจำเลยทั้งสองมิได้สำนึกถึงการกระทำความผิดของตนกลับนำสืบปฎิเสธความผิดเสียอีกจึงสมควรลงโทษรุนแรงสาสมแก่ความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3073/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขบทลงโทษความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดสำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจ
จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดและเพื่อขาย การที่เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ในบ้านเกิดเหตุพร้อมด้วยเมทแอมเฟตามีนของกลางโดยที่ก่อนจำเลยทั้งสามจะถูกจับ จำเลยทั้งสามได้ถือถุงออกจากรถยนต์เก๋งคันสีแดงเข้าไปในบ้านเกิดเหตุ ซึ่งในการตรวจค้นและยึดเมทแอมเฟตามีนของกลาง พบเมทแอมเฟตามีนวางอยู่บนโต๊ะรวม 2 กอง โดยมีถุงวางอยู่ 1 ใบ เมื่อตรวจค้นลิ้นชักด้านขวาของโต๊ะ ก็พบถุงผ้า ในถุงผ้ามีเงินสดจำนวน 360,000 บาท และซองใส่เอกสารสีน้ำตาลซึ่งภายในมีเมทแอมเฟตามีนบรรจุอยู่ในถุงพลาสติกสีเหลืองจำนวน27 ถุง เมื่อรวมกับบนโต๊ะแล้วมีทั้งหมด 28 ถุง จำนวน 5,600 เม็ด พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 มากับจำเลยที่ 1 และรู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟ-ตามีนจำนวนดังกล่าว และถูกจับพร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีนของกลางฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดและเพื่อขาย กับสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ความผิดตาม พ.ร.บ.ที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 89 กับมาตรา 62วรรคหนึ่ง และ 106 ทวิ มีระวางโทษเท่ากันคือจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 400,000 บาท แต่ความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 10กำหนดระวางโทษไว้สำหรับพนักงานรัฐวิสาหกิจที่กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ดังนี้เมื่อความผิดตามมาตรา 8และ 10 ดังกล่าวประกอบ พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 89 บทหนึ่ง กับประกอบมาตรา 62 วรรคหนึ่งและ 106 ทวิ อีกบทหนึ่ง เป็นความผิดกรรมเดียวกัน จึงต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ซึ่งกฎหมาย 2 บทดังกล่าวมีโทษเท่ากัน จึงลงโทษตามกฎหมายบทใดบทหนึ่งก็ได้ แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 106 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 เท่านั้น ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534มาตรา 8 และ 10 ประกอบ พ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง และ 89 บทหนึ่ง กับประกอบมาตรา 62วรรคหนึ่ง และ 106 ทวิ อีกบทหนึ่ง เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ต้องลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตาม ป.อ.มาตรา 90 ซึ่งกฎหมาย 2 บท ดังกล่าวมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ฐานเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดโดยมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 30/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย: การรับฟังคำสารภาพโดยสมัครใจและพยานหลักฐานสนับสนุน
พยานโจทก์ชั้นสืบสวนและจับกุมเบิกความถึงการปฎิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่ได้ทำการสืบสวนและจับกุมจำเลยทั้งสี่ซึ่งมีพฤติการณ์ลักลอบจำหน่ายเฮโรอีนอย่างละเอียดทุกขั้นตอนทั้งสอดคล้องต้องกันไม่มีพิรุธใดๆเมื่อถูกจับกุมแล้วจำเลยทั้งสี่ต่างก็ให้การรับสารภาพและเขียนบันทึกคำรับสารภาพซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวด้วยลายมือของตนเองให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมด้วยอีกทั้งพนักงานสอบสวนซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมก็เบิกความยืนยันว่าเมื่อแจ้งข้อหาให้จำเลยทั้งสี่ทราบได้แจ้งด้วยว่าจำเลยทั้งสี่จะให้การหรือไม่ให้การหรือจะให้การอย่างไรก็ได้แต่จำเลยทั้งสี่ก็ได้ให้การรับสารภาพตนจึงพิมพ์คำให้การของจำเลยทั้งสี่ตามคำบอกเล่าของจำเลยทั้งสี่และในชั้นพิจารณาของศาลจำเลยที่3ก็ให้การรับสารภาพทั้งจำเลยที่1ที่2และที่4ยังนำสืบข้อเท็จจริงรับว่าจำเลยทั้งสี่ได้มีการพบปะติดต่อกันจริงในวันเกิดเหตุเจือสมกับข้อนำสืบของโจทก์เชื่อว่าจำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพทั้งในชั้นจับกุมและในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2977/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ใช้ความรุนแรงในห้องควบคุมศาล ถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล แม้พบยาเสพติด
การที่ผู้ถูกกล่าวหาที่3ถือไม้ไผ่ยาวขนาด1เมตรกว้าง2เซนติเมตรเข้าไปในห้องควบคุมผู้ต้องขังซึ่งอยู่ในบริเวณศาลชั้นต้นแล้วใช้ไม้ไผ่ดังกล่าวตีผู้ถูกกล่าวหาที่2จำนวน3ทีและเงื้อไม้ไผ่จะตีผู้ถูกกล่าวหาที่1ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาที่1ล้มลงและได้รับบาดเจ็บแม้ว่าผู้ถูกกล่าวหาที่3เป็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์มีหน้าที่ควบคุมผู้ต้องขังได้ตรวจในถุงอาหารพบหลอดบรรจุเฮโรอีน1หลอดที่ญาติส่งให้ผู้ถูกกล่าวหาที่2ซึ่งกำลังจะส่งต่อให้ผู้ถูกกล่าวหาที่1ก็ตามแต่ห้องควบคุมของศาลมีขนาดไม่กว้างมากนักอีกทั้งยังมีเจ้าพนักงานตำรวจคอยควบคุมความสงบเรียบร้อยอยู่ด้วยผู้ถูกกล่าวหาที่3จึงไม่มีความจำเป็นอย่างไรที่จะต้องถือไม้ไผ่เข้าไปในห้องควบคุมผู้ต้องขังโดยเกรงว่าจะถูกทำร้ายตามที่ผู้ถูกกล่าวหาที่3ฎีกาดังนั้นการที่ผู้ถูกกล่าวหาที่3ใช้ไม้ไผ่ตีผู้ถูกกล่าวหาที่2ถึง3ทีและเงื้อไม้ไผ่จะตีผู้ถูกกล่าวหาที่1อีกโดยไม่มีเหตุที่จะอ้างตามกฎหมายได้จึงเป็นการประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลเป็นการละเมิดอำนาจศาล
of 148