คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เหตุผล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 638 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14054/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟื้นฟูกิจการ: การขยายระยะเวลาแผนต้องไม่เกิน 2 ครั้ง และต้องมีเหตุผลความจำเป็นตามกฎหมาย
ในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ เมื่อศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้ว ผู้บริหารแผนมีหน้าที่ต้องดำเนินการให้เป็นผลสำเร็จตามแผนโดยกิจการของบริษัทลูกหนี้จะต้องมีรายได้เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายและจำนวนเงินที่ต้องชำระให้แก่เจ้าหนี้ตามแผนภายในระยะเวลาดำเนินการตามแผนซึ่งมีกำหนดเวลาไม่เกินห้าปี ถ้ามีความจำเป็นต้องแก้ไขแผนเพื่อให้การฟื้นฟูกิจการสำเร็จลุล่วงไปได้ ผู้บริหารแผนอาจเสนอขอแก้ไขแผนได้ แต่การแก้ไขแผนโดยขอขยายกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนดังกล่าวให้ทำได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินหนึ่งปี เว้นแต่ในกรณีเป็นที่เห็นได้แน่ชัดว่าแผนได้ดำเนินมาใกล้จะสำเร็จแล้วจึงขยายเวลาต่อไปอีกตามควรแก่กรณีก็ได้ ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/42 (9) ประกอบมาตรา 90/63 วรรคสอง ดังนั้น ระยะเวลาดำเนินการตามแผนจึงเป็นสาระสำคัญในการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
คดีนี้ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 และมีคำสั่งเห็นชอบด้วยข้อเสนอขอแก้ไขแผนของผู้บริหารแผนซึ่งขอขยายกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามแผนแล้วสองครั้ง ต่อมาผู้บริหารแผนยื่นข้อเสนอขอแก้ไขแผนครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2551 เพื่อขอปรับลดหนี้และขยายระยะเวลาการชำระหนี้และการปฏิบัติตามแผนออกไปอีกนั้น เมื่อพิจารณารายงานการปฏิบัติตามแผนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ปรากฏว่า ณ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งเป็นวันที่ครบกำหนดระยะเวลาดำเนินการตามข้อเสนอขอแก้ไขแผนครั้งที่ 2 และผู้บริหารแผนได้ดำเนินการตามแผนครบ 7 ปี แล้ว ผู้บริหารแผนไม่สามารถดำเนินการให้เป็นผลสำเร็จตามแผนได้ ยังคงมีภาระหนี้ที่ต้องชำระต่อไปคิดเป็นอัตราร้อยละ 46.41 ทั้งเป็นการขอขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนเกินกว่า 2 ครั้ง ครั้งละไม่เกิน 1 ปี และปรากฏชัดเจนแล้วว่าแผนมิได้ดำเนินการมาใกล้จะแล้วเสร็จแต่อย่างใด จึงไม่มีความจำเป็นหรือเหตุสมควรที่ศาลจะขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนต่อไปได้อีกตามมาตรา 90/63 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12436/2558

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอพิจารณาคดีใหม่ต้องแสดงเหตุที่อาจชนะคดี มิได้แค่เหตุขาดนัด
ศาลชั้นต้นไต่สวนและวินิจฉัยคำขอให้พิจารณาคดีใหม่ของโจทก์ว่า คำขอของโจทก์บรรยายเพียงเหตุที่โจทก์ขาดนัดพิจารณา แต่มิได้บรรยายข้อคัดค้านว่า หากศาลพิจารณาคดีใหม่แล้วโจทก์จะเป็นฝ่ายชนะคดี ถือว่าคำขอพิจารณาคดีใหม่ของโจทก์มิได้บรรยายให้ครบถ้วนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 207 ประกอบมาตรา 199 จัตวา โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น จึงเป็นการอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้พิจารณาคดีใหม่ ดังนั้น ไม่ว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะมีคำพิพากษาเป็นประการใด คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 207 ประกอบมาตรา 199 เบญจ วรรคสี่ โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฎีกาอีกต่อไป ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบมาตรา 246, 142 (5) ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ย่อมไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3653/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม จำเลยต้องแสดงเหตุผลอันสมควรและหลักเกณฑ์การคัดเลือกที่ชัดเจน
คำพิพากษาศาลแรงงานกลางไม่ได้กล่าวหรือแสดงข้อเท็จจริงที่ฟังได้โดยสรุปและไม่ปรากฏเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยว่าเหตุใดจำเลยจึงต้องปรับลดหรือยุบแผนกในส่วนที่โจทก์ทำงาน มีเหตุผลหรือความจำเป็นใดที่จะต้องเลิกจ้างโจทก์ จำเลยพยายามหางานในตำแหน่งเหมาะสมให้โจทก์ทำก่อนที่จะเลิกจ้างโจทก์หรือไม่ จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยเลือกปฏิบัติหรือไม่ เป็นการไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 51 วรรคหนึ่ง
เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาและข้อเท็จจริงในสำนวนยุติเพียงพอที่จะวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยให้
จำเลยให้การว่าจำเป็นต้องยุบหน่วยงานที่โจทก์ทำงาน แต่นำสืบว่าจำเลยต้องการลดตำแหน่งงานโดยไม่ได้นำสืบว่าจำเลยยุบหน่วยงานที่โจทก์ทำงาน เท่ากับจำเลยยอมรับว่าจำเลยไม่ได้ยุบหน่วยงานที่โจทก์ทำงาน ที่ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่ามีการยุบหน่วยงานที่โจทก์ทำงานจึงไม่ชอบ ดังนั้นข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยไม่ได้ยุบหน่วยงานที่โจทก์ทำงาน แต่จำเลยเลือกเลิกจ้างโจทก์เพียงคนเดียวจากลูกจ้างในหน่วยงาน 30 คน โดยไม่ปรากฏหลักเกณฑ์การคัดเลือกและเหตุผล เป็นการเลิกจ้างที่ไม่มีเหตุอันสมควรเพียงพอ จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16130/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาต้องโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชัดแจ้ง มิใช่เพียงอ้างเหตุผลศาลชั้นต้น
ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ได้วางหลักในการยื่นฎีกาประการหนึ่งว่า ข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างนั้น คู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในฎีกา คดีนี้โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ และโจทก์คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวโดยคัดลอกคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์ชนิดคำต่อคำ ซึ่งข้อความในคำแก้อุทธรณ์ของโจทก์นั้นล้วนมุ่งหมายที่จะโต้แย้งคัดค้านโดยตรงในประเด็นที่จำเลยหยิบยกขึ้นกล่าวอ้างเพื่อคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเท่านั้น โดยโจทก์อาศัยข้อเท็จจริงและอ้างอิงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นมาเป็นข้อสนับสนุนแทบทั้งสิ้น ไม่มีข้อความตอนใดระบุเลยว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้นเป็นการไม่ชอบเพราะเหตุใด และรายละเอียดส่วนใด หากยกขึ้นวินิจฉัยแล้วผลจะเป็นอย่างไร นอกจากนี้ปัญหาตามข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นนั้น ศาลอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงและแสดงเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยไว้หลายประการที่ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ซึ่งแตกต่างไปจากเหตุผลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่ศาลชั้นต้นได้ยกขึ้นวินิจฉัยอีกด้วย ฎีกาของโจทก์จะต้องโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยชัดแจ้งว่า คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่รับฟังข้อเท็จจริงและแสดงเหตุผลมานั้น ไม่ถูกต้องหรือไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงอย่างไรและด้วยเหตุผลใด มิใช่อ้างแต่เพียงคำวินิจฉัยและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้นถูกต้องชอบด้วยข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายและเหตุผลแล้วเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ในลักษณะเช่นนี้จึงเป็นฎีกาที่ถือเอาคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นฎีกาของโจทก์นั่นเอง ซึ่งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ถูกกลับโดยคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไปแล้ว ไม่มีคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเหลืออยู่ที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยได้ต่อไป จึงเป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และถือไม่ได้ว่าได้กล่าวอ้างข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายโดยชัดแจ้งแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของโจทก์มาก็เป็นการไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11751-11752/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คดีทรัพย์สินทางปัญญา: พิจารณาเหตุผลและความจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
การขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์คดีนี้ต้องบังคับตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 มาตรา 37 ที่บัญญัติให้ศาลมีอำนาจพิจารณาให้ย่นหรือขยายระยะเวลาได้ตามความจำเป็นและเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม แม้โจทก์จะขอให้ขยายระยะเวลาภายหลังวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ก็หาจำต้องเป็นกรณีมีเหตุสุดวิสัยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 แต่อย่างใดไม่ ปรากฏว่า วันที่ 26 เมษายน 2555 ทนายจำเลยทั้งห้ายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์อ้างเหตุว่ายังไม่ได้รับสำเนาคำพิพากษาศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง จึงยังทำอุทธรณ์ไม่ได้ ศาลดังกล่าวก็มีคำสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้จำเลยทั้งห้าถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2555 และในวันที่ 30 เมษายน 2555 อันเป็นวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์ ก็ปรากฏจากรายงานเจ้าหน้าที่ว่าได้ทำสำเนาคำพิพากษาโดยมีการรับรองสำเนาให้แก่โจทก์ตามคำแถลงขอสำเนาคำพิพากษาของโจทก์ลงวันที่ 30 มีนาคม 2555 ดังนี้ ย่อมแสดงว่าในวันที่ 2 พฤษภาคม 2555 ที่โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์นั้น ทนายโจทก์เพิ่งมีโอกาสได้รับสำเนาคำพิพากษาในวันครบกำหนดยื่นอุทธรณ์และก่อนวันที่โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์เพียง 2 วัน ซึ่งนับว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นมากสำหรับการที่โจทก์จะทำอุทธรณ์ในคดีนี้ กรณีจึงมีเหตุจำเป็นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมสมควรขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 11331/2557

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานบอกเล่าประกอบหลักฐานอื่นได้ หากมีเหตุผล และการรับฟังพยานหลักฐานเกี่ยวกับการชำระหนี้
ป.วิ.พ. มิได้ห้ามโดยเด็ดขาดมิให้รับฟังพยานบอกเล่า หากพยานบอกเล่ากล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล ศาลย่อมใช้ดุลพินิจรับฟังพยานบอกเล่าประกอบพยานหลักฐานอื่นได้ ว. แม้มิได้เกี่ยวข้องรู้เห็นในการจัดทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี แต่เป็นพนักงานของโจทก์ย่อมสามารถตรวจสอบเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำนิติกรรมรายนี้ได้ อันทำให้สามารถทราบที่มาที่ไปของหนี้สินรายนี้จนสามารถเบิกความให้ความกระจ่างในกรณีที่มีความคลุมเครือน่าสงสัยเกี่ยวกับหนี้สินรายนี้ได้ จึงสามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานประกอบพยานหลักฐานอื่นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7174/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขอพิจารณาคดีใหม่ไม่เป็นการยื่นซ้ำ หากครั้งหลังบรรยายเหตุผลครบถ้วนตามกฎหมาย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ในครั้งแรกมิได้กล่าวโดยชัดแจ้งซึ่งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลที่แสดงให้เห็นว่าหากศาลได้พิจารณาคดีนั้นใหม่ ตนอาจเป็นฝ่ายชนะ และศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอไปแล้ว จำเลยยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่เป็นครั้งที่สองโดยบรรยายข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลโดยถูกต้องครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่ ป.วิ.พ. มาตรา 207 ประกอบมาตรา 199 จัตวา กำหนดไว้ จึงไม่เป็นการร้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 หรือ มาตรา 144

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3553/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่ชัดเจน นายจ้างต้องระบุเหตุผลการเลิกจ้างอย่างละเอียด จึงจะสามารถอ้างเหตุในภายหลังได้
โจทก์ระบุเหตุในหนังสือเลิกจ้างไว้เพียงว่าจำเลยที่ 2 ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับการเป็นพนักงาน ไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงอันเป็นเหตุที่เลิกจ้างว่าการประพฤติตนไม่เหมาะสมกับการเป็นพนักงานของจำเลยที่ 2 นั้นประพฤติตนในรายละเอียดอย่างไรจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่งจนถึงเป็นเหตุแห่งการเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 เมื่อโจทก์ไม่ระบุเหตุผลแห่งการเลิกจ้างว่าจำเลยที่ 2 มีสัมพันธ์ในทางชู้สาวอันเป็นเหตุผิดวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงาน โจทก์จึงยกเหตุมีสัมพันธ์ในทางชู้สาวเป็นข้อต่อสู้เพื่อไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีไม่ได้ตามมาตรา 17 วรรคสาม (เดิม)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2556

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีแพ่ง: ศาลอนุญาตได้หากโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่ได้มีพฤติการณ์ทุจริต แม้เหตุผลในการถอนฟ้องไม่ชัดเจน
ป.วิ.พ. มาตรา 175 ไม่ได้บัญญัติว่าต้องอ้างเหตุผลของการขอถอนฟ้องมาด้วย แม้จะอ้างเหตุผลมาและฟังไม่ได้ ก็ไม่ใช่สาระสำคัญเพราะศาลมีอำนาจพิจารณาเหตุผลต่าง ๆ ในสำนวนประกอบคำคัดค้านได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9727/2555

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. ม.216 วรรคหนึ่ง จำเลยคัดลอกคำพิพากษาเดิมโดยไม่โต้แย้งเหตุผลศาลอุทธรณ์
จำเลยฎีกาโดยคัดลอกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์จำเลยตั้งแต่ต้นจนจบชนิดคำต่อคำ แล้วสรุปว่า แม้ ส. พ. และ บ. จะเบิกความแตกต่างจากคำให้การในชั้นสอบสวนของตนเองก็ตาม แต่บันทึกคำให้การชั้นสอบสวนเป็นเพียงพยานบอกเล่า โดยลำพังไม่มีน้ำหนักลงโทษจำเลยได้ โดยจำเลยไม่ได้ยกข้อเท็จจริงและเหตุผลขึ้นโต้แย้งว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 รับฟังคำให้การในชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ไม่ถูกต้องด้วยข้อเท็จจริงและไม่ชอบด้วยเหตุผลอย่างไร มีข้อเท็จจริงและเหตุผลใดที่หักล้างข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ให้รับฟังใหม่ได้ว่า คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์เป็นความจริงยิ่งกว่าคำให้การในชั้นสอบสวน ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่ชอบด้วยบทกฎหมายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง
of 64