พบผลลัพธ์ทั้งหมด 616 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2179/2552
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีใหม่ในคดีล้มละลาย: การขาดนัดเนื่องจากที่อยู่ไม่ถูกต้องและการให้ความร่วมมือในการปรับโครงสร้างหนี้
แม้คำสั่งของศาลล้มละลายกลางที่ให้ยกคำร้องของลูกหนี้ที่ 2 ที่ขอให้พิจารณาคดีใหม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฯ มาตรา 24 วรรคสอง แต่เมื่อพิจารณาคำร้องของลูกหนี้ที่ 2 ดังกล่าวปรากฏว่าลูกหนี้ที่ 2 ได้บรรยายกล่าวอ้างในคำร้องแล้วว่า ลูกหนี้ที่ 2 ไม่เคยได้รับหมายเรียกสำเนาคำร้องในคดีนี้ เนื่องจากลูกหนี้ที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่อาคารเลขที่ 120/22 มิใช่อาคารเลขที่ 120 ตามที่ผู้ร้องนำส่งหมายเรียกสำเนาคำร้อง และลูกหนี้ให้ความร่วมมือกับผู้ร้องในการปรับโครงสร้างหนี้มาโดยตลอด กรณีไม่ต้องด้วย พ.ร.ก.บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยฯ มาตรา 58 วรรคท้าย จึงเป็นคำร้องที่กล่าวอ้างโดยชัดแจ้งซึ่งเหตุที่ลูกหนี้ที่ 2 ขาดนัดพิจารณา และข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลล้มละลายกลางแล้ว ลูกหนี้ที่ 2 มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ที่ศาลล้มละลายกลางสั่งยกคำร้องของลูกหนี้ที่ 2 โดยมิได้ทำการไต่สวนก่อนจึงเป็นการไม่ถูกต้อง กรณีมีเหตุสมควรเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจำเป็นต้องแก้ไขข้อผิดพลาดดังกล่าวตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลล้มละลายและวิธีพิจารณาคดีล้มละลายฯ มาตรา 26 วรรคสี่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7190/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีสัญญาชดใช้ทุนข้าราชการ - จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและข้ออ้างเรื่องชดใช้ทุน
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาของข้าราชการที่ไปศึกษา ณ ต่างประเทศ หากจำเลยเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่ถูกต้องเนื่องจากโจทก์อนุญาตให้จำเลยรับราชการที่หน่วยงานอื่นเพื่อชดใช้ทุนแก่โจทก์จนครบถ้วนแล้ว จำเลยก็ชอบที่จะยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นต่อสู้ให้เป็นประเด็นไว้ในคำให้การเพราะเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหรือมีอยู่ในขณะฟ้อง เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ และคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยไม่อาจยกข้อเท็จจริงดังกล่าวซึ่งโจทก์ยังโต้แย้งอยู่ขึ้นอ้างในชั้นบังคับคดีเพื่อไม่ต้องรับผิดตามคำพิพากษา กรณียังถือไม่ได้ว่าไม่มีหนี้ตามคำพิพากษาที่จะต้องบังคับต่อไป ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 295 (1) โจทก์ชอบที่จะบังคับคดีให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 583/2551 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีคำร้องรับชำระหนี้จากทรัพย์จำนอง ผู้ร้องต้องนำสืบพยานในวันไต่สวน
กรณีที่จะเป็นการขาดนัดพิจารณาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 200 ต้องเป็นกรณีที่โจทก์หรือจำเลยที่ได้ยื่นคำให้การไว้ไม่มาศาลในวันสืบพยาน และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลให้เลื่อนคดี ซึ่งวันสืบพยานดังกล่าวต้องเป็นวันสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองก่อนเจ้าหนี้รายอื่นและขอเฉลี่ยทรัพย์ ผู้ร้องจึงมีหน้าที่ต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบเพื่อสนับสนุนข้ออ้างของตนตามคำร้องในวันนัดไต่สวน ซึ่งมิใช่เป็นการสืบพยานในประเด็นข้อพิพาทแห่งคดี จึงไม่อาจนำบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาโดยขาดนัดที่ศาลจะต้องจำหน่ายคดีตามมาตรา 202 มาบังคับใช้ได้ เมื่อผู้ร้องไม่มาศาลในวันนัดไต่สวนคำร้องโดยไม่มีเหตุอันสมควร การที่ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ร้องไม่นำพยานหลักฐานมาสืบและศาลสั่งยกคำร้อง จึงเป็นคำสั่งที่ชอบแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5336/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำหน่ายคดีออกจากสารบบความหลังโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การ และสิทธิในการขอให้ศาลมีคำพิพากษาโดยขาดนัด
เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2544 เจ้าพนักงานศาลได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำร้องขัดทรัพย์ให้โจทก์แก้คดีภายในสิบห้าวันนับแต่วันรับหมาย ณ บ้านของโจทก์โดยวิธีปิดหมายตามคำสั่งศาลโดยชอบแล้ว โจทก์ต้องยื่นคำให้การแก้คดีภายในวันที่ 17 ตุลาคม 2544 แต่โจทก์มิได้ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ดังกล่าวถือว่าโจทก์ขาดนัดยื่นคำให้การตาม ป.วิ.พ. มาตรา 197 และผู้ร้องต้องมีคำขอต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่ระยะเวลาที่กำหนดให้โจทก์ยื่นคำให้การได้สิ้นสุดลง เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัด โดยนับตั้งแต่วันที่ 17 ตุลาคม 2544 ครบกำหนดสิบห้าวันคือวันที่ 1 พฤศจิกายน 2544 เมื่อผู้ร้องไม่ยื่นคำขอต่อศาลภายในกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องเสียจากสารบบความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคสอง จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4665/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องล้มละลาย: หนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่ง, การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย, การขาดนัดสู้คดี, และผลของการไม่ยกข้อต่อสู้ในชั้นพิจารณา
จำเลยอุทธรณ์อ้างว่า มูลหนี้ที่โจทก์รับโอนสิทธิเรียกร้องนำมาฟ้องจำเลยให้ล้มละลายเป็นหนี้ตามคำพิพากษาของศาลแพ่งซึ่งพิพากษาให้ธนาคารเจ้าหนี้เดิมคิดดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 18.5 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินกว่าอัตราสูงสุดที่ธนาคารเจ้าหนี้เดิมมีสิทธิคิดได้ ต่อมาได้มีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของธนาคารเจ้าหนี้เดิมเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดหลายครั้งโดยมีอัตราต่ำกว่าร้อยละ 18.5 ต่อปี โจทก์คิดดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง มูลหนี้ตามฟ้องมีจำนวนไม่แน่นอน กรณีจึงมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายนั้น ในชั้นพิจารณาจำเลยไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างว่าได้มีประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของธนาคารเจ้าหนี้เดิมเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยสูงสุดหลายครั้งหลังจากศาลแพ่งมีคำพิพากษาก็เพิ่งปรากฏในอุทธรณ์ของจำเลยเท่านั้น ดังนั้น มูลหนี้ตามคำพิพากษาคดีแพ่งที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นหนี้เงินสามารถกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนแล้วทั้งกรณีไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3498/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางภาระจำยอม, การขาดนัดยื่นคำให้การ, การอุทธรณ์, การฎีกา, สิทธิในการใช้ทาง
คำฟ้องอุทธรณ์ที่ระบุว่าจำเลยทั้งสองอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น แต่มีเพียงจำเลยที่ 2 ลงชื่อเป็นผู้อุทธรณ์เพียงผู้เดียว ส่วนทนายความจำเลยทั้งสองลงชื่อมาในช่องเป็นผู้เรียง/พิมพ์ เท่านั้น จึงต้องถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นผู้อุทธรณ์เพียงผู้เดียว
จำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกา เพราะฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7
จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชักชวนให้โจทก์ซื้อที่ดินจาก ป. โดยจำเลยทั้งสองตกลงยินยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้อย่างเป็นทางภาระจำยอม แม้ข้อตกลงจะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเพียงทำให้การได้มาไม่บริบูรณ์และไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกได้เท่านั้น แต่ระหว่างคู่กรณียังคงบังคับกันได้ในฐานะบุคคลสิทธิ จำเลยทั้งสองจึงต้องเปิดทางภาระจำยอมและจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 2 จะขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ คดีจึงมีประเด็นตามที่โจทก์ตั้งสภาพแห่งข้อหามาในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ต้องรื้อถอนประตูเหล็กและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ ดังนั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามมาตรา 225 วรรคหนึ่ง
จำเลยที่ 1 ไม่ได้อุทธรณ์ จำเลยที่ 1 จึงไม่มีสิทธิฎีกา เพราะฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ภาค 7
จำเลยทั้งสองเป็นผู้ชักชวนให้โจทก์ซื้อที่ดินจาก ป. โดยจำเลยทั้งสองตกลงยินยอมให้โจทก์ใช้ทางพิพาทเป็นทางเข้าออกสู่ถนนสาธารณะได้อย่างเป็นทางภาระจำยอม แม้ข้อตกลงจะมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการได้มาต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นเพียงทำให้การได้มาไม่บริบูรณ์และไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกได้เท่านั้น แต่ระหว่างคู่กรณียังคงบังคับกันได้ในฐานะบุคคลสิทธิ จำเลยทั้งสองจึงต้องเปิดทางภาระจำยอมและจดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 2 จะขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ต้องนำสืบให้ได้ความตามคำฟ้อง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ คดีจึงมีประเด็นตามที่โจทก์ตั้งสภาพแห่งข้อหามาในคำฟ้องว่าจำเลยที่ 2 ต้องรื้อถอนประตูเหล็กและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ ดังนั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ในประเด็นดังกล่าว จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นตามมาตรา 225 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2509/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการขอให้พิจารณาคดีใหม่ สิทธิและเงื่อนไขตามกฎหมาย
คู่ความที่ขาดนัดพิจารณาโดยไม่จงใจ มีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ได้เฉพาะใน 2 กรณี คือในระหว่างพิจารณาคดีฝ่ายเดียว ถ้าคู่ความที่ขาดนัดมาศาลภายหลังที่ศาลเริ่มต้นสืบพยานของคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งไปบ้างแล้ว และศาลเห็นว่าคู่ความฝ่ายนั้นไม่จงใจขาดนัดหรือมีเหตุอันสมควร ศาลจึงจะสั่งให้พิจารณาคดีใหม่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 206 วรรคสาม แต่ถ้าคู่ความที่ขาดนัดพิจารณานั้นคงขาดนัดตลอดไปจนศาลพิจารณาคดีฝ่ายเดียวไปจนเสร็จสิ้นแล้ว และพิพากษาให้คู่ความที่ขาดนัดพิจารณาแพ้คดีในประเด็นพิพาท คู่ความซึ่งแพ้คดีโดยไม่จงใจขาดนัดยังมีสิทธิขอให้ศาลพิจารณาคดีใหม่ได้ เว้นแต่จะต้องด้วยข้อห้ามตามกฎหมายตาม ป.วิ.พ. มาตรา207 เมื่อโจทก์จำเลยขาดนัดพิจารณาและศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 201 เสร็จสิ้นไปแล้ว ย่อมไม่มีการพิจารณาคดีฝ่ายเดียวอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้ สิทธิของโจทก์มีอยู่ทางเดียวตาม ป.วิ.พ. มาตรา 203 คือ ฟ้องใหม่ภายในอายุความเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15139/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีขาดนัดและการกำหนดจำนวนเงินตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม ศาลต้องพิจารณาประเภทของหนี้ให้ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องโดยตั้งสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่ บ. ขับและถูกจำเลยกระทำละเมิด โดยโจทก์ได้จ่ายค่าซ่อมรถยนต์ไปเป็นเงิน 41,526.97 บาท พร้อมดอกเบี้ย จึงรับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยผู้ทำละเมิด เมื่อจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ วรรคสาม กำหนดหลักเกณฑ์ให้ศาลปฏิบัติในการกำหนดจำนวนเงินตามคำขอบังคับของโจทก์ ดังนี้ (1) ในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอน ให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่ศาลเห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยาน และ (2) ในกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินอันไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็น การที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 41,526.97 บาท พร้อมดอกเบี้ยนั้น เป็นการอ้างเหตุว่าโจทก์รับช่วงสิทธิมาจากผู้เอาประกันภัยซึ่งถูกจำเลยกระทำละเมิด อันเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องมาจากเรื่องละเมิดและเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทน คำขอบังคับของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นกรณีที่ไม่อาจกำหนดจำนวนเงินได้โดยแน่นอน ตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (2) ซึ่งบัญญัติให้ศาลสืบพยานหลักฐานโจทก์ไปฝ่ายเดียว และศาลอาจเรียกพยานหลักฐานอื่นมาสืบได้เองตามที่เห็นว่าจำเป็น หาใช่เป็นกรณีที่โจทก์มีคำขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอนตามมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (1) ที่ให้อำนาจศาลมีคำสั่งให้โจทก์ส่งพยานเอกสารตามที่ศาลเห็นว่าจำเป็นแทนการสืบพยานไม่ ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2548 ว่าเป็นกรณีโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้เป็นเงินจำนวนแน่นอน อนุญาตให้โจทก์ส่งพยานเอกสารแทนการสืบพยาน จึงเป็นการไม่ชอบด้วยมาตรา 198 ทวิ วรรคสาม (2) เป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมในเรื่องพิจารณาคดีและการพิจารณาพยานหลักฐาน อันเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้เพิกถอนคำพิพากษาและคำสั่งของศาลชั้นต้นได้ แม้โจทก์จะไม่ได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ก็ตาม ทั้งนี้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 27 ประกอบมาตรา 243 (2), 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15018/2551
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขาดนัดยื่นคำให้การ-พิจารณาในคดีมโนสาเร่: ศาลพิจารณาชี้ขาดได้โดยไม่ต้องมีคำขอ
ป.วิ.พ. 193 วรรคสี่ (เดิม) และมาตรา 193 ทวิ วรรคสอง ได้กำหนดหลักเกณฑ์การขาดนัดยื่นคำให้การสำหรับคดีมโนสาเร่ไว้เป็นการเฉพาะแล้ว ดังนั้น การที่จะถือว่าจำเลยในคดีมโนสาเร่ขาดนัดยื่นคำให้การก็จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้น จะนำหลักเกณฑ์การขาดนัดยื่นคำให้การตาม ป.วิ.พ. มาตรา 197 และมาตรา 198 ที่ใช้สำหรับคดีแพ่งสามัญมาใช้บังคับแก่คดีมโนสาเร่ไม่ได้ เมื่อคดีนี้เป็นคดีมโนสาเร่และจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์จึงมิต้องยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคสอง แต่อย่างใด
การที่จำเลยไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาจึงเป็นการขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาซึ่งบทบัญญัติในคดีมโนสาเร่ได้กำหนดเป็นการเฉพาะให้กรณีที่จำเลยขาดนัดพิจารณาให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวได้ และเมื่อศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจให้โจทก์ส่งเอกสารแทนการสืบพยานและพิพากษาคดีจนเสร็จสิ้น กรณีจึงไม่จำต้องให้โจทก์ยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคหนึ่ง อีก
การที่จำเลยไม่มาศาลในวันนัดพิจารณาจึงเป็นการขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาซึ่งบทบัญญัติในคดีมโนสาเร่ได้กำหนดเป็นการเฉพาะให้กรณีที่จำเลยขาดนัดพิจารณาให้ศาลพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียวได้ และเมื่อศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจให้โจทก์ส่งเอกสารแทนการสืบพยานและพิพากษาคดีจนเสร็จสิ้น กรณีจึงไม่จำต้องให้โจทก์ยื่นคำขอต่อศาลเพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีโดยขาดนัดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 วรรคหนึ่ง อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8868/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ การไม่แจ้งความประสงค์ต่อสู้คดี และความรับผิดทางแพ่งจากบัตรภาษี
ในวันนัดสืบพยานจำเลยที่ 5 จำเลยที่ 1 ซึ่งขาดนัดยื่นคำให้การมาศาลและนั่งฟังการพิจารณาตั้งแต่เริ่มต้นสืบพยานจนเสร็จการพิจารณา หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 จึงแจ้งต่อศาลว่าจะให้ทนายความยื่นคำร้องขอต่อสู้คดี ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 มาศาลในวันดังกล่าวซึ่งเป็นวันก่อนที่ศาลวินิจฉัยชี้ขาดคดี แต่จำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะต่อสู้คดี การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากรฯ มาตรา 17 และการไม่แจ้งในโอกาสแรกว่ามีความประสงค์จะต่อสู้คดี ทำให้ศาลสามารถที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปได้ จำเลยมีสิทธิเพียงที่จะถามค้านพยานโจทก์ที่อยู่ระหว่างการสืบพยานได้ แต่จะนำสืบพยานหลักฐานของตนไม่ได้ตามที่บัญญัติไว้ในวรรคสองของบทมาตราดังกล่าว การที่จำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม ป.วิ.พ. มาตรา 199 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง บทบัญญัติดังกล่าวในวรรคสามบัญญัติไว้ชัดเจนว่าจำเลยจะขอยื่นคำให้การตามมาตรานี้หรือจะร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มาศาลก่อนวินิจฉัยชี้ขาดคดีและไม่แจ้งต่อศาลในโอกาสแรกว่าตนประสงค์จะต่อสู้คดี จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจขอยื่นคำให้การหรือร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ได้
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ส. และ ม. ผู้ลงชื่อในคำร้องขอรับโอนสิทธิตามบัตรภาษีในนามของจำเลยที่ 2 และที่ 5 ตามลำดับ ไม่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 2 และที่ 5 แต่การที่จำเลยที่ 2 และที่ 5 ได้รับบัตรภาษีไปตามคำร้องขอรับโอนดังกล่าวที่ยื่นต่อโจทก์ และได้นำบัตรภาษีไปใช้ชำระค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 2 และที่ 5 แล้ว พฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 5 เชิด ส. และ ม. ออกเป็นตัวแทนของตนในการกระทำดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 5 จึงต้องรับผิดตามคำร้องขอรับโอนสิทธิตามบัตรภาษีต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต ตาม ป.พ.พ. มาตรา 821
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ส. และ ม. ผู้ลงชื่อในคำร้องขอรับโอนสิทธิตามบัตรภาษีในนามของจำเลยที่ 2 และที่ 5 ตามลำดับ ไม่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 2 และที่ 5 แต่การที่จำเลยที่ 2 และที่ 5 ได้รับบัตรภาษีไปตามคำร้องขอรับโอนดังกล่าวที่ยื่นต่อโจทก์ และได้นำบัตรภาษีไปใช้ชำระค่าภาษีอากรของจำเลยที่ 2 และที่ 5 แล้ว พฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 5 เชิด ส. และ ม. ออกเป็นตัวแทนของตนในการกระทำดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 5 จึงต้องรับผิดตามคำร้องขอรับโอนสิทธิตามบัตรภาษีต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริต ตาม ป.พ.พ. มาตรา 821