คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คดีอาญา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,111 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2719/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะผู้จัดการมรดกคดีแพ่งไม่ผูกพันคดีอาญา แม้ศาลสั่งถอนแต่คดียังไม่ถึงที่สุด ผู้เสียหายยังฟ้องได้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดก ของ ช. ในคดีแพ่ง แต่คดียังไม่ถึงที่สุด เพราะโจทก์อุทธรณ์ ข้อเท็จจริงยังรับฟังเป็นยุติไม่ได้ จึงใช้ยัน บุคคลภายนอกคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145(1) ไม่ได้ ส่วนบทบัญญัติวรรคแรกที่ว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งใด ๆ ให้มีผลผูกพันนับแต่วันที่ได้มีคำพิพากษา หรือคำสั่งจนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งดังกล่าว ถูกเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเป็นเรื่องที่ให้ถือว่าผูกพัน คู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่งเท่านั้นคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ถอนโจทก์จากการเป็นผู้จัดการมรดกจึงมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความในคดีแพ่งนั้นของศาลชั้นต้นไม่มีผลผูกพันถึงคู่ความในคดีนี้ แม้จำเลยจะเป็นผู้ร้องขอให้ถอนโจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกในคดีดังกล่าวก็ตาม แต่ก็เป็นคู่ความคนละคดีกัน จำเลยจึงไม่อาจยกขึ้นอ้างอิงในคดีนี้ได้ โจทก์ยังคงมีฐานะเป็นผู้จัดการมรดกของช. อยู่ จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานปลอมตั๋วสัญญาใช้เงินของ ช. เป็นคดีนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2532/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลไม่ต้องผูกพันข้อเท็จจริงจากคดีอาญา และมีอำนาจแก้ไขค่าทนายความ
ในคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ปัญหาว่าคดีแพ่งต้องถือตามข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 หรือไม่นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ให้การในเรื่องนี้ไว้ก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
การที่โจทก์ที่ 3 ยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับในข้อหาขับรถยนต์ด้วยความประมาททำให้คดีอาญาระงับ แต่ผลของการเปรียบเทียบปรับดังกล่าวไม่ใช่คำพิพากษาในคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46 การพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตาม
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์กำหนดค่าทนายความให้จำเลยทั้งหกใช้แทนโจทก์เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ตามตาราง 6 ท้าย ป.วิ.พ. แม้จำเลยทั้งหกจะไม่ได้ฎีกาในปัญหานี้ ศาลฎีกามีอำนาจกำหนดใหม่ให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2354/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนราคาที่ดิน: ข้อจำกัดเมื่อคดีอาญาพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษารวมกันมากับคดีอาญาซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยยักยอกเงินที่ได้จากการขายที่ดิน และมีคำขอมให้คืนหรือใช้ราคาที่ดิน แต่คดีดังกล่าวถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ลงโทษจำเลยกับให้จำเลยคืนหรือใช้ราคา แม้คดีนี้จะมีมูลกรณีเดียวกัน แต่เมื่อศาลฎีกาฟังว่า จำเลยยักยอกที่ดินไม่ได้ยักยอกเงินที่ได้จากการขายที่ดิน และโจทก์คดีนี้ก็ไม่ได้มีคำขอให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาที่ดิน ดังนั้น ศาลฎีกาจึงไม่อาจสั่งให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาที่ดินแก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2166/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงแลกเปลี่ยนเช็ค: ผลกระทบต่อสิทธิฟ้องคดีอาญา
การที่ผู้เสียหายยอมรับเช็คจำนวน 25 ฉบับ เป็นการแลกเปลี่ยนกับเช็คพิพาท โดยยอมคืนเช็คพิพาทแก่จำเลยที่ 1 แต่ยังไม่อาจคืนให้ในขณะรับเช็ค25 ฉบับ และผู้เสียหายนำเช็คบางฉบับของจำนวน 25 ฉบับ ไปเรียกเก็บเงินแล้วแสดงว่าผู้เสียหายตกลงเข้าถือสิทธิตามเช็คดังกล่าวและสละสิทธิหรือไม่ยึดถือสิทธิใด ๆ ที่มีอยู่ในเช็คพิพาทอีกต่อไป รวมทั้งสิทธิที่จะดำเนินคดีอาญาเอากับจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นผู้ออกเช็คด้วย ข้อตกลงแลกเปลี่ยนเช็คดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการยอมความกัน ทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับเช็คพิพาทระงับไป ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)
การที่ผู้เสียหายไม่ได้รับเงินตามเช็คจำนวน 25 ฉบับ ตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนเช็ค ไม่ทำให้สิทธิดำเนินคดีอาญาในเช็คพิพาทซึ่งระงับไปแล้วเปลี่ยนแปลงไป เพราะผู้เสียหายสามารถที่จะดำเนินคดีแก่ผู้ออกเช็คจำนวน 25 ฉบับ เป็นคดีใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2166/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมความในคดีเช็ค: การแลกเปลี่ยนเช็คชุดเก่ากับชุดใหม่ถือเป็นการสละสิทธิในการฟ้องคดีอาญา
จำเลยออกเช็คพิพาทชำระหนี้แก่ผู้เสียหายเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินผู้เสียหายนำเช็คพิพาทไปร้องทุกข์และมอบไว้ต่อพนักงานสอบสวนต่อมาผู้เสียหายยอมรับเช็คจำนวน25ฉบับจากจำเลยเป็นการแลกเปลี่ยนกับเช็คพิพาทโดยยินยอมคืนเช็คพิพาทให้แก่จำเลยแต่ยังไม่อาจคืนให้ในขณะที่รับเช็ค25ฉบับจึงได้บันทึกไว้ในเอกสารว่าเช็คชุดเก่ายังไม่ได้คืนและผู้เสียหายได้นำเช็คบางฉบับของจำนวน25ฉบับที่ถึงกำหนดจ่ายเงินไปเรียกเก็บเงินแล้วแสดงให้เห็นว่าผู้เสียหายตกลงเข้าถือสิทธิตามเช็คดังกล่าวและสละสิทธิหรือไม่ยึดถือสิทธิใดๆที่มีอยู่ในเช็คพิพาทอีกต่อไปรวมทั้งสิทธิที่จะดำเนินคดีอาญาเอากับจำเลยด้วยข้อตกลงดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการยอมความกันทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับเช็คพิพาทระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2)การที่ผู้เสียหายไม่ได้รับเงินตามเช็คจำนวน25ฉบับตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนเช็คก็ไม่เป็นเงื่อนไขในการตกลงยอมความกันเพราะผู้เสียหายชอบที่จะดำเนินคดีแก่ผู้ออกเช็คจำนวน25ฉบับเป็นคดีใหม่ต่อไปได้และไม่ทำให้สิทธิดำเนินคดีอาญาในเช็คพิพาทซึ่งระงับไปแล้วเปลี่ยนแปลงไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1930/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดวงเงินฎีกาในคดีแพ่ง, การรับช่วงสิทธิค่าเสียหาย, และการวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่เชื่อมโยงกับคดีอาญา
ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาของจำเลยที่1ตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คำนวณเงินต้นและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องมีเพียง194,114.18บาทจึงไม่เกินสองแสนบาทห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่งจำเลยที่1ฎีกาว่าเหตุพิพาทคดีนี้เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่2แม้ศาลจะฟังว่ารถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกับรถเก๋งก็เป็นเหตุสุดวิสัยฎีกาของจำเลยที่1ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่1ขับรถโดยประมาทมิได้เกิดจากเหตุสุดวิสัยเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทมาตราดังกล่าวข้างต้น ในคดีอาญาพนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่2ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ.2522มาตรา43,46,157รัฐเป็นผู้เสียหายจำเลยที่1ไม่ใช่คู่ความหรือผู้เสียหายในคดีอาญาดังกล่าวในการพิพากษาคดีนี้ศาลจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญา โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา880เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่ารถยนต์บรรทุกคันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนแน่นอนเท่าใดศาลจึงกำหนดให้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา438การที่โจทก์ไปตกลงค่าเสียหายกับผู้เอาประกันภัยและจ่ายค่าเสียหายไปโดยไม่ปรากฏว่าค่าเสียหายมีเพียงใดโจทก์จะเรียกร้องเอาเงินที่โจทก์จ่ายไปดังกล่าวเต็มจำนวนหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1872/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลดโทษและลงโทษปรับในคดีอาญาหลายกระทง: ศาลฎีกามีอำนาจจำกัดเมื่อโจทก์มิได้ฎีกา
เมื่อวางโทษประหารชีวิตกระทงหนึ่งในคดีที่จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันแล้วย่อมวางโทษปรับในความผิดกระทงอื่นอีกได้แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกาศาลฎีกาก็ไม่อาจลงโทษปรับจำเลยได้เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา212ประกอบมาตรา225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของการเปรียบเทียบปรับในคดีอาญาต่อการพิจารณาคดีแพ่ง: การยอมรับความผิดต่อพนักงานสอบสวนไม่ใช่คำพิพากษา
การที่จำเลยที่1ยอมรับต่อพนักงานสอบสวนในคดีอาญาว่าตนขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์คันที่ ว. ขับและยอมให้พนักงานสอบสวนเปรียบเทียบปรับมีผลเพียงทำให้คดีอาญาเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา37แต่การเปรียบเทียบปรับดังกล่าวไม่ใช่คำพิพากษาคดีส่วนอาญาไม่ต้องด้วยมาตรา46ที่คดีในส่วนแพ่งจะต้องถือข้อเท็จจริงตามการที่ศาลถือเอาข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาชี้ขาดตัดสินคดีแพ่งจึงไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1737/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิโจทก์ร่วมในคดีอาญา: การรับทราบอุทธรณ์และวันนัดฟังคำพิพากษา
ในคดีที่ศาลอนุญาตให้ผู้เสียหายเข้าเป็นโจทก์ร่วมแล้วโจทก์ร่วมและพนักงานอัยการต่างมีฐานะเป็นโจทก์ด้วยกันเมื่อจำเลยยื่นอุทธรณ์การที่ศาลชั้นต้นเพียงแต่สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้พนักงานอัยการโจทก์โดยไม่ได้สั่งให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมด้วยและศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาคดีดังกล่าวไปจึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา200อันทั้งการที่ศาลชั้นต้นมิได้แจ้งวันนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมทราบด้วยก็ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา182ประกอบด้วยมาตรา215ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ปฏิบัติเสียให้ถูกต้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1482/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความสัมพันธ์ระหว่างคำพิพากษาคดีอาญาและคดีแพ่ง: การถือข้อเท็จจริงเมื่อคดีอาญาถึงที่สุด
ในการพิพากษาคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 46ขณะที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในคดีแพ่งว่า เหตุรถชนเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของโจทก์ จำเลยไม่ต้องรับผิดนั้น คดีส่วนอาญายังไม่ถึงที่สุด ศาลอุทธรณ์จึงไม่จำต้องถือตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แต่เมื่อคดีส่วนอาญามาถึงที่สุดในชั้นนี้ โดยที่โจทก์ได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา แม้คดีนี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาซึ่งถึงที่สุดแล้วว่า เหตุรถชนเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของจำเลยฝ่ายเดียว
of 312