พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,380 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3028/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบุกรุกที่ดินและการครอบครองปรปักษ์ จำเลยไม่ได้ครอบครองที่ดินโจทก์โดยสงบและเปิดเผย
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายฟ้องสับสน ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไร และครอบครองที่ดินของโจทก์อย่างไรเขตที่อ้างว่าจำเลยบุกรุกอยู่ตรงไหน แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าคำฟ้องเคลือบคลุม แม้จำเลยที่ 2 จะให้การว่าคำฟ้องเคลือบคลุมแต่ก็อ้างเหตุแห่งการเคลือบคลุมว่าฟ้องโจทก์มีได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายและค่าขาดประโยชน์ซึ่งเป็นคนละเหตุกับเหตุที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกา ถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
จำเลยไม่เคยเข้าไปกระทำการใด ๆ ในที่ดินของโจทก์เพียงแต่ในการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกันจำเลยนำชี้เขตที่ดินของตนว่าอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ซึ่งโจทก์ก็คัดค้าน เมื่อโจทก์ขอรังวัดสอบเขตที่ดินบ้าง จำเลยที่ 1 ก็ไประวังแนวเขตและชี้ว่าที่ดินของตนอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้รังวัดสอบเขตไม่สำเร็จ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเขตที่ดินในโฉนด ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินส่วนที่เลยแนวรั้วในที่ดินของโจทก์.
จำเลยไม่เคยเข้าไปกระทำการใด ๆ ในที่ดินของโจทก์เพียงแต่ในการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกันจำเลยนำชี้เขตที่ดินของตนว่าอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ซึ่งโจทก์ก็คัดค้าน เมื่อโจทก์ขอรังวัดสอบเขตที่ดินบ้าง จำเลยที่ 1 ก็ไประวังแนวเขตและชี้ว่าที่ดินของตนอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้รังวัดสอบเขตไม่สำเร็จ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเขตที่ดินในโฉนด ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินส่วนที่เลยแนวรั้วในที่ดินของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3028/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์, เขตที่ดิน, การรังวัด, การรุกล้ำที่ดิน, สิทธิในที่ดิน
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายฟ้องสับสน ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไร และครอบครองที่ดินของโจทก์อย่างไร เขตที่อ้างว่าจำเลยบุกรุกอยู่ตรงไหนแต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าคำฟ้องเคลือบคลุมแม้จำเลยที่ 2 จะให้การว่าคำฟ้องเคลือบคลุมแต่ก็อ้างเหตุแห่งการเคลือบคลุมว่าฟ้องโจทก์มิได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายและค่าขาดประโยชน์ซึ่งเป็นคนละเหตุกับเหตุที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกา ถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น จำเลยไม่เคยเข้าไปกระทำการใด ๆ ในที่ดินของโจทก์เพียงแต่ในการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกัน จำเลยนำชี้เขตที่ดินของตนว่าอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ซึ่งโจทก์ก็คัดค้าน เมื่อโจทก์ขอรังวัดสอบเขตที่ดินบ้าง จำเลยที่ 1 ก็ไประวังแนวเขตและชี้ว่าที่ดินของตนอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์เป็นเหตุให้รังวัดสอบเขตไม่สำเร็จไม่มีการเปลี่ยนแปลงเขตที่ดินในโฉนด ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินส่วนที่เลยแนวรั้วในที่ดินของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3028/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องมีการครอบครองจริงและเปิดเผย มิใช่แค่การชี้แนวเขตที่ไม่สำเร็จ
จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าคำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะบรรยายฟ้องสับสน ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไร และครอบครองที่ดินของโจทก์อย่างไรเขตที่อ้างว่าจำเลยบุกรุกอยู่ตรงไหน แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 มิได้ให้การต่อสู้ไว้ว่าคำฟ้องเคลือบคลุม แม้จำเลยที่ 2 จะให้การว่าคำฟ้องเคลือบคลุมแต่ก็อ้างเหตุแห่งการเคลือบคลุมว่าฟ้องโจทก์มีได้มีรายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายและค่าขาดประโยชน์ซึ่งเป็นคนละเหตุกับเหตุที่จำเลยที่ 1 อ้างในฎีกา ถือไม่ได้ว่าฎีกาของจำเลยที่ 1 ข้อนี้เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น
จำเลยไม่เคยเข้าไปกระทำการใด ๆ ในที่ดินของโจทก์เพียงแต่ในการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกันจำเลยนำชี้เขตที่ดินของตนว่าอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ซึ่งโจทก์ก็คัดค้าน เมื่อโจทก์ขอรังวัดสอบเขตที่ดินบ้าง จำเลยที่ 1 ก็ไประวังแนวเขตและชี้ว่าที่ดินของตนอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้รังวัดสอบเขตไม่สำเร็จ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเขตที่ดินในโฉนด ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินส่วนที่เลยแนวรั้วในที่ดินของโจทก์.
จำเลยไม่เคยเข้าไปกระทำการใด ๆ ในที่ดินของโจทก์เพียงแต่ในการขอรังวัดสอบเขตที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดกันจำเลยนำชี้เขตที่ดินของตนว่าอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ซึ่งโจทก์ก็คัดค้าน เมื่อโจทก์ขอรังวัดสอบเขตที่ดินบ้าง จำเลยที่ 1 ก็ไประวังแนวเขตและชี้ว่าที่ดินของตนอยู่เลยแนวรั้วเข้าไปในที่ดินของโจทก์ เป็นเหตุให้รังวัดสอบเขตไม่สำเร็จ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเขตที่ดินในโฉนด ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่ดินส่วนที่เลยแนวรั้วในที่ดินของโจทก์.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1950/2531 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแบ่งกรรมสิทธิ์ร่วม การครอบครองปรปักษ์ และผลของการคัดค้านการแบ่งแยกโฉนด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดร่วมกับจำเลยและผู้มีชื่อตามที่ระบุไว้ในคำฟ้องโดยโจทก์ได้รับการยกให้จากมารดา และโจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทปรากฏเขตตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนสัดมากกว่า 10 ปี จำเลยไม่ยอมแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองให้โจทก์ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม
แม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายว่า โฉนดที่พิพาทมีชื่อโจทก์จำเลยล. และ ท. ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่ในทางพิจารณาได้ความว่ามีชื่อ ร. ในโฉนดที่พิพาทด้วย ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาแตกต่างไปจากฟ้องเพราะ ร. ซึ่งมีชื่อในโฉนดที่พิพาทด้วยเป็นที่จำเลยได้รับมรดกที่พิพาทจากบิดามารดาเช่นเดียวกับจำเลยแต่บวชเป็นพระภิกษุ ไม่เคยครอบครองที่พิพาทและได้ยกกรรมสิทธิ์ส่วนของตนให้จำเลยก่อนโจทก์ฟ้องแล้ว ดังนั้นจึงหาเกี่ยวกับที่พิพาทในส่วนที่โจทก์ได้รับการยกให้และครอบครองมากกว่า 10 ปีไม่จึงไม่ทำให้ฟ้องเสียไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนดพิพาท ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
แม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายว่า โฉนดที่พิพาทมีชื่อโจทก์จำเลยล. และ ท. ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่ในทางพิจารณาได้ความว่ามีชื่อ ร. ในโฉนดที่พิพาทด้วย ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาแตกต่างไปจากฟ้องเพราะ ร. ซึ่งมีชื่อในโฉนดที่พิพาทด้วยเป็นที่จำเลยได้รับมรดกที่พิพาทจากบิดามารดาเช่นเดียวกับจำเลยแต่บวชเป็นพระภิกษุ ไม่เคยครอบครองที่พิพาทและได้ยกกรรมสิทธิ์ส่วนของตนให้จำเลยก่อนโจทก์ฟ้องแล้ว ดังนั้นจึงหาเกี่ยวกับที่พิพาทในส่วนที่โจทก์ได้รับการยกให้และครอบครองมากกว่า 10 ปีไม่จึงไม่ทำให้ฟ้องเสียไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนดพิพาท ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1950/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมในที่ดิน การครอบครองปรปักษ์ และการพิสูจน์สิทธิในที่ดิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดร่วมกับจำเลยและผู้มีชื่อตามที่ระบุไว้ในคำฟ้องโดยโจทก์ได้รับการยกให้จากมารดาและโจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทปรากฏเขตตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนสัดมากว่า 10 ปี จำเลยไม่ยอมแบ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองให้โจทก์ ดังนี้ เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม แม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายว่า โฉนดที่พิพาทมีชื่อโจทก์จำเลย ล.และท.ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันแต่ในทางพิจารณาได้ความว่ามีชื่อร.ในโฉนดที่พิพาทด้วย ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาแตกต่างไปจากฟ้องเพราะ ร. ซึ่งมีชื่อในโฉนดที่พิพาทด้วยเป็นพี่จำเลยได้รับมรดกที่พิพาทจากบิดามารดาเช่นเดียวกับจำเลยแต่บวชเป็นพระภิกษุ ไม่เคยครอบครองมากกว่า 10 ปีไม่ จึงไม่ทำให้ฟ้องเสียไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยฟ้องแล้ว ดังนั้นจึงหาเกี่ยวกับที่พิพาทในส่วนที่โจทก์ได้รับการยกให้และครอบครองมากว่า 10 ปีไม่จึงไม่ทำให้ฟ้องเสียไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนดพิพาท ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1950/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ร่วม: การครอบครองปรปักษ์ การยกสิทธิ และการโต้แย้งสิทธิ
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์มีชื่อในโฉนดร่วมกับจำเลยและผู้มีชื่อตามที่ระบุไว้ในคำฟ้องโดยโจทก์ได้รับการยกให้จากมารดา และโจทก์ได้เข้าครอบครองที่พิพาทปรากฏเขตตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนสัดมากกว่า 10 ปี จำเลยไม่ยอมแย่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่โจทก์ครอบครองให้โจทก์ดังนี้เป็นฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม
แม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายว่า โฉนดที่พิพาทมีชื่อโจทก์จำเลยล. และ ท. ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่ในทางพิจารณาได้ความว่ามีชื่อ ร. ในโฉนดที่พิพาทด้วย ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาแตกต่างไปจากฟ้องเพราะ ร. ซึ่งมีชื่อในโฉนดที่พิพาทด้วยเป็นที่จำเลยได้รับมรดกที่พิพาทจากบิดามารดาเช่นเดียวกับจำเลยแต่บวชเป็นพระภิกษุ ไม่เคยครอบครองที่พิพาทและได้ยกกรรมสิทธิ์ส่วนของตนให้จำเลยก่อนโจทก์ฟ้องแล้ว ดังนั้นจึงหาเกี่ยวกับที่พิพาทในส่วนที่โจทก์ได้รับการยกให้และครอบครองมากกว่า 10 ปีไม่จึงไม่ทำให้ฟ้องเสียไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนดพิพาท ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง.
แม้ฟ้องโจทก์จะบรรยายว่า โฉนดที่พิพาทมีชื่อโจทก์จำเลยล. และ ท. ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่ในทางพิจารณาได้ความว่ามีชื่อ ร. ในโฉนดที่พิพาทด้วย ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงที่ได้ความในทางพิจารณาแตกต่างไปจากฟ้องเพราะ ร. ซึ่งมีชื่อในโฉนดที่พิพาทด้วยเป็นที่จำเลยได้รับมรดกที่พิพาทจากบิดามารดาเช่นเดียวกับจำเลยแต่บวชเป็นพระภิกษุ ไม่เคยครอบครองที่พิพาทและได้ยกกรรมสิทธิ์ส่วนของตนให้จำเลยก่อนโจทก์ฟ้องแล้ว ดังนั้นจึงหาเกี่ยวกับที่พิพาทในส่วนที่โจทก์ได้รับการยกให้และครอบครองมากกว่า 10 ปีไม่จึงไม่ทำให้ฟ้องเสียไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยคัดค้านการแบ่งแยกโฉนดพิพาท ย่อมเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1949/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิของบุคคลภายนอกที่ซื้อที่ดินโดยสุจริต แม้เจ้าของเดิมได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์ ยังไม่จดทะเบียน
จำเลยที่ 2 ซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 1 โดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริต แม้โจทก์จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทมาโดยการครอบครองปรปักษ์ เมื่อยังมิได้จดทะเบียนสิทธิ ดังนี้โจทก์ก็จะขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ไม่ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา1299 วรรคสอง.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 183/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงแบ่งกรรมสิทธิ์รวมผูกพันทายาท การอ้างการครอบครองปรปักษ์ทำลายข้อตกลงไม่ได้
โจทก์และบิดาจำเลยถือกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมกัน ต่อมาได้ร่วมกันยื่นคำร้องขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวมต่อเจ้าพนักงานที่ดินโดยบันทึกข้อตกลงแบ่งแยกให้บิดาจำเลยได้เนื้อที่ 1 ใน 5 ส่วน โจทก์และบิดาจำเลยลงชื่อไว้ บันทึกนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และเป็นข้อตกลงเรื่องแบ่งกรรมสิทธิ์รวมระหว่างเจ้าของรวมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1364 จึงผูกพันโจทก์และบิดาจำเลย เมื่อบิดาจำเลยตายจำเลยรับมรดกที่ดินมาก็ย่อมผูกพันจำเลยด้วย การที่โจทก์อ้างว่าต้องแบ่งตามที่โจทก์ครอบครอง เป็นการขัดกับข้อความในบันทึกข้อตกลงส่วนที่โจทก์ยื่นคำขอยกเลิกคำขอแบ่งกรรมสิทธิ์รวม โดยกระทำไปฝ่ายเดียวอ้างว่าบิดาจำเลยตายแล้วนั้น ไม่มีผลทำให้ข้อตกลงเรื่องแบ่งแยกกรรมสิทธิ์รวมระงับไปเพราะจำเลยซึ่งเป็นทายาทมิได้ยินยอม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1298-1299/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องมีเจตนาเป็นเจ้าของ การเข้าใจผิดว่าเป็นที่ดินสาธารณะทำให้ไม่เข้าข่าย
จำเลยมิได้นำสืบว่าครอบครองที่พิพาทด้วยเจตนาเป็นเจ้าของและเคยให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินของรัฐ ถ้าการรังวัดผลปรากฏว่าอยู่ในที่ดินของโจทก์จำเลยยินยอมรื้อบ้านเรือนออกไป แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาครอบครองที่พิพาทเพื่อยึดถือเป็นของตน ไม่ได้ครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่แรกเพราะเข้าใจว่า ที่ดินเป็นของรัฐหรือที่สาธารณสมบัติของแผ่นดิน เพียงต้องการอยู่อาศัยโดยไม่ต้องเสียค่าเช่าเท่านั้น จึงไม่เป็นการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 864/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการครอบครองปรปักษ์ vs. เจ้าหนี้ที่บังคับคดี: การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยไม่จดทะเบียนและผลกระทบต่อบุคคลภายนอก
ป.พ.พ. มาตรา 1299 วรรคสองบัญญัติว่า สิทธิของผู้ได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยทางอื่นนอกจากนิติกรรมและยังมิได้จดทะเบียนสิทธิต้องห้ามมิให้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว โจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาผู้นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ โจทก์จึงมิใช่ผู้ที่ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทน โดยสุจริตและได้จดทะเบียนสิทธิแล้วตามความในมาตราดังกล่าว โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินซึ่งมีชื่อ จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์รวม 23 โฉนด เพื่อบังคับตามคำพิพากษาระหว่างบังคับคดี ผู้ร้องเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ศาลพิพากษาว่าผู้ร้องได้กรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ต่อมาผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ในคดีนี้อ้างว่าได้กรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 23 โฉนด โดยการครอบครองปรปักษ์เช่นกัน ดังนี้มิใช่เรื่องฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 173 เพราะคำร้องขัดทรัพย์เป็นเรื่องผู้ร้องพิพาทกับโจทก์และมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่า จะปล่อยทรัพย์ที่ยึดหรือไม่ ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลย มิได้ฟ้องโจทก์ด้วยทั้งมีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าที่ดินทั้ง 23 โฉนด เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องหรือไม่ ไม่ชอบที่ศาลจะสั่งงดสืบพยานของผู้ร้องแล้วพิพากษายกคำร้องเสียสมควรฟังข้อเท็จจริงต่อไปให้สิ้นกระแสความก่อน.