คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ซื้อขาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,032 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1895/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายทรัพย์สินที่ถูกลักมา ผู้ขายต้องรับผิดชอบการรอนสิทธิ ผู้ซื้อไม่ต้องชำระเงิน
มีผู้ลักปากกามาขายให้โจทก์ โจทก์ซื้อไว้แล้วนำมาขายให้กับจำเลยโดยจำเลยไม่รู้ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยึดปากกาไปจากจำเลยและคืนให้เจ้าของไป ถือว่าเป็นการรอนสิทธิจำเลยโจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายต้องรับผิด จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเป็นค่าปากกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1895/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายทรัพย์สินที่มีตำหนิ การรอนสิทธิ และผลกระทบต่อการเรียกร้องค่าเช็ค
มีผู้ลักปากกามาขายให้โจทก์ โจทก์ซื้อไว้แล้วนำมาขายให้กับจำเลย โดยจำเลยไม่รู้ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจยึดปากกาไปจากจำเลยและคืนให้เจ้าของไป ถือว่าเป็นการรอนสิทธิจำเลย โจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายต้องรับผิด จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยชำระเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเป็นค่าปากกา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1535/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การได้มาซึ่งสิทธิครอบครองที่ดิน: การครอบครองแทนเจ้าของเดิม และการซื้อขายที่ดิน
โจทก์ได้รับมอบที่ดินพิพาทจาก อ. ให้ทำกินต่างดอกเบี้ยแม้โจทก์จะได้ครอบครองทำกินในที่พิพาทตลอดจนเสียภาษีบำรุงท้องที่สำหรับที่ดินพิพาทก็เป็นเพียงครอบครองแทน อ. เท่านั้น ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เปลี่ยนเจตนาการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 โจทก์จึงยังไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท
จำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทโดยซื้อจาก อ. แล้วสิทธิครอบครองของ อ. สิ้นสุดลง จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองที่พิพาท

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินหลังประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ: การแจ้งสิทธิครอบครองและผลกระทบต่อการซื้อขาย
บุคคลผู้จะได้มาซึ่งที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งทำไว้ก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ต้องจดแจ้งสัญญานั้นไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 120 วัน นับแต่วันพระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ เมื่อได้มีการซื้อขายไปตามสัญญานั้นแล้วจึงจะถือว่าผู้ซื้อมีสิทธิในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ มิฉะนั้นจะมีผลให้ที่ดินตกเป็นของรัฐ ซึ่งผู้ยึดถือครอบครองอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน เว้นแต่บุคคลนั้นจะอ้างความคุ้มครองจากสิทธิครอบครองของผู้โอนที่ดินนั้นแก่ตนในฐานะผู้รับโอน (เทียบฎีกาที่ 1748/2505)
ในกรณีผู้โอนดังกล่าวได้มาซึ่งที่ดินโดยได้รับอนุญาตให้จับจองตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 แต่ยังมิได้รับคำรับรองว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ก่อนวันที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ใช้บังคับนั้น ผู้โอนต้องขอคำรับรองภายใน 180 วันนับจากวันสิ้นสุดแห่งการจับจองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือหากระยะเวลาดังกล่าวได้สิ้นสุดลงก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ก็ให้ยื่นคำขอต่อนายอำเภอภายใน 180 วันนับแต่วันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ มิฉะนั้นจะถือว่าที่ดินนั้นเป็นอันปลอดจากการจับจองและตกเป็นของรัฐ อันมีผลให้ถือว่า ผู้นั้นเข้าครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ฉะนั้น การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้โอนกับจำเลยเมื่อปี 2501 โดยผู้โอนมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจึงใช้ยันกันได้ระหว่างกันเท่านั้น จะใช้ยันต่อรัฐไม่ได้ เมื่อจำเลยไม่อาจอ้างความคุ้มครองจากสิทธิของผู้โอนที่พิพาทแก่ตนดังกล่าวจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (เทียบฎีกาที่ 1061/2503)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1343/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินหลัง พ.ร.บ.ประมวลกฎหมายที่ดิน: การแจ้งสิทธิครอบครองและการซื้อขายที่ถูกต้อง
บุคคลผู้จะได้มาซึ่งที่ดินตามสัญญาจะซื้อจะขายซึ่งทำไว้ก่อนพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ต้องจดแจ้งสัญญานั้นไว้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ภายใน 120 วัน นับแต่วันพระราชบัญญัติดังกล่าวใช้บังคับ เมื่อได้มีการซื้อขายไปตามสัญญานั้นแล้วจึงจะถือว่าผู้ซื้อมีสิทธิในที่ดินอยู่ก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ มิฉะนั้นจะมีผลให้ที่ดินตกเป็นของรัฐ ซึ่งผู้ยึดถือครอบครองอาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน เว้นแต่บุคคลนั้นจะอ้างความคุ้มครองจากสิทธิครอบครองของผู้โอนที่ดินนั้นแก่ตนในฐานะผู้รับโอน (เทียบฎีกาที่ 1748/2505)
ในกรณีผู้โอนดังกล่าวได้มาซึ่งที่ดินโดยได้รับอนุญาตให้จับจองตามพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดิน (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2479 แต่ยังมิได้รับคำรับรองว่าได้ทำประโยชน์แล้ว ก่อนวันที่พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ใช้บังคับนั้น ผู้โอนต้องขอคำรับรองภายใน 180 วันนับจากวันสิ้นสุดแห่งการจับจองตามพระราชบัญญัติดังกล่าว หรือหากระยะเวลาดังกล่าวได้สิ้นสุดลงก่อนวันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ ก็ให้ยื่นคำขอต่อนายอำเภอภายใน 180 วันนับแต่วันที่ประมวลกฎหมายที่ดินใช้บังคับ มิฉะนั้นจะถือว่าที่ดินนั้นเป็นอันปลอดจากการจับจองและตกเป็นของรัฐ อันมีผลให้ถือว่า ผู้นั้นเข้าครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ฉะนั้น การซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างผู้โอนกับจำเลยเมื่อปี 2501 โดยผู้โอนมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าวจึงใช้ยันกันได้ระหว่างกันเท่านั้น จะใช้ยันต่อรัฐไม่ได้ เมื่อจำเลยไม่อาจอ้างความคุ้มครองจากสิทธิของผู้โอนที่พิพาทแก่ตนดังกล่าวจำเลยจึงต้องมีความผิดฐานยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (เทียบฎีกาที่ 1061/2503)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาซื้อขาย: ศาลกำหนดตามความเสียหายปกติและพิจารณาจากสภาพทำเลที่เปลี่ยนแปลง
จำเลยผิดสัญญาจะขายตึกพร้อมด้วยที่ดินแก่โจทก์ โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายว่า หากจำเลยปฏิบัติตามสัญญาให้โจทก์รับซื้อได้ถ้าโจทก์จะขาย มีผู้มาขอซื้อในราคา 450,000 บาท เพราะหลังจากทำสัญญาแล้ว ตึกแถวพร้อมด้วยที่ดินนี้มีราคาสูงขึ้นตามสภาพเพราะอยู่ริมถนนและเป็นทำเลที่เจริญด้วยการค้า โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรได้เป็นกำไรจากการขายไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท แล้วโจทก์นำสืบว่าโจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทไว้เพื่อค้าขายเอง เมื่อรับโอนมาแล้วถ้ามีคนมาซื้อในราคาดีก็จะขาย และว่าตึกแถวนี้อยู่ในทำเลดีมีโรงภาพยนต์และตลาด ราคาจึงสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าโจทก์จะขายในขณะนี้ จะขายได้ในราคาไม่ต่ำกว่า 450,000 บาท โดยมีผู้มาขอซื้อแล้ว 2 ราย รายละ 450,000 บาท โจทก์ก็ยังไม่ขายเพราะยังไม่ได้รับโอนและที่ดินพร้อมด้วยตึกแถวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ขายได้ราคาถึง 550,000 บาท การที่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบดังนี้ก็เพื่อแสดงว่า ที่ดินและตึกพิพาทมีราคาสูงขึ้นตามสภาพของทำเลที่ดีเท่านั้น ข้ออ้างตามคำฟ้องและข้อนำสืบของโจทก์ แสดงว่าโจทก์ยังมิได้มีข้อผูกพันที่จะต้องขายต่อให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด อันจะทำให้โจทก์ได้กำไรเป็นจำนวนเท่าใด หรือว่าถ้าโจทก์โอนขายให้ผู้นั้นไม่ได้โจทก์จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เป็นจำนวนเท่าใด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกจากจำเลยจึงเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การที่จำเลยไม่ส่งมอบตึกและที่ดินพิพาทให้โจทก์ หาใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษไม่
โจทก์เรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าโจทก์ขาดประโยชน์เป็นจำนวน 100,000 บาท เท่ากำไรที่โจทก์อาจได้จากการขายต่อ แต่เมื่อยังฟังไม่ได้เป็นการแน่นอนว่าโจทก์จะขายได้กำไรเท่านั้นจริง ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ตามที่เห็นสมควรได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 16/2514)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2514

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการผิดสัญญาซื้อขาย: กำไรที่คาดว่าจะได้รับจากการขายต่อ และอำนาจศาลในการกำหนดค่าเสียหาย
จำเลยผิดสัญญาจะขายตึกพร้อมด้วยที่ดินแก่โจทก์ โจทก์บรรยายฟ้องเกี่ยวกับค่าเสียหายว่า หากจำเลยปฏิบัติตามสัญญาให้โจทก์รับซื้อได้ถ้าโจทก์จะขาย มีผู้มาขอซื้อในราคา 450,000 บาท เพราะหลังจากทำสัญญาแล้ว ตึกแถวพร้อมด้วยที่ดินนี้มีราคาสูงขึ้นตามสภาพเพราะอยู่ริมถนนและเป็นทำเลที่เจริญด้วยการค้า โจทก์ขาดประโยชน์ที่ควรได้เป็นกำไรจากการขายไม่ต่ำกว่า 100,000 บาท แล้วโจทก์นำสืบว่าโจทก์ซื้อที่ดินและตึกพิพาทไว้เพื่อค้าขายเอง เมื่อรับโอนมาแล้วถ้ามีคนมาซื้อในราคาดีก็จะขาย และว่าตึกแถวนี้อยู่ในทำเลดีมีโรงภาพยนต์และตลาด ราคาจึงสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าโจทก์จะขายในขณะนี้ จะขายได้ในราคาไม่ต่ำกว่า 450,000 บาท โดยมีผู้มาขอซื้อแล้ว 2 ราย รายละ 450,000 บาท โจทก์ก็ยังไม่ขาย เพราะยังไม่ได้รับโอนและที่ดินพร้อมด้วยตึกแถวซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ก็ขายได้ราคาถึง 550,000 บาท การที่โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบดังนี้ก็เพื่อแสดงว่า ที่ดินและตึกพิพาทมีราคาสูงขึ้นตามสภาพของทำเลที่ดีเท่านั้น ข้ออ้างตามคำฟ้องและข้อนำสืบของโจทก์ แสดงว่าโจทก์ยังมิได้มีข้อผูกพันที่จะต้องขายต่อให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใด อันจะทำให้โจทก์ได้กำไรเป็นจำนวนเท่าใด หรือว่าถ้าโจทก์โอนขายให้ผู้นั้นไม่ได้โจทก์จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้เป็นจำนวนเท่าใด ค่าเสียหายที่โจทก์เรียกจากจำเลยจึงเป็นค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายเช่นที่ตามปกติย่อมเกิดขึ้นแต่การที่จำเลยไม่ส่งมอบตึกและที่ดินพิพาทให้โจทก์หาใช่ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่พฤติการณ์พิเศษไม่
โจทก์เรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าโจทก์ขาดประโยชน์เป็นจำนวน100,000 บาท เท่ากำไรที่โจทก์อาจได้จากการขายต่อ แต่เมื่อยังฟังไม่ได้เป็นการแน่นอนว่าโจทก์จะขายได้กำไรเท่านั้นจริง ศาลมีอำนาจกำหนดค่าเสียหายให้โจทก์ตามที่เห็นสมควรได้
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 16/2514)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์ซ้ำและการซื้อขายที่ตกเป็นโมฆะ ผู้ซื้อไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ปล่อยทรัพย์
ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบังคับคดีไว้แล้ว เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นได้แต่จะขอเข้าเฉลี่ยในทรัพย์นั้นหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายได้เท่านั้น จะยึดทรัพย์นั้นซ้ำอีกไม่ได้ ฉะนั้นหากมีการยึดทรัพย์ซ้ำกับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษารายแรก และปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดซ้ำรายหลังนี้ การซื้อขายอันเป็นผลมาจากการยึดที่ต้องห้ามตามกฎหมายนี้ย่อมไม่ชอบด้วยเช่นกัน และกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 296 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องจึงจะร้องให้ปล่อยทรัพย์ที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดไว้ก่อนไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 50/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์ซ้ำและการซื้อขายที่ตกเป็นโมฆะ เนื่องจากเป็นการยึดซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบังคับคดีไว้แล้ว เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาอื่นได้แต่จะขอเข้าเฉลี่ยในทรัพย์นั้นหรือเงินที่ขายหรือจำหน่ายได้เท่านั้นจะยึดทรัพย์นั้นซ้ำอีกไม่ได้ ฉะนั้นหากมีการยึดทรัพย์ซ้ำกับเจ้าหนี้ตามคำพิพากษารายแรก และปรากฏว่าผู้ร้องเป็นผู้ประมูลซื้อทรัพย์ได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์ที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดซ้ำรายหลังนี้การซื้อขายอันเป็นผลมาจากการยึดที่ต้องห้ามตามกฎหมายนี้ย่อมไม่ชอบด้วยเช่นกัน และกรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 296 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ผู้ร้องจึงจะร้องให้ปล่อยทรัพย์ที่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษานำยึดไว้ก่อนไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับตามคำพิพากษาซื้อขาย: จำเลยต้องรังวัดแบ่งแยกที่ดินก่อนโอนให้โจทก์ โจทก์ไม่ผิดสัญญา
โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลศาลได้พิพากษาคดีเสร็จเด็ดขาดและได้มีคำบังคับให้โจทก์จำเลยปฏิบัติตามสัญญานั้นแล้ว
ต่อมาโจทก์จำเลยต่างโต้เถียงกันว่าฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา โดยโจทก์ว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้ จำเลยว่าโจทก์ไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ตามนัด ถือว่าโจทก์ผิดสัญญา จำเลยจึงไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ได้จะโอนขายให้ผู้อื่นซึ่งให้ราคาสูงกว่า
ตามสัญญาจำเลยจะต้องทำการรังวัดให้ทราบเนื้อที่ให้แน่นอนและมีหน้าที่แบ่งแยกที่ดินพิพาทกับเจ้าของร่วมคนอื่นก่อนแล้วจึงจะโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ได้ จำเลยยังไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้จะถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ได้ โจทก์จึงคงมีสิทธิบังคับให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทตามคำพิพากษาตามยอมได้ บทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 เป็นบทใช้กับการเลิกสัญญา แต่กรณีนี้เป็นการบังคับตามคำพิพากษา
of 104