พบผลลัพธ์ทั้งหมด 752 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 116/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายด้วยเกี๊ยะจนเกิดบาดแผลบวมนูน ถือเป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
จำเลยตีผู้เสียหาย 2 คน ด้วยเกี๊ยะฐานแผลถึงบวมนูนแพทย์ผู้ชันสูตรประมาณว่ารักษาหายภายใน 3 วัน และ 2 วัน ตามลำดับ. โจทก์นำสืบว่า ผู้เสียหายรักษา 7 วัน 5 วัน หาย เห็นว่าลักษณะการกระทำของจำเลยและฐานแผลของผู้เสียหายต้องรักษาอยู่หลายวัน ถือได้ว่าเป็นอันตรายแก่กายไม่จำต้องมีโลหิตไหลเป็นอันตรายแก่กายย่อมมีผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1107/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยในคดีฆ่าคนโดยเจตนาที่เกิดก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญา ต้องใช้กฎหมายเก่า แม้โทษเท่ากัน
จำเลยทำผิดฐานฆ่าคนโดยเจตนาเหตุเกิดก่อนใช้ประมวลกฎหมายอาญาต้องลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 249 จะลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 หาได้ไม่ เพราะอัตราโทษเท่ากันกับกฎหมายเก่า ไม่มีส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยประการใด และเมื่อคำให้การจำเลยมีประโยชน์ในการพิจารณาอยู่บ้าง จะปรานีลดโทษให้จำเลย ก็ต้องอ้างกฎหมายลักษณะอาญามาตรา 59 จะมาอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 978/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอแก้ไขโทษภายหลังประมวลกฎหมายอาญาใช้บังคับ ต้องเป็นคดีถึงที่สุดก่อนวันที่ 1 ม.ค. 2500
ที่จำเลยจะร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย และคดีถึงที่สุดไปแล้วก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายอาญา คือวันที่ 1 ม.ค. 2500 ถ้าคดีของจำเลยมาถึงที่สุดลง เมื่อประมวลกฎหมายอาญาได้ออกใช้เสียแล้ว กรณีก็ไม่อยู่ในบังคับ มาตรา 3 (1) แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่ศาลจะแก้กำหนดโทษเสียใหม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงความหนักเบาของโทษตามกฎหมายเก่าใหม่แต่อย่างใดด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 978/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอแก้โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3(1) ต้องเกิดก่อนใช้กฎหมายใหม่
ที่จำเลยจะร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3(1) นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลย และคดีถึงที่สุดไปแล้วก่อนวันใช้ประมวลกฎหมายอาญา คือ วันที่ 1 ม.ค. 2500 ถ้าคดีของจำเลยมาถึงที่สุดลงเมื่อประมวลกฎหมายอาญาได้ออกใช้เสียแล้วกรณีก็ไม่อยู่ในบังคับ มาตรา 3(1) แห่งประมวลกฎหมายอาญาที่ศาลจะแก้กำหนดโทษเสียใหม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงความหนักเบาของโทษตามกฎหมายเก่าใหม่แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 866/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำโดยบันดาลโทสะและการข่มเหงน้ำใจอย่างร้ายแรงเป็นเหตุลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 เป็นคุณแก่จำเลยยิ่งกว่ากฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 55
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อเหตุก่อน คือ เมาสุราเข้าไปในวงหมากรุกที่จำเลยที่ 1 กำลังเล่นอยู่ แล้วใช้เท้าปัดหรือกวาดตัวหมากรุกในกระดานต่อหน้าประชาชนที่ล้อมดูอยู่เป็นอันมาก การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามข่มเหงน้ำใจจำเลยที่ 1 ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เพราะมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันอยู่
การกระทำโดยบันดาลโทสะที่จะได้รับความปราณีลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 จะต้องปรากฏว่า ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น การกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวข้างต้น เกิดในบริเวณวัดซึ่งกำลังมีงานเผาศพต่อหน้าประชาชนจำนวนไม่น้อย จำเลยที่ 1 ย่อมจะรู้สึกอับอายขายหน้าและแค้นเคืองเป็นอย่างมาก ย่อมถือได้ว่าเป็นการข่มเหงน้ำใจอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 แล้ว
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อเหตุก่อน คือ เมาสุราเข้าไปในวงหมากรุกที่จำเลยที่ 1 กำลังเล่นอยู่ แล้วใช้เท้าปัดหรือกวาดตัวหมากรุกในกระดานต่อหน้าประชาชนที่ล้อมดูอยู่เป็นอันมาก การกระทำของจำเลยที่ 2 ย่อมเป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามข่มเหงน้ำใจจำเลยที่ 1 ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม เพราะมีเรื่องกินแหนงแคลงใจกันอยู่
การกระทำโดยบันดาลโทสะที่จะได้รับความปราณีลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 จะต้องปรากฏว่า ถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น การกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวข้างต้น เกิดในบริเวณวัดซึ่งกำลังมีงานเผาศพต่อหน้าประชาชนจำนวนไม่น้อย จำเลยที่ 1 ย่อมจะรู้สึกอับอายขายหน้าและแค้นเคืองเป็นอย่างมาก ย่อมถือได้ว่าเป็นการข่มเหงน้ำใจอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 845/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์: การพิจารณาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 แทนกฎหมายลักษณะอาญา
จำเลยเป็นเสมียนแผนกตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดพังงา ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพังงา ผู้เป็นหัวหน้าได้มอบหมายการงานซึ่งอยู่ในแผนกให้แก่จำเลยปฏิบัติ จำเลยได้ยักยอกเงินและสิ่งของที่ได้รับมอบหมายไว้ตามหน้าที่ดังนี้ จำเลยย่อมมีผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอก
อัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ย่อมเบากว่าตามกฎหมาย ลักษณะอาญา มาตรา 131
อัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ย่อมเบากว่าตามกฎหมาย ลักษณะอาญา มาตรา 131
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 845/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์: การกำหนดบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 แทนกฎหมายลักษณะอาญา
จำเลยเป็นเสมียนแผนกตรวจคนเข้าเมือง จังหวัดพังงา ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดพังงาผู้เป็นหัวหน้าได้มอบหมายการงานซึ่งอยู่ในแผนกให้แก่จำเลยปฏิบัติ จำเลยได้ยักยอกเงินและสิ่งของที่ได้รับมอบหมายไว้ตามหน้าที่ ดังนี้ จำเลยย่อมมีผิดฐานเจ้าพนักงานยักยอก
อัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ย่อมเบากว่าตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131
อัตราโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 ย่อมเบากว่าตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 131
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 786/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษ ม.92 กับผู้ที่รอการลงโทษ: โทษที่รอการลงโทษไม่ถือเป็นโทษที่กำลังรับอยู่
ประมวลกฎหมายอาญา ม.92 ที่บัญญัติว่า "ผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ถ้าและได้กระทำความผิดใด ๆ อีกในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ก็ดี ฯลฯ" นั้น คำว่า รับโทษในประโยคหลัง หมายความถึง ได้รับโทษจำคุกในประโยคแรกนั่นเอง โทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้จึงไม่เป็นโทษที่กำลังรับอยู่หรือยังจะต้องรับอยู่ ตามความหมายในมาตรานี้ จะนำมาเป็นเหตุเพิ่มโทษ ตาม ม.92 หาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2502 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานจราจร: พ.ร.บ.จราจรฯ กำหนดโทษเฉพาะ ไม่เข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.368
การที่จำเลยไม่ไปรายงานตนตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรนั้น ไม่เป็นความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ม . 368 อันเป็นบทกฎหมายทั่วไป เพราะ พ.ร.บ. จราจร ทางบกได้บัญญัติไว้เป็นพิเศษใน มาตรา 64 และ 67 ซึ่งอยู่ในส่วนที่ว่าด้วยบทกำหนดโทษ ว่า ถ้าจำเลยไม่ไปตามคำสั่งของเจ้าพนักงานจราจรดังกล่าว ห้ามมิให้เปรียบเทียบ ให้จัดการฟ้องจำเลยไปทีเดียว อันเป็นบทลงโทษจำเลยอยู่แล้ว
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2502)
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 10/2502)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2502
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญาเกินอัตราโทษประมวลกฎหมายอาญา ศาลไม่สั่งกำหนดโทษใหม่
คดีอาญาถึงที่สุดแล้ว จำเลยยื่นคำร้องว่า ศาลลงโทษจำเลยตามกฎหมายลักษณะอาญา เป็นอัตราโทษหนักกว่าประมวลกฎหมายอาญา นั้น เป็นกรณีไม่เข้าอยู่ใน มาตรา3(1) ประมวลกฎหมายอาญาที่ศาลจะกำหนดโทษเสียใหม่หรือจะปล่อยจำเลยได้