คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พิสูจน์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,273 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1862/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาเบิกความเท็จต้องพิสูจน์ชัดเจน แม้ศาลฟังพยานฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะคดี ก็ไม่ถือว่าอีกฝ่ายมีเจตนาเบิกความเท็จเสมอไป
ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยว่าควรฟังพยานฝ่ายใด และพิพากษาให้ชนะคดีแล้วนั้น ยังไม่เป็นเหตุพอที่จะถือว่าฝ่ายผู้แพ้คดีมีเจตนาเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีนั้นๆ เสมอไปเมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยิ่งขึ้นไปกว่าที่ปรากฏแล้วในสำนวนหรือคดีเดิม อันจะพึงแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งปราศจากสงสัยว่าจำเลยมีเจตนาเบิกความเท็จในข้อสำคัญในการพิจารณาคดีดังกล่าวแล้ว ก็ฟังลงโทษจำเลยในฐานนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1862/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาเบิกความเท็จต้องพิสูจน์ได้ชัดเจน แม้ศาลฟังพยานฝ่ายใดชนะคดี ก็ไม่ถือว่าอีกฝ่ายมีเจตนาเบิกความเท็จเสมอไป
ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยว่าควรฟังพยานฝ่ายใด และพิพากษาให้ชนะคดีแล้วนั้น ยังไม่เป็นเหตุพอที่จะถือว่าฝ่ายผู้แพ้คดีมีเจตนาเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีนั้นๆ เสมอไป เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยิ่งขึ้นไปกว่าที่ปรากฏแล้วในสำนวนหรือคดีเดิม อันจะพึงแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งปราศจากสงสัยว่าจำเลยมีเจตนาเบิกความเท็จในข้อสำคัญในการพิจารณาคดีดังกล่าวแล้ว ก็ฟังลงโทษจำเลยในฐานนี้ไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1862/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาเบิกความเท็จต้องพิสูจน์ได้ชัดเจน แม้ศาลวินิจฉัยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะคดี
ในกรณีที่ศาลวินิจฉัยว่าควรฟังพยานฝ่ายใด และพิพากษาให้ชนะคดีแล้วนั้น. ยังไม่เป็นเหตุพอที่จะถือว่าฝ่ายผู้แพ้คดีมีเจตนาเบิกความเท็จในการพิจารณาคดีนั้นๆ เสมอไป.เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยิ่งขึ้นไปกว่าที่ปรากฏแล้วในสำนวนหรือคดีเดิม. อันจะพึงแสดงให้เห็นได้ชัดแจ้งปราศจากสงสัยว่าจำเลยมีเจตนาเบิกความเท็จในข้อสำคัญในการพิจารณาคดีดังกล่าวแล้ว. ก็ฟังลงโทษจำเลยในฐานนี้ไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1529/2511

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นคำท้าการพิสูจน์พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การนำสืบพยานหลักฐานต้องอยู่ในประเด็นคำท้า
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ก่อนเจ้ามรดกถึงแก่กรรม เจ้ามรดกมิได้ทำพินัยกรรมเกี่ยวกับทรัพย์สินใดๆ ไว้. หากจำเลยจะมีพินัยกรรมของเจ้ามรดก พินัยกรรมก็ปลอม. เมื่อจำเลยยื่นคำให้การ ได้เสนอสำเนาพินัยกรรมมาท้ายคำให้การ. โจทก์ยื่นคำร้องขอให้จำเลยส่งต้นฉบับต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานเพื่อโจทก์จะได้ตรวจดู. โจทก์แถลงว่า ต้องสอบลายมือในพินัยกรรมจากผู้รู้ลายมือของผู้ทำพินัยกรรม. แล้วคู่ความเลื่อนวันชี้สองสถานไป. พอถึงวันชี้สองสถานครั้งที่ 2คู่ความแถลงต่อศาลว่า คู่ความตกลงกันสืบประเด็นเดียวว่า. พินัยกรรมตามที่จำเลยอ้างเป็นพินัยกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่. ดังนี้ ที่ว่า 'พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่' ตามที่คู่ความตกลงกันหรือท้ากันสืบนี้. หมายความถึงประเด็นที่คู่ความโต้เถียงกันก่อนว่าเจ้ามรดกได้ทำพินัยกรรมหรือไม่นั่นเอง. ถ้านายอ่อนได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้จริงโจทก์ก็แพ้คดีตามคำท้า. แต่ถ้านายอ่อนไม่ได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ จำเลยก็แพ้คดีตามคำท้า. ดังนั้นที่คู่ความนำสืบพยานหลักฐานในประเด็นที่ว่า นายอ่อนเจ้ามรดกทำพินัยกรรมหมายล.1หรือไม่. จึงอยู่ในประเด็นคำท้าที่คู่ความพิพาทโต้เถียงกัน. หาใช่เป็นการนำสืบนอกประเด็นคำท้าไม่. และที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยพยานหลักฐานของคู่ความในประเด็นข้อนี้ ก็ถือได้ว่าเป็นการวินิจฉัยตามประเด็นคำท้า. มิใช่นอกประเด็นคำท้าเช่นเดียวกัน.การที่คู่ความแถลงท้ากันศาลจดประเด็นคำท้า ใช้คำว่า'พินัยกรรมชอบด้วยกฎหมายหรือไม่' นั้น. ไม่ทำให้ประเด็นคำท้าที่คู่ความพิพาทโต้เถียงกันมาก่อนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่น. เพราะคำว่า 'ชอบด้วยกฎหมาย'นี้ มีความหมายกว้างมาก. การใดที่กฎหมายห้ามมิให้กระทำ.แต่ผู้ใดฝ่าฝืนไปกระทำการนั้นเข้า. ต้องถือว่าการกระทำนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1656 ได้บัญญัติถึงแบบของพินัยกรรมธรรมดาไว้ว่า.ผู้ทำพินัยกรรมจะต้องลงลายมือชื่อในพินัยกรรม. ถ้าผู้อื่นปลอมลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมลงในพินัยกรรม ย่อมเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย. พินัยกรรมถือว่าทำขึ้นผิดแบบ. จึงเป็นพินัยกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย. การที่พิเคราะห์ดูแต่ตัวพินัยกรรมอย่างเดียว โดยไม่ฟังคำพยานหลักฐานที่คู่ความนำสืบ. จะไม่มีทางทราบได้เลยว่าลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมในพินัยกรรมนั้นปลอมหรือไม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1210/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่การพิสูจน์ความเท็จในการแจ้งความเท็จ/เบิกความเท็จ ฝ่ายกล่าวอ้างต้องพิสูจน์ตามฟ้อง
ถ้ามีการกล่าวอ้างว่า ข้อความใดที่เกิดจากการยื่นคำให้การก็ดี เกิดจากการเบิกความก็ดี ว่าเป็นความเท็จอันจะต้องรับโทษทางอาญาแล้ว ย่อมเป็นหน้าที่ของฝ่ายที่กล่าวอ้าง จะต้องนำสืบให้ได้ความตามฟ้องว่าจำเลยให้การเท็จและเบิกความเท็จ หาไม่แล้วจะลงโทษทางอาญาไม่ได้
จำเลยย่อมนำสืบตามข้ออ้างของตน ซึ่งอาจเป็นการนำสืบหักล้างหรือเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขเอกสารใดๆ ได้ทั้งสิ้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เพราะประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามิได้มีข้อจำกัดห้ามมิให้นำสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสารในบางกรณีไว้ดังประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1160/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาการครอบครองที่ดิน: สัญญาซื้อขายที่ยังไม่สมบูรณ์และการพิสูจน์เจตนาสละการครอบครอง
จำเลยขายนาพิพาทให้โจทก์โดยทำหนังสือกันเอง มิได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามกฎหมาย แม้สัญญาดังกล่าวเป็นโมฆะ แต่ก็ยังมีผลเป็นการแสดงถึงพฤติการณ์ของโจทก์จำเลยเกี่ยวกับนาพิพาทซึ่งไม่มีหนังสือสำคัญสำหรับที่ดิน ว่ามีเจตนาต่อกันอย่างไร หนังสือสัญญานี้ในตอนต้นมีข้อความว่าจำเลยขายนาพิพาทให้โจทก์ และได้รับชำระราคาจากโจทก์เป็นการถูกต้องแล้ว แต่ในตอนท้ายกล่าวว่า"ให้ผู้ขายตรึกตรองและตกลงปลงใจพิจารณาอยู่ภายใน 10วัน นับตั้งแต่วันทำหนังสือนี้เป็นต้นไป ถ้าพ้นจากภายใน 10 วันแล้ว ที่ดินนาดังกล่าวแล้วให้นายบุ่ง กลมเกลียว (โจทก์) ครอบครองต่อไป" ฉะนั้น ถึงหากจำเลยได้มอบที่นาให้โจทก์ครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญานั้น ก็ไม่พอฟังว่าจำเลยสละการครอบครองให้แก่โจทก์ไปในทันใดนั้นแล้ว เพราะยังอยู่ในระหว่างที่จำเลยจะตัดสินใจต่อไป นอกจากนี้ จำเลยได้ให้การต่อสู้คดีว่าต่อจากวันขายฝาก 8 วัน จำเลยได้นำเงินไปขอไถ่ แต่โจทก์ยังไม่รับเงิน ให้จำเลยเอาไว้เป็นเงินยืมจากโจทก์โดยโจทก์ขอทำนาพิพาทต่างดอกเบี้ยไปก่อน เป็นการโต้เถียงว่าโจทก์เพียงแต่เป็นผู้ยึดถือครอบครองนาพิพาทแทนจำเลยอยู่ต่อมา เพราะจำเลยได้จัดการไถ่ภายในกำหนด 10 วันและโจทก์จำเลยตกลงกันใหม่ เพื่อให้โจทก์ทำนาต่างดอกเบี้ยเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เป็นการครอบครองเป็นของโจทก์เอง ฉะนั้น คดีจะต้องให้คู่ความสืบพยานเพื่อพิจารณาข้อเท็จจริงต่อไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1000/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องยืมเงินไม่เคลือบคลุม อายุความ 10 ปีใช้ได้ หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าเงินถูกใช้ในกิจการ
ฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยได้ทำหลักฐานยืมเอาเงินของโจทก์ไปหลายครั้งแล้วไม่ใช้ โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินตามฟ้อง ซึ่งฟ้องโจทก์ได้กล่าวแสดงรายละเอียดถึงวันเดือนปีและจำนวนเงินที่จำเลยยืมไป และมีสำเนาใบยืมท้ายฟ้อง ดังนี้ ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
จำเลยมิได้ใช้เงินที่จำเลยยืมไปจากโจทก์ในกิจการของโจทก์ กรณีจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 ต้องใช้อายุความตามมาตรา 164

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 866/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบในคดีหนี้ร่วมสามีภริยา: โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าเป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1482
โจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปใช้จ่ายในครอบครัว เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากัน แม้จะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน แต่หนี้ที่จะเกิดขึ้นแก่สามีหรือภริยาในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันย่อมมีหลายชนิดด้วยกัน และเฉพาะแต่หนี้บางชนิดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 เท่านั้น จึงจะเป็นหนี้ร่วม ฉะนั้น เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วมเพื่อจะให้ผู้ร้องต้องรับผิดใช้หนี้จากสินสมรสและสินเดิม โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 866/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่นำสืบในคดีหนี้ร่วมระหว่างสามีภริยา: โจทก์ต้องพิสูจน์ว่าเป็นหนี้ร่วมตามมาตรา 1482
โจทก์เป็นผู้กล่าวอ้างว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ไปใช้จ่ายในครอบครัว เป็นหนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้องซึ่งเป็นสามีภริยากัน แม้จะเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นขณะที่จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน แต่หนี้ที่จะเกิดขึ้นแก่สามีหรือภริยาในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันย่อมมีหลายชนิดด้วยกันและเฉพาะแต่หนี้บางชนิดตามที่ระบุไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1482 เท่านั้น จึงจะเป็นหนี้ร่วม ฉะนั้น เมื่อโจทก์กล่าวอ้างว่าหนี้รายนี้เป็นหนี้ร่วมเพื่อจะให้ผู้ร้องต้องรับผิดใช้หนี้จากสินสมรสและสินเดิม โจทก์ต้องมีหน้าที่นำสืบก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 793/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิสูจน์ฐานะบุคคลทางกฎหมายและการมอบอำนาจฟ้องคดี
ต้นฉบับเอกสารอันแท้จริงรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ แต่ส่วนข้อความในเอกสารจะถูกต้องตรงกับความจริงหรือไม่ เป็นข้อที่ศาลจะได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนอีกขั้นหนึ่ง
ข้อความในเอกสารซึ่งแสดงว่าบริษัทโจทก์มีสิทธิ์และหน้าที่ทำนิติกรรมมอบอำนาจได้ในนามของบริษัทโจทก์ โดยทำต่อเจ้าหน้าที่เป็นทางการ เป็นการเพียงพอจะที่จะฟังได้ว่าโจทก์มีฐานะที่จะฟ้องคดีได้ในนามของตนเอง
การพิสูจน์ฐานะบุคคลตามกฎหมายต่างประเทศ ไม่จำต้องพิสูจน์โดยวิจักษณ์พยานผู้รู้กฎหมายต่างประเทศโดยตรงแต่ทางเดียว พฤติการณ์ต่าง ๆ ที่แสดงถึงการมีฐานะใช้สิทธิ์ได้ตามกฎหมายดุจบุคคลทั่วไป ก็เป็นข้อเท็จจริงให้ศาลวินิจฉัยเช่นนั้นได้
ตามคำฟ้องปรากฏว่า โจทก์ที่ 2 ฟ้องคดีโดยการมอบอำนาจของโจทก์ที่ 1 โจทก์ที่ 2 จึงฟ้องคดีนี้เป็นส่วนตัวไม่ได้ แต่จะยกฟ้องเลยไปถึงโจทก์ที่ 1 ที่ฟ้องโดยโจทก์ที่ 2 รับมอบอำนาจด้วยไม่ได้
of 128