พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,003 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4801/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องลาภมิควรได้: สิทธิเกิดเมื่อทำสัญญาซื้อขาย ฟ้องเกิน 10 ปี ขาดอายุความ
อายุความฟ้องร้องในเรื่องลาภมิควรได้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา419ว่าในเรื่องลาภมิควรได้นั้นท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้นซึ่งหมายความว่าถ้าผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเกิน1ปีแล้วถึงแม้จะยังไม่พ้น10ปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้นหรือถ้าผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนยังไม่เกิน1ปีแต่ก็พ้น10ปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้นก็ห้ามมิให้ผู้เสียหายฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนเช่นกันโจทก์บรรยายฟ้องว่าน.ส.3ของจำเลยได้มีการออกทับที่ดินมีโฉนดของผู้อื่นเมื่อวันที่15มกราคม2525ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันทำสัญญาขายให้แก่โจทก์อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาไม่สุจริตมาแต่เริ่มแรกการกระทำของจำเลยเป็นการขายที่ดินให้แก่โจทก์โดยไม่สุจริตและไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์ได้รับว่าสิทธิที่จะเรียกคืนเงินค่าซื้อที่ดินจากจำเลยของโจทก์ได้มีขึ้นตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายคือวันที่15มกราคม2525โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่20กุมภาพันธ์2535จึงพ้น10ปีฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4801/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องลาภมิควรได้: สิทธิเกิดเมื่อทำสัญญาซื้อขาย ฟ้องเกิน 10 ปี ขาดอายุความ
อายุความฟ้องร้องในเรื่องลาภมิควรได้มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา419ว่าในเรื่องลาภมิควรได้นั้นท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เวลาที่ฝ่ายผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนหรือเมื่อพ้นสิบปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้นซึ่งหมายความว่าถ้าผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนเกิน1ปีแล้วถึงแม้จะยังไม่พ้น10ปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้นหรือถ้าผู้เสียหายรู้ว่าตนมีสิทธิเรียกคืนยังไม่เกิน1ปีแต่ก็พ้น10ปีนับแต่เวลาที่สิทธินั้นได้มีขึ้นก็ห้ามมิให้ผู้เสียหายฟ้องคดีเพื่อเรียกคืนเช่นกันโจทก์บรรยายฟ้องว่าน.ส.3ของจำเลยได้มีการออกทับที่ดินมีโฉนดของผู้อื่นเมื่อวันที่15มกราคม2525ซึ่งเป็นวันเดียวกับวันทำสัญญาขายให้แก่โจทก์อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าจำเลยมีเจตนาไม่สุจริตมาแต่เริ่มแรกการกระทำของจำเลยเป็นการขายที่ดินให้แก่โจทก์โดยไม่สุจริตและไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมายตามคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงว่าโจทก์ได้รับว่าสิทธิที่จะเรียกคืนเงินค่าซื้อที่ดินจากจำเลยของโจทก์ได้มีขึ้นตั้งแต่วันทำสัญญาซื้อขายคือวันที่15มกราคม2525โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่20กุมภาพันธ์2535จึงพ้น10ปีฟ้องโจทก์จึงขาดอายุความแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติซื้อขายไม่ได้ สัญญาเป็นโมฆะ
ที่ดินบางส่วนตามสัญญาซื้อขายที่ดินเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินที่สงวนไว้ใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ จึงเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ที่ซื้อขายไม่ได้ สัญญาซื้อขายและสัญญาจะซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าว จึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งตามกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ ผลเท่ากับจำเลยไม่เคยทำสัญญาจะซื้อขายและสัญญาซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าวกับโจทก์ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยต้องรับผิดในการรอนสิทธิที่ดินดังกล่าวอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินสาธารณสมบัติเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ จำเลยไม่ต้องรับผิด
ที่ดินที่จำเลยขายให้แก่โจทก์ที่1บางส่วนเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่สงวนไว้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะจึงเป็นทรัพย์นอกพาณิชย์ซึ่งไม่อาจซื้อขายกันได้สัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าวจึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายเป็นโมฆะเท่ากับว่าจำเลยไม่เคยทำสัญญาจะซื้อจะขายและสัญญาซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าวกับโจทก์ที่1จึงไม่มีสัญญาจะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายที่ดินส่วนดังกล่าวที่จำเลยจะต้องรับผิดในการรอนสิทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3774/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายทรัพย์สิน: หน้าที่ไถ่ถอนภาระหนี้สิน & การผิดสัญญา
ตามสัญญาประกอบด้วยคำแปล คำรับรองที่จำเลยให้ไว้เพียงเป็นผู้รับประโยชน์และเป็นเจ้าของอย่างถูกต้องตามกฎหมายแห่งประเทศที่ทรัพย์สินนั้นตั้งอยู่ จึงถือว่าจำเลยเป็นผู้มีสิทธิในทรัพย์สินดังกล่าวโดยมีภาระหนี้สินจะต้องไถ่ถอนหรือปฏิบัติบางประเภทเท่านั้น คำรับรองของจำเลยที่ปรากฏจึงมิอาจถือเป็นความเท็จได้ ส่วนสัญญาข้อ 2 ซึ่งเป็นข้อความที่จำเลยให้การรับรองว่า ทรัพย์สินที่ซื้อขายจะปลอดจากข้อผูกพันและพันธกรณีต่าง ๆ โดยสิ้นเชิง ณ วันครบกำหนดนั้นแสดงได้ว่าในขณะทำสัญญาทรัพย์สินยังมีข้อผูกพันหรือพันธกรณีอยู่ แต่จำเลยมีหน้าที่จะต้องจัดการให้ปลอดจากข้อผูกพันหรือพันธกรณีหลังจากวันทำสัญญา ชี้ชัดได้ว่าจำเลยมิได้ปิดบังความจริงแต่ประการใด ที่ผู้เสียหายเข้าทำสัญญาจึงมิได้มีความหลงเชื่อแต่ประการใด
สำหรับในส่วนแพ่ง สัญญาในข้อ 2 กำหนดหน้าที่ของจำเลยจะต้องจัดการให้ทรัพย์สินปลอดจากข้อผูกพันหรือพันธกรณีพร้อมที่จะโอนให้แก่ผู้เสียหายในวันครบกำหนดซึ่งเป็นวันเดียวกับที่จะรับเงินจากผู้เสียหาย แต่จำเลยรับว่าจำเลยรับเงินจากผู้เสียหายไปแล้วประมาณ 10 วัน จึงได้จัดการนำเงินไปชำระตามข้อผูกพัน จึงถือว่าจำเลยผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีมูลที่จะอาศัยอ้างเพื่อยึดถือเงินที่ได้จากผู้เสียหายตามสัญญาไว้ต่อไป ต้องคืนให้แก่ผู้เสียหายตามที่โจทก์ขอ
สำหรับในส่วนแพ่ง สัญญาในข้อ 2 กำหนดหน้าที่ของจำเลยจะต้องจัดการให้ทรัพย์สินปลอดจากข้อผูกพันหรือพันธกรณีพร้อมที่จะโอนให้แก่ผู้เสียหายในวันครบกำหนดซึ่งเป็นวันเดียวกับที่จะรับเงินจากผู้เสียหาย แต่จำเลยรับว่าจำเลยรับเงินจากผู้เสียหายไปแล้วประมาณ 10 วัน จึงได้จัดการนำเงินไปชำระตามข้อผูกพัน จึงถือว่าจำเลยผิดสัญญา จำเลยจึงไม่มีมูลที่จะอาศัยอ้างเพื่อยึดถือเงินที่ได้จากผู้เสียหายตามสัญญาไว้ต่อไป ต้องคืนให้แก่ผู้เสียหายตามที่โจทก์ขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3745/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทสัญญาซื้อขายและเช็ค: ศาลวินิจฉัยตามประเด็นที่ถูกต้องได้ แม้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยซื้อสินค้าปุ๋ยเคมีจากโจทก์และสั่งจ่ายเช็คพิพาทชำระค่าสินค้า แต่เช็คดังกล่าวถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินขอให้จำเลยชำระค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ย กรณีจึงเป็นการฟ้องให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์ในมูลหนี้ตามสัญญาซื้อขาย แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่าเช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้เพราะไม่มีการส่งมอบสินค้าตามสัญญาซื้อขายและเช็คขาดอายุความแล้วก็ตามคดีก็ไม่มีประเด็นพิพาทเรื่องมูลหนี้ตามเช็ค การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า เช็คพิพาทมีมูลหนี้หรือไม่ และฟ้องโจทก์ขาดอายุความ (ตามเช็ค) หรือไม่จึงไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยไปตามประเด็นที่ถูกต้องได้ ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยให้จำเลยรับผิดชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายจึงเป็นไปตามประเด็นที่ถูกต้องไม่ถือเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นข้อพิพาท
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยออกเช็คตามฟ้องทั้งสองฉบับให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ ไม่ใช่เพียงให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อที่ศาลชั้นต้นฟังมาดังกล่าว จึงฟังเป็นยุติว่าจำเลยออกเช็คตามฟ้องทั้งสองฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ ฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำให้การจำเลยไม่ชัดแจ้งเคลือบคลุมเป็นการไม่ชอบ เพราะตามคำให้การจำเลยชัดแจ้งว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องทั้งสองฉบับเป็นประกันในการที่จำเลยสั่งซื้อปุ๋ยเคมีจากโจทก์นั้น แม้จะฟังดังที่จำเลยฎีกามาก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของจำเลย ย่อมไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
เมื่อศาลฟังว่าจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายปุ๋ยเคมี ปัญหาเรื่องอายุความก็ต้องปรับด้วย ป.พ.พ.มาตรา 193/34จะปรับอายุความเรื่องเช็คตาม ป.พ.พ. มาตรา 1002 ไม่ได้
ศาลชั้นต้นฟังว่าจำเลยออกเช็คตามฟ้องทั้งสองฉบับให้โจทก์เป็นการชำระหนี้ ไม่ใช่เพียงให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน และจำเลยไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งข้อที่ศาลชั้นต้นฟังมาดังกล่าว จึงฟังเป็นยุติว่าจำเลยออกเช็คตามฟ้องทั้งสองฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ ฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคำให้การจำเลยไม่ชัดแจ้งเคลือบคลุมเป็นการไม่ชอบ เพราะตามคำให้การจำเลยชัดแจ้งว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องทั้งสองฉบับเป็นประกันในการที่จำเลยสั่งซื้อปุ๋ยเคมีจากโจทก์นั้น แม้จะฟังดังที่จำเลยฎีกามาก็ไม่เป็นประโยชน์แก่รูปคดีของจำเลย ย่อมไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
เมื่อศาลฟังว่าจำเลยต้องรับผิดชำระหนี้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายปุ๋ยเคมี ปัญหาเรื่องอายุความก็ต้องปรับด้วย ป.พ.พ.มาตรา 193/34จะปรับอายุความเรื่องเช็คตาม ป.พ.พ. มาตรา 1002 ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3601/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบอกเลิกสัญญาซื้อขายที่ดินเนื่องจากผู้ซื้อค้างชำระราคา และสิทธิในการเรียกคืนที่ดิน
สัญญาซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่และกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ซื้อขายกันได้โอนไปยังจำเลยแล้ว แต่หากจำเลยยังชำระราคาที่ดินให้โจทก์ไม่ครบถ้วน ก็เป็นเรื่องที่จำเลย ไม่ชำระหนี้ โจทก์มีสิทธิกำหนดระยะเวลาพอสมควรแล้วบอกกล่าวให้จำเลยชำระราคาที่ยังค้างชำระให้โจทก์ภายในกำหนดระยะเวลานั้นได้ และถ้าจำเลยยังไม่ชำระ โจทก์ย่อมมีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขายแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 387 และเมื่อโจทก์ได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกที่ดินคืนจากจำเลยตามมาตรา 391
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3557/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งเรื่องโมฆะสัญญาซื้อขายกระทบสิทธิบุคคลภายนอกไม่อาจบังคับได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวและที่ดินพิพาทจำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกแถวและที่ดินพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับ ศ. และ อ. เป็นโมฆะโดย ศ. และ อ. รับซื้อฝากที่ดินพิพาทไว้จากจำเลยจำเลยไม่เคยขายที่ดินพิพาทให้โจทก์เป็นการต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์เป็นฟ้องแย้งที่เกี่ยวกับฟ้องเดิมแต่เมื่อมีผลกระทบถึงสิทธิของ ศ. และ อ.บุคคลภายนอกที่มิได้เข้ามาเป็นคู่ความในคดีด้วยจึงเป็นฟ้องแย้งที่ ไม่อาจบังคับได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3497/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต้องเกี่ยวเนื่องกับฟ้องเดิม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยซื้อสินค้าผ้าอนามัยไปจากโจทก์แล้วผิดนัดไม่ชำระราคา เป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาซื้อขาย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่า โจทก์ทำสัญญาตั้งจำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ในประเทศไทยโดยจำเลยต้องเสียค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินการโฆษณาสินค้าและส่งเสริมการขายและโจทก์บอกเลิกสัญญาไม่ชอบ ขอให้โจทก์ชำระค่าเสียหาย เป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาตัวแทน ดังนี้ฟ้องแย้งเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้อง ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมตามป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3497/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งต่างกรรมต่างวาระ: สัญญาซื้อขายกับสัญญาตัวแทนเป็นคนละเรื่องกัน จำเลยมีสิทธิฟ้องเป็นคดีต่างหาก
ฟ้องโจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยซื้อสินค้าผ้าอนามัยไปจากโจทก์แล้วไม่ชำระราคาค่าสินค้าให้แก่โจทก์ เป็นการฟ้องบังคับตามสัญญาซื้อขาย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยกล่าวอ้างว่าโจทก์ทำสัญญาตั้งจำเลยเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าของโจทก์ในประเทศไทยโดยจำเลยต้องดำเนินการโฆษณาสินค้าและส่งเสริมการขาย จำเลยได้เสียค่าใช้จ่ายไปเป็นมูลค่ารวม355,312 บาท โจทก์บอกเลิกสัญญาไม่ชอบต้องชำระค่ายกเลิกสัญญาให้แก่จำเลยจำนวน 1,000,000 บาท เป็นการฟ้องบังคับให้โจทก์รับผิดตามสัญญาตัวแทน ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่โจทก์ฟ้องฟ้องแย้งของจำเลยจึงไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ชอบที่จำเลยจะฟ้องเป็นคดีต่างหากตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสาม